เมื่อ สายไหม – วิสสุตา แก้ววิเชียร หรือ days of light บอกกับเราว่า เธอได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะสไตล์อิมเพรสชันนิสต์ เราเลยแปลกใจไม่น้อย เพราะผลงานของเธอใช้เทคนิกสีไม้เป็นหลัก และดูเหมือนจะต่างจากงานของชาวอิมเพรสชันนิสต์ในอดีตมาก แต่ทำไมสีไม้จะใช้ถ่ายทอดความประทับใจบ้างไม่ได้ล่ะ จริงไหม?

เมื่อ สายไหม – วิสสุตา แก้ววิเชียร หรือ days of light บอกกับเราว่า เธอได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะสไตล์อิมเพรสชันนิสต์ เราเลยแปลกใจไม่น้อย เพราะผลงานของเธอใช้เทคนิกสีไม้เป็นหลัก และดูเหมือนจะต่างจากงานของชาวอิมเพรสชันนิสต์ในอดีตมาก แต่ทำไมสีไม้จะใช้ถ่ายทอดความประทับใจบ้างไม่ได้ล่ะ จริงไหม?

ตีความศิลปะอิมเพรสชันนิสต์ในแบบภาพสีไม้ ผ่านงานศิลปะที่เป็นดังบันทึกความทรงจำของ days of light

ถ้าพูดถึงกระแสศิลปะตะวันตกที่ประทับจิต ‘ประทับใจ’ ผู้คนในยุคปัจจุบันมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นศิลปะลัทธิประทับใจ หรือ Impressionism ซึ่งมีเอกลักษณ์เด่นเป็นการใช้เทคนิคฝีแปรงอันรวดเร็วฉับพลัน เพื่อเก็บความงดงามของแสงธรรมชาติ และถ่ายทอดความสวยงามในชีวิตประจำวันธรรมดา ๆ ให้อยู่ไปตลอดกาลบนผืนผ้าใบ เช่น ภาพวาดทิวทัศน์ในธรรมชาติของ โคลด โมเนต์

ซึ่งเมื่อ สายไหม – วิสสุตา แก้ววิเชียร หรือ days of light บอกกับเราว่า เธอได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะสไตล์นี้ เราเลยแปลกใจไม่น้อย เพราะผลงานของเธอใช้เทคนิกสีไม้เป็นหลัก และดูเหมือนจะต่างจากงานของชาวอิมเพรสชันนิสต์ในอดีตมาก แต่ทำไมสีไม้จะใช้ถ่ายทอดความประทับใจบ้างไม่ได้ล่ะ จริงไหม?

“ฟังดูไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันเลยในแง่ของเทคนิคสีไม้กับภาพวาด แต่เราสนใจศิลปะ Impressionist มาตั้งแต่สมัยม.4 นอกจากความสวยงามที่เป็นเอกลัษณ์แล้ว สิ่งที่เราชอบคือหัวใจของศิลปะแนวนี้คือการเล่าเรื่องความประทับใจในชีวิตประจำวันธรรมดา ๆ เพราะศิลปินเริ่มขนสีออกไปวาดภาพธรรมชาติ ต้นไม้ใบหญ้า อย่างเช่นภาพกองฟาง Haystacks ของ โคลด โมเนต์ ที่ในความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่กองฟางกองนึง แต่ที่ภาพวาดออกมางดงามขนาดนี้เพราะความรู้สึกของคนที่วาดต่างหาก ” เธออธิบาย

“เราเป็นคนมีความประทับใจกับอะไรได้ง่ายมาก และเราอยากเป็น Impressionist ยุคใหม่ในแบบของเรา เพราะเรามีสิ่งที่ประทับใจมากมายที่อยากจะบันทึกไว้ บังเอิญว่าเราถนัดที่จะเก็บความประทับใจในรูปแบบดินสอมากกว่าพู่กัน ก็เลยเป็นภาพวาดสีไม้ค่ะ”

days of light เป็นทั้งชื่อและแบรนด์ที่สายไหมรับจบครบทุกตำแหน่งตั้งแต่ นักวาด นักเขียน ครีเอทิฟไดเรกเตอร์ กราฟิกดีไซเนอร์ ไปจนถึงโปรดักต์ดีไซเนอร์ ซึ่งตำแหน่งทั้งหมดนี้มีจุดร่วมกันอยู่ที่การเล่าเรื่อง ซึ่งอาจจะเป็นความทรงจำอะไรที่เราจำได้ หรือเป็นความรู้สึกที่ลอยล่องอยู่ในลายเส้นของเธอก็เป็นได้

“คอนเซปต์ของ days of light คือการเล่าเรื่องราววันเวลาที่สามารถเป็นแสงสว่างให้เรา ความทรงจำที่ดี สิ่งของ ผู้คนที่เราพบเจอ คำพูดที่เราได้รับมาแล้วเป็นแรงบันดาลในการใช้ชีวิต ทำให้อยากจะก้าวต่อไปหรือเริ่มต้นใหม่ เราอยากส่งต่อสิ่งเหล่านี้ให้กับคนอื่น ๆ ด้วย หวังว่าคนอื่นที่มาพบเห็นจะได้รับแรงบันดาลใจเหมือนเราเช่นกัน”

“เอกลักษณ์ของ days of light เลยเป็นภาพความทรงจำที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง Base on true story ผสมรวมกับความคิดความรู้สึกที่เรามีต่อโมเม้นนั้น กลายเป็นภาพดรอว์อิงสีไม้ที่มีรายละเอียดคล้ายจริง รายละเอียดของสีไม้ที่สามารถรับรู้ได้ถึงทิศทางความเคลื่อนไหวของโมเมนต์นั้น ๆ และในแต่ละผลงานมีเรื่องเล่าอยู่ในนั้นเสมอ”

นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ days of light ที่หมายถึง ‘days’ ช่วงเวลาต่าง ๆ ทั้งในอดีตและอนาคต และ ‘light’ เรื่องราวความสุขที่เจิดจ้าเหมือนแสงสว่าง ซึ่งหมายถึงน้ำหนักของสีไม้ในภาพของเธอที่ให้ความรู้สึกเบาสบาย มองแล้วรู้สึกผ่อนคลายด้วย

ผลงานของเธอเป็นเหมือนไดอารีที่บันทึกความทรงจำและสะท้อนตัวตนในแต่ละช่วงเวลา แต่ละคอลเลกชันที่ออกมาจึงมีความเป็นไปได้ไม่รู้จบ เช่นชุด Again, Someday. ที่เป็นความทรงจำสุดพิเศษ หรือ Ordinary Things ที่เป็นเพียงเรื่องราวธรรมดาในชีวิตประจำวัน

แต่งานของเธอก็ไม่ได้มาจากแค่เหตุการณ์ในชีวิตจริงเท่านั้น เพราะยังมีภาพที่เธอได้แรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์หรือซีรีส์อีกด้วย ซึ่งเธอบอกว่าวิธีการทำงานสองแบบนี้แตกต่างกันอยู่มาก ๆ “เวลาเราวาดภาพแฟนอาร์ตส่วนใหญ่มันคือการวาดเล่น ฉากในหนังเป็นยังไง เราก็วาดตามนั้น เน้นใส่ความประทับใจในหนังหรือตัวละครลงไปล้วน ๆ ใช้แต่สกิลการวาด แต่ทุกงานที่เป็นงานจากชีวิตจริงของเรา ใช้ความคิดเยอะสุด ๆ แอบมีความคาดหวังในตัวเองเล็ก ๆ ว่าเราจะสื่อสารในสิ่งที่เราอยากถ่ายทอดออกมาได้ครบไหม จะทำได้ตรงตามกับที่เราคิดไว้ในหัวรึเปล่า มีความหวั่นใจ มันมีผลกระทบกับตัวเราโดยตรงเพราะบางเรื่องราว มีคนในชีวิตจริงที่อยู่ในนั้น เขามาอ่าน เขามาเห็น ก็ต้องรับรู้ความในใจของเรา ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ของการเล่าความประทับใจผ่านศิลปะนะ คำบางคำเราอาจจะไม่กล้าบอกใครสักคนตรง ๆ แต่มาเล่าผ่านภาพผ่านการเขียนแทนได้” เธอยอมรับแบบยิ้ม ๆ

“เราใช้สีไม้เพราะว่าตั้งแต่ประถมเป็นคนชอบฟีลลิ่งของการใช้ดินสอ” เธอเล่าถึงความผูกพันและเทคนิคการลับฝีมือกับอุปกรณ์สีไม้ที่เลือกใช้ “เรารู้สึกสกิลในการวาดรูปของเราไม่ได้มาจากการตั้งใจฝึกฝนหรือเรียนอะไรจริงจังเป็นกิจลักษณะอะไรเลย แต่มาจากการวาดฆ่าเวลาตอนเรียนนี่แหละ เราเป็นคนสมาธิสั้น เบื่อง่าย เลยชอบ multitasking เมื่อไหร่ก็ตามที่รอ ก็จะวาดเพื่อฆ่าเวลา ระหว่างรอครูเฉลยโจทย์เลขก็วาดรูปรอในชีทเรียน ในสมุดแพลนเนอร์ ใบเสร็จอะไรแบบนี้”

“เมื่อก่อนเราคิดว่าว่า days of light ต้องเป็นเรื่องราวที่สงบ เบาสบาย เป็นภาพธรรมชาติฮีลใจ แต่พอถึงจุดนึงที่ตัวเราโตขึ้น เปลี่ยนแปลงไป เราก็อยากให้ผลงานสะท้อนสิ่งเหล่านั้นออกมาด้วย ไม่อยากยึดติดกับอะไรเดิมๆ ปีนี้เราชอบวาดภาพคนมากกว่าธรรมชาติ ทุกคนก็อาจจะเห็นว่ามีเรื่องราวเกี่ยวกับคน หรือความสัมพันธ์มากขึ้น สีสันฉูดฉาดสดใสมากขึ้น” เธอกล่าวทิ้งท้าย “ไม่มั่นใจว่าในอนาคตจะเป็นยังไง แต่อยากเอนจอยกับการเปลี่ยนแปลง explore ทุกๆ ความเป็นไปได้ หวังว่าทุกคนที่ติดตามจะชอบและรอดูความเปลี่ยนแปลง การเติบโตทีละเล็กละน้อยของ days of light เหมือนกับที่เราชอบนะคะ ^ ^”

ติดตามผลงานของ days of light ได้ที่ https://www.instagram.com/day.s.of.light/ หรือ https://facebook.com/mydaysoflight/

ภาพจากคอลเลคชั่น Again, Someday. เรื่องราวแสนพิเศษใน Our Serendipity คือ “บางเรื่องที่ดูเหมือนจะโชคร้ายหรือจริงๆ แล้วคือความโชคดี?” เราไปเที่ยวเกียวโตกับเพื่อนสนิท นั่งรสบัสไปหมู่บ้านชาวประมง แต่ว่าดันลงบัสผิดสถานี ต้องเดินเท้าต่อไปอีก 1 สถานี ตอนนั้นใจเสียเลย แต่ปรากฏว่าหมู่บ้านระหว่างทางสวยกว่าจุดหมายซะอีก แถมได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่เป็นคุณยายแสนน่ารักที่เค้าลงตามมา(ผิด)เพราะพวกเราด้วย กลายเป็นว่าพวกเราดีใจกันมากๆ ที่ลงผิด เราคิดว่าถ้าไม่มีเรื่องโชคร้ายเลย เราก็คงไม่ได้พบความทรงจำดีที่ล้ำค่าแบบนี้ และเรื่องราวที่โชคดีที่สุด คือการที่พวกเราได้อยู่ด้วยกัน

เราประทับใจภาพนี้เพราะเรื่องราวที่เราเจออยู่แล้ว แต่สิ่งที่พิเศษสำหรับเราคือมีคนบอกเราว่า ภาพนี้ทำให้เขาคิดถึงเขากับแฟนเก่า และเรื่องนี้ทำให้เขาอ่านแล้วร้องไห้ เราทึ่งที่ภาพของเราสามารถตีความหมายได้ทั้ง platonic และ romantic ขึ้นอยู่กับมุมและประสบการณ์ของแต่คนละคน และชอบทุกการตีความเลย

ภาพจากคอลเลคชั่น Ordinary Things แรงบันดาลใจของภาพนี้คือ เวลาที่เพื่อนเข้ามาทักว่า “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง มีอะไรเล่าให้ฟังได้นะ” บ้างครั้งไม่รู้จะเล่าให้ฟังยังไงดี ทั้งๆ ที่เราก็มีความสุขดี อยากจะเล่าให้ฟังว่ามีความสุขกับการเลือกของในซุปเปอร์มาเก็ตมากแค่ไหน หรือแฮปปี้มากตอนสร้างคอนเสิร์ตเล็กๆเวลาอาบน้ำ หรือได้นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินหน้าบ้านตอนเย็นเกือบทุกวัน ไม่รู้จะรวบรวมเรื่องเล็กน้อยธรรมดาเหล่านี้แล้วพูดออกไปดีไหม เพราะมันดูไม่ได้สลักสำคัญอะไร และคงไม่น่าสนใจเท่ากับการได้ออกไปเที่ยว ทำกิจกรรมใหม่ๆ หรือพบปะใครเป็นพิเศษ มันดูเป็นเรื่องรายละเอียดเล็กน้อยและธรรมดามากเกินกว่าที่จะเล่าให้ฟัง แต่ที่จริงแล้ว เรื่องราวเหล่านี้มีความหมายและมีนัยยะสำคัญกับชีวิตเรามากนะ เมื่อความสุขก้อนเล็กๆ รวมกันเป็นความสุขก้อนใหญ่ เราก็เข้าใจว่าเรื่องราวเหล่านั้นไม่เคยธรรมดาในความรู้สึกเลย แต่มันพิเศษเสมอมา

ภาพนี้เป็นภาพจาก Collection Love, to Self. ที่เราเล่าถึงเรื่องราวการรักตัวเองในแบบของเรา เพราะเราเคยเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบความเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ เรามาค้นพบว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้กลัวการโตเป็นผู้ใหญ่แต่ เราแค่กลัวจะสูญเสียความเป็นเด็กในตัวเอง กลัวจะกลายเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่เราเพราะเราได้ทิ้งชิ้นส่วนบางอย่างที่เรารักในตัวเองไป เมื่อเราโตขึ้นเรื่อยๆ มันเหมือนเราถูกประกอบจากชิ้นส่วนต่างๆ บางชิ้นส่วนที่เรารักและทำให้เรารักตัวเอง แต่ก็มีบางชิ้นส่วนที่เราไม่ชอบมันเลย มีบางชิ้นส่วนที่หล่นหายไปบ้างและถูกเพิ่มเติมเข้ามา แต่ไม่ว่ายังไงอยากอยู่รอดูการเติบโตของตัวเอง อยากบอกกับตัวเองว่า “ฉันจะรักเธอเสมอ ดีใจที่เป็นเธอ ที่ได้เดินไปพร้อมกัน”

ภาพนี้เลยเป็นภาพตัวเราในปัจจุบันที่โตแล้วกับตัวเราในตอนเด็กไปวิ่งไปเล่นไปเครื่องเล่นในฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ด้วยกัน

“เราพยายามมากมายเพื่อจะถูกรักมากขึ้นอีกสักนิดนึงก็เท่านั้น” ภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพคอลเลคชั่นใหม่ You look Best when you’re You เป็นภาพวาดที่เราชอบที่สุดในปี 2023 เป็นภาพที่เราใส่ความหมายแฝงเข้าไปในทุกดีเทลและเป็นภาพแรกที่เราแบ่งการเล่าเรื่องราวเป็น 2 part จากภาพๆเดียว เพราะมีเรื่องราวมากมายที่พิเศษและความหมายกับเรามากๆ เกิดขึ้นในภาพนี้

ทั้งจุดเริ่มต้นของการเป็นตัวเราในทุกวันนี้กับเปรียบเหมือนกับ ’สีม่วง’, insecurity ของคนที่พยายามครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่ออยากรู้สึกถูกรักมากกว่านี้อีกสักนิดนึง, และคำพูดจากเพื่อนคนนึงในงานกีฬาสีตอนเราอายุ 17 ที่เป็นแรงบันดาลใจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิด days of light เลย สามารถตามไปอ่านเต็มใน Instagram ได้นะคะ

เป็นอีกหนึ่งภาพจาก Collection ใหม่ You look Best when you’re You ภาพนี้เราได้แรงบันดาลใจมากจากหนัง Rom-Com เรื่อง Bridget Jones’s Diary ที่มีประโยคสารภาพรัก “I like you very much. Just as you are.” ในช่วงปี 2023 เป็นปีที่เราอินกับการอ่านนิยายรักโรแมนติกและดูหนัง Rom-Com เยอะมากๆ เป็นสาวโสดคนนึงที่ รู้สึกว่าอยากจะมีพระเอกโผล่เข้ามาในชีวิตและพูดคำบางคำเหมือนในหนังบ้าง เราเชื่อว่าหลายๆ คนอยากมีใครสักคนนึงที่จะบอกว่าชอบเราในแบบที่เราเป็น ทั้งๆที่บางครั้งเราก็กลับไม่ชอบตัวเองด้วยซ้ำ

ภาพนี้เป็นภาพที่เราวาดขึ้นเพื่อบอกว่าเราไม่อยากรอจนพระเอกปรากฎตัว ไม่อยากรอคอยให้ใครมาเขียนเรื่องราวให้เรา แต่เราจะลงมือเขียนมันด้วยตัวเราเอง เราจะเป็นเรื่องราวความรักดีๆ ให้กับตัวเองตั้งแต่วินาทีนี้ เป็นนางเอกที่พูดว่า “ฉันชอบตัวเองมาก ในแบบที่ฉันเป็น”

เราชอบรูปนี้เป็นพิเศษเพราะรวมทุกรายละเอียดที่เป็น vibe ตัวเรา รวมทุกสิ่งที่เราชอบในปี 2023 จริงๆ