ถอดรหัสความ ‘เทสต์ดี’ แบบสแกนดิเนเวีย ทำไมอะไร ๆ จากประเทศแถบนี้ถึงดูน่าใช้ไปหมด
สถาปัตยกรรม เฟอร์นิเจอร์ งานฝีมือ แฟชั่น อาหาร ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ หรือแม้แต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์… ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน แต่ผลงานการออกแบบและสินค้าไลฟ์สไตล์ในแถบสแกนดิเนเวียก็ดูจะไม่เคยตกยุค แถมยังโดดเด่นเป็นอมตะอยู่เหนือกาลเวลา ถูกยกย่องให้ขึ้นแท่นเป็นไอเทมระดับไอคอนนิกที่คนทั่วโลกต่างฝันใฝ่จะได้ครอบครองอยู่หลายต่อหลายชิ้น
แม้ในเชิงภูมิศาสตร์ สแกนดิเนเวียจะหมายถึงภูมิภาคในทวีปยุโรปเหนือที่ประกอบไปด้วยประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์ก แต่ถ้าจะให้พูดถึงเชิงการออกแบบแล้ว คำว่า ‘สแกนดิเนเวียน’ ดูจะกลายเป็นศัพท์เฉพาะที่ขยายขอบเขตไปไกลกว่าแค่ความหมายถึงกลุ่มประเทศในแถบคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย แต่ยังใช้จำกัดความถึงสุนทรียะสุดมินิมอล ที่แม้จะดูเรียบง่าย แต่กลับเต็มไปด้วยความลึกซึ้งในเชิงวิธีคิด และกระบวนการ แถมยังดูดีมีเทสต์สุด ๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี เบื้องหลังความ ‘เทสต์ดี’ ชวนเสียทรัพย์ที่ว่าก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วข้ามคืน แต่อาจจะต้องเรียกว่า มันถูกปลูกฝังอยู่ใน DNA ของชาวสแกนดิเนเวียนมาตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาเลยก็ว่าด้วย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม หรือปรัชญาการใช้ชีวิตที่ช่วยตอกย้ำความ ‘ชีวิตดี’ แบบสแกนดิเนเวียนที่คนทั่วทั้งโลกต้องอิจฉา ที่ไม่เพียงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์หน้าตาของสิ่งต่าง ๆ เท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงผู้คนและสิ่งแวดล้อมในแทบทุกกระบวนการด้วย
ดินแดนแห่งงานออกแบบเหนือกาลเวลา ที่ทั้งเรียบง่าย แต่ก็ลึกซึ้ง
แม้จะโลดแล่นอยู่ในแวดวงการออกแบบมาตั้งแต่ช่วงยุค 1930s (และรุ่งเรืองสุด ๆ ในช่วงยุค 1950s หรือที่เรียกกันติดปากว่า Mid-Century Modern) แต่ในปัจจุบัน ชื่อของสถาปนิกและนักออกแบบผู้อยู่เบื้องหลัง ‘ยุคทองของการออกแบบสแกนดิเนเวียน’ อย่าง Arne Jacobsen, Josef Frank, Hans J. Wegner, Verner Panton และ Poul Henningsen กลับไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา
ผลงานออกแบบหลาย ๆ ชิ้นของพวกเขายังคงเป็นที่นิยมในหมู่นักสะสม อีกทั้งยังทรงอิทธิพลต่อเหล่านักออกแบบรุ่นใหม่ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะในแง่ของรูปแบบ และวิธีคิดที่ให้ความสำคัญกับประโยชน์ใช้สอย และคำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นหลัก
เอกลักษณ์ที่ถือได้ว่าเป็นลายเซ็นสำคัญของงานออกแบบในแถบนี้คือรูปลักษณ์ที่ดูเรียบง่าย อบอุ่น เป็นมิตร แต่ในขณะเดียวกันก็ยังให้ความรู้สึกหรูหรา มีสไตล์เหนือกาลเวลา อีกทั้งยังแข็งแรง คงทน และสะดวกสบายต่อการใช้งานด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงเห็นได้จากงานสถาปัตยกรรม เฟอร์นิเจอร์ เซรามิก สิ่งทอ เครื่องแก้ว หรืองานฝีมืออื่น ๆ เท่านั้น แต่สุนทรียะสุดมินิมอลนี้ยังสะท้อนผ่านสินค้าไลฟ์สไตล์แทบทุกประเภทที่ถูกออกแบบและผลิตในแถบนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตร เครื่องสำอาง หรือสกินแคร์
เพราะธรรมชาติคือส่วนหนึ่งของชีวิต ความยั่งยืนจึงเป็นเรื่องจำเป็น
ไม่เพียงรูปร่างหน้าตาอันเรียบง่าย หรือประโยชน์ใช้สอยที่ครบถ้วนเท่านั้นที่ถือเป็นหัวใจหลักของวิธีคิดแบบสแกนดิเนเวียน แต่อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลงานการออกแบบและสินค้าไลฟ์สไตล์ของประเทศแถบนี้มีความโดดเด่นไม่เหมือนใครคือการย้อนกลับไปสำรวจธรรมชาติ และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในระยะยาว ผลิตภัณฑ์สัญชาติสแกนดิเนเวียนมักจะมุ่งไปที่ความพยายามที่จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต บรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่การนำเสนอสินค้าก่อนถึงมือผู้บริโภคในทุก ๆ มิติ
ส่วนหนึ่งของวิธีคิดเหล่านี้อาจจะสะท้อนมาจากสภาพแวดล้อมของภูมิภาคสแกนดิเนเวียเองที่แม้จะถูกห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติที่หลากหลาย ตั้งแต่ผืนป่า ภูเขา ทะเล แม่น้ำ หมู่เกาะ ไปจนถึงฟยอร์ด แต่พวกเขาก็ยังคงคำนึงอยู่เสมอว่าทรัพยากรเหล่านี้มีอยู่เพียงจำกัด และอาจหมดไปได้ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งภาครัฐ และเอกชน (รวมไปถึงปัจเจกบุคคลทุกคน) ในประเทศสวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์กที่ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัย และอยู่ร่วมกับธรรมชาติในแทบทุกขณะ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะเก็บรักษาสิ่งแวดล้อมที่สวยงามเหล่านี้ไว้ให้ยืนยาวที่สุด เพราะทุกความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อพวกเขาไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
สแกนดิเนเวีย… ภูมิภาคที่ให้ความสำคัญกับทั้งสุขภาพกายและใจ
ด้วยแนวคิดที่ให้ความสำคัญทั้งกับผู้คนและสิ่งแวดล้อมตรงนี้นี่เองที่ทำให้สแกนดิเนเวียกลายเป็นดินแดนแห่งความชีวิตดี ที่การันตีด้วยผลการจัดอันดับความสุขของผู้คนที่ไม่ว่าจะถูกสำรวจกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ประเทศในแถบสแกนดิเนเวียอย่างสวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์กต่างก็ขึ้นแท่นติดอันดับ Top 10 อยู่เสมอ ๆ
นอกจากสภาพแวดล้อมที่สงบสุข ปรัชญาการใช้ชีวิตอันเรียบง่าย และการสนับสนุนจากรัฐบาลแล้ว อีกส่วนสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้คือการให้ความสำคัญกับสุขภาพทั้งภายใน และภายนอกอย่างเท่าเทียมกัน เห็นได้จากการส่งเสริมและดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) ที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการดูแลตัวเองในหลากหลายรูปแบบ
เริ่มตั้งแต่การนวดสวีดิช (Swedish Massage) อันโด่งดัง สปาสไตล์ Thalassotherapy ที่ใช้น้ำทะเลมาช่วยบำบัด ไปจนถึงผลิตภัณฑ์สกินแคร์ต่าง ๆ ที่เข้ามาทำหน้าที่ช่วยสร้างความผ่อนคลายให้กับร่างกายและจิตใจ แต่ยังมีหัวใจหลักอยู่ที่การนำธรรมชาติรอบตัวมาเป็นส่วนหนึ่งของดูแลร่างกาย
L:a Bruket แบรนด์ที่รวบรวมสุนทรียะแบบสแกนดิเนเวียนไว้ในหนึ่งเดียว
หนึ่งในแบรนด์ที่รวบรวมสุนทรียะแบบสแกนดิเนเวียนที่ว่ามาทั้งหมดไว้ในหนึ่งเดียวคือ L:a Bruket แบรนด์สกินแคร์ที่มีความโดดเด่นด้วยภาพลักษณ์ genderless สุดมินิมอลจากวาร์เบิร์ก เมืองชายฝั่งตะวันตกของประเทศสวีเดน ที่ขึ้นชื่อจากวัฒนธรรมสปาน้ำทะเลบำบัดอายุกว่า 200 ปี ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของผลิตภัณฑ์คุณภาพดีจากธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนเลียบชายฝั่งทะเล ซึ่งถือเป็นภูมิประเทศที่มีสภาพอากาศรุนแรง ทำให้ผลิตภัณฑ์ของ L:a Bruket สามารถใช้ได้กับทุกสภาพอากาศ รวมถึงประเทศไทยด้วย
แม้ว่า สองผู้ก่อตั้งอย่าง Monica Kylen และ Mats Johasson จะเริ่มต้นทำแบรนด์ L:a Bruket มาจากการเป็นสตูดิโอสร้างสรรค์เซรามิกทำมือมาก่อน แต่ด้วยความหลงใหลในส่วนผสมคุณภาพสูงจากธรรมชาติในท้องถิ่น และการไม่สามารถหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ ทำให้ L:a Bruket หันมาผลิตสบู่ด้วยตัวเอง ก่อนจะขยับขยายมาสู่สกินแคร์อีกหลากหลายชนิดอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้า ริมฝีปาก มือ เรือนร่าง หรือแม้แต่ไอเทมไลฟ์สไตล์ในบ้านอื่น ๆ ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัตถุดิบจากท้องทะเลและผืนป่าอย่างสารสกัดจากสาหร่ายทะเล Sea Salt ดอกไม้ และพืชพรรณท้องถิ่นในสวีเดน รวมไปถึงการผสมผสานวัฒนธรรม Self-care เข้ามาเป็นหลักคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีกลิ่นและสัมผัสที่พาคนกลับไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เพื่อผ่อนคลายจิตใจจากชีวิตวุ่นวายในเมือง และให้คุณสมบัติในการบำรุงผิวด้วยการรวมนวัตกรรมธรรมชาติและองค์ความรู้เรื่องศาสตร์แห่งสปาเข้าด้วยกัน
จากเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์และที่มาของวัตถุดิบทั้งหมด จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ L:a Bruket จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมเป็นอันดับต้น ๆ การันตีจากมาตรฐาน COSMOS ซึ่งถือเป็นการรับรองผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคระดับโลกที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์จะถูกผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันจากวัตุดิบธรรมชาติที่ทั้งปลอดภัยต่อการใช้งาน และยังถูกเก็บเกี่ยวอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีสารเคมีอันตราย ไม่มีการทดลองในสัตว์ รวมทั้งยังมีการเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อวิ่งแวดล้อม สามารถรีไซเคิล และนำกลับมารีฟิลได้ในหลายกลุ่มสินค้า นอกจากนั้น L:a Bruket ยังมอบรายได้ 5% จากการขายสินค้าที่ใช้สารสกัดน้ำมันต้นสปรูซทั่วโลกให้กับองค์กร Naturarvet เพื่อใช้ในการพิทักษ์ผืนป่าต่อไปด้วย
ด้วยแนวคิดนวัตกรรมขับเคลื่อนจากธรรมชาติ ไม่ใช่เคมี รวมไปถึงความดีงามของผลิตภัณฑ์ที่ถูกพัฒนามาอย่างยาวนานจนเกิดเป็นสินค้าตัวเด่นของแบรนด์อย่าง 279 Replenishing serum, 017 Lip Balm, 244 Hand Cream, 245 Sea Salt Body Scrub หรือ 255 Scented Candle (เลขด้านหน้าหมายถึงจำนวนครั้งในการทดลองก่อนจะได้มาเป็นสูตรที่สมบูรณ์แบบ) จึงทำให้แบรนด์สัญชาติสวีดิชนี้ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในหลายประเทศทั่วเอเชียขณะนี้ โดยเฉพาะในประเทศเกาหลีและไต้หวัน สองประเทศที่ผู้นำเทรนด์ด้านความงามของชาวเอเชียน
ซึ่งใครที่กำลังตามหาสินค้าของ L:a Bruket อยู่ ตอนนี้ก็คงไม่ต้องลำบากฝากหิ้วจากต่างประเทศอีกต่อไปแล้ว เพราะแบรนด์สกินแคร์จากการรังสรรค์ของธรรมชาตินี้กำลังจะวางขายในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 26 เมษานี้ ที่ Paragon Beauty Hall ชั้น M และ Central Ladprao - Beauty Galerie ชั้น 1 รวมไปถึงทางออนไลน์ที่ Central Online ด้วย
โดยนอกจากจะได้ไปเลือกช็อปสินค้าที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองแล้ว หากใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมหน้าร้านในช่วงวันที่ 26 เม.ย. - 31 พ.ค.นี้ ก็จะได้รับผลิตภัณฑ์ขนาดทดลอง รวมไปถึงบริการปรนนิบัติผิวสไตล์ Swedish Self-care ฟรีด้วยเช่นกัน
อ้างอิง: https://www.scandinaviastandard.com/where-is-scandinavia-a-guide-to-the-scandinavian-countries/ https://www.scandinaviastandard.com/what-is-scandinavian-design/ https://www.smashingmagazine.com/2011/06/the-story-of-scandinavian-design-combining-function-and-aesthetics/ https://www.activesustainability.com/sustainable-development/nordic-countries-top-sustainability-rankings/?_adin=02021864894 https://thegreenhubonline.com/what-we-can-learn-from-the-worlds-most-sustainable-countries-in-scandinavia/