ตามประวัติแบบทางการแล้ว เออร์เนสโต เนโต (Ernesto Neto) คือศิลปินที่แสดงงานมาแล้วทั่วโลก และมีผลงานอยู่ในคลังสะสมของพิพิธภัณฑ์ใหญ่ ๆ เต็มไปหมด ต้องสารภาพว่าเมื่อ GroundControl ได้โอกาสไปสัมภาษณ์เขา เราเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่ได้เลย แต่เมื่อเขาชวนเรานั่งลงคุยกันบนขอนไม้เก่า ๆ กลางสนามหญ้า ความตื่นเต้นก็กลายเป็นความสนุก — สนุกทั้งตอนที่เขาเคาะไม้เป็นจังหวะเพลงพื้นบ้านบราซิล ตอนที่จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นเต้นระหว่างสัมภาษณ์ สนุกทั้งตอนที่เขาเล่าเรื่องเซ็กส์ เรื่องชีวิต และสนุกทั้งตอนที่เขาเล่าไอเดียของความเป็นประติมากรรมของเขา บ่นหัวเสียกับโลกศิลปะ กับการเมืองบราซิล กับการเมืองโลก กับระบอบอาณานิคม กับศาสนาคริสต์และความเชื่อต่าง ๆ สนุกกับประสบการณ์ที่ทำให้เขาสนใจศาสนาพุทธ จนมาทำงานศิลปะที่อิงกับศาสนาพุทธแบบเต็ม ๆ ในงาน Thailand Biennale Chiangrai ในปีนี้

ตามประวัติแบบทางการแล้ว เออร์เนสโต เนโต (Ernesto Neto) คือศิลปินที่แสดงงานมาแล้วทั่วโลก และมีผลงานอยู่ในคลังสะสมของพิพิธภัณฑ์ใหญ่ ๆ เต็มไปหมด ต้องสารภาพว่าเมื่อ GroundControl ได้โอกาสไปสัมภาษณ์เขา เราเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่ได้เลย แต่เมื่อเขาชวนเรานั่งลงคุยกันบนขอนไม้เก่า ๆ กลางสนามหญ้า ความตื่นเต้นก็กลายเป็นความสนุก — สนุกทั้งตอนที่เขาเคาะไม้เป็นจังหวะเพลงพื้นบ้านบราซิล ตอนที่จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นเต้นระหว่างสัมภาษณ์ สนุกทั้งตอนที่เขาเล่าเรื่องเซ็กส์ เรื่องชีวิต และสนุกทั้งตอนที่เขาเล่าไอเดียของความเป็นประติมากรรมของเขา บ่นหัวเสียกับโลกศิลปะ กับการเมืองบราซิล กับการเมืองโลก กับระบอบอาณานิคม กับศาสนาคริสต์และความเชื่อต่าง ๆ สนุกกับประสบการณ์ที่ทำให้เขาสนใจศาสนาพุทธ จนมาทำงานศิลปะที่อิงกับศาสนาพุทธแบบเต็ม ๆ ในงาน Thailand Biennale Chiangrai ในปีนี้

เมื่อคนรักจูบศิลปิน เขาเห็นดวงอาทิตย์จูบพืชพรรณและโลก มองโลกแบบบราซิล (?) และเชียงรายกับ Ernesto Neto ศิลปินระดับโลกใน Thailand Biennale Chiangrai 2023

รูปปั้นพระเยซูขนาดยักษ์ที่ริโอเดอจาเนโรอาจจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ชาวบราซิลภูมิใจ แต่สำหรับศิลปินบราซิลคนนี้ พระเยซู (และศาสนาคริสต์) คงไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบที่สุดในประเทศของเขา “ถ้าคุณเดินเข้าโบสถ์ในบราซิล จะเจอผู้ชายคนหนึ่งบนไม้กางเขน เขาถูกฆ่าโดยสังคม ถูกฆ่าโดยรัฐ และถูกฆ่าโดยศาสนจักร ในแง่หนึ่ง นั่นไม่ใช่ภาพของพระเยซู มันคือ ‘ภาพ’ ของผู้คนที่ฆ่าพระเยซูต่างหาก เหมือนเวลาที่คนเข้าป่าล่ากวาง ฆ่ามัน แล้วก็เอาหัวมันแขวนบนผนัง”

ตามประวัติแบบทางการแล้ว เออร์เนสโต เนโต (Ernesto Neto) คือศิลปินที่แสดงงานมาแล้วทั่วโลก และมีผลงานอยู่ในคลังสะสมของพิพิธภัณฑ์ใหญ่ ๆ เต็มไปหมด ต้องสารภาพว่าเมื่อ GroundControl ได้โอกาสไปสัมภาษณ์เขา เราเก็บความตื่นเต้นไว้ไม่ได้เลย แต่เมื่อเขาชวนเรานั่งลงคุยกันบนขอนไม้เก่า ๆ กลางสนามหญ้า ความตื่นเต้นก็กลายเป็นความสนุก — สนุกทั้งตอนที่เขาเคาะไม้เป็นจังหวะเพลงพื้นบ้านบราซิล ตอนที่จู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นเต้นระหว่างสัมภาษณ์ สนุกทั้งตอนที่เขาเล่าเรื่องเซ็กส์ เรื่องชีวิต และสนุกทั้งตอนที่เขาเล่าไอเดียของความเป็นประติมากรรมของเขา บ่นหัวเสียกับโลกศิลปะ กับการเมืองบราซิล กับการเมืองโลก กับระบอบอาณานิคม กับศาสนาคริสต์และความเชื่อต่าง ๆ สนุกกับประสบการณ์ที่ทำให้เขาสนใจศาสนาพุทธ จนมาทำงานศิลปะที่อิงกับศาสนาพุทธแบบเต็ม ๆ ในงาน Thailand Biennale Chiangrai ในปีนี้

‘CHANTDANCE’ คือผลงานศิลปะจัดวางที่ประกอบไปด้วยหม้อดินแบบไทย ๆ และต้นไม้ที่ห้อยอยู่เหนือพื้นดิน ในโครงร่างสีแดงคล้ายกับอวัยวะมนุษย์ ซึ่งติดตั้งอยู่กลางสนามหญ้าที่กว้างขวางและร่มรื่นของอุทยานศิลปะวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง

เขาคุยได้ตั้งแต่เรื่องหนัก ๆ ที่ฟังแล้วต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะตกตะกอน จนถึงเรื่องตลก ๆ และเรื่องที่ฟังแล้วใจฟู นี่คือศิลปินที่ใช้ชีวิตเหมือนงานศิลปะจริง ๆ คนหนึ่ง ก่อนจะไปชมงานของเขาที่ติดตั้งอยู่ในไร่แม่ฟ้าหลวงในเชียงราย เราอยากชวนให้ทุกคนมาหามุมสงบ ๆ แล้วมาดำดิ่งเข้าห้วงความคิดที่วิ่งเร็วฉิวของเขากัน

เมื่อคืนคุณนั่งรถสามล้อผ่านหน้าผมไปในขบวนพาเหรดศิลปะร่วมสมัย Chiang Rai Art Carnival ประสบการณ์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรเหมือนกับงานคาร์นิวัลที่บราซิลบ้างไหม?

ผมคิดว่ามันเยี่ยมเลยนะ ผู้คนสนุกกันมาก มันทำให้รู้สึกถึงความเป็นชุมชนที่ ‘จริง‘ มาก ๆ ที่บราซิลจะเป็นอีกแบบ ซึ่งแต่ละที่ในประเทศก็จะต่างกันไปอีก เราเต้นกันเป็นบ้า แต่งตัวกัน ดื่มกันจนเมา ร้องเพลงกัน เหมือนเป็นเวทีแบบหนึ่ง แล้วก็มีขบวนพาเหรด ผู้คนตีกลองกันแบบแอฟโฟร-บราซิลเลียน พวกเขาทั้งหมดกำลังเล่าเรื่องอยู่ คนแต่ละกลุ่มแต่งตัวแบบของเขา เครื่องแต่งกายแต่ละแบบก็เล่าเรื่องของพวกเขา เหมือนกับขบวนเมื่อวานนี้นี่แหละ แต่ที่นั่นรถมันใหญ่มาก ๆ คนตีกลองใหญ่ ๆ ประมาณ 300 คนได้ มันคือสิ่งที่อยู่ในทีวีนั่นแหละ แต่คุณต้องไปอยู่ในนั้น มันไม่ได้มีไว้ให้ดู ไม่มีใครไปดูหรอก พวกเราไปสุดเหวี่ยงกับมันที่นั่นกัน

แล้วถ้าพูดถึงประเทศไทยกับบราซิลโดยรวมคุณเห็นความเหมือนหรือต่างอย่างไร?

สิ่งที่เหมือนกันที่สุดคือบรรยากาศ (ambiance) พวกอุณหภูมิ พรรณไม้ มันวิเศษมาก ผมคิดว่าผมไม่เคยไปประเทศไหนที่รู้สึกให้ความรู้สึกสบายใจจากพืชพรรณเท่าที่นี่ เข้าใจไหม เพราะเวลาเราไปประเทศอื่นอย่างในทวีปอเมริกาใต้ ไม่มีที่ไหนมีสภาพแวดล้อมเขตร้อนแบบเดียวกับที่บราซิล อาจจะนิดหน่อยที่โบลิเวีย แต่ที่นี่มันมีพรรณไม้จากบราซิลเยอะมาก อย่างมะม่วง มีเต็มไปหมดเลยที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าแหล่งมันจริง ๆ มาจากอินเดียหรือจากไหน แต่มันไม่เคยมีมาก่อนที่บราซิล จนกระทั่งชาวโปรตุเกสเอามาปลูกตรงนั้นตรงนี้ทั่วบราซิล มันเลยให้ความรู้สึกคล้าย ๆ กัน

อีกอย่างที่อาจจะต่างไปคือเรื่องวัฒนธรรมประเพณี ประเพณีที่บราซิลจะมีความป็อปคัลเจอร์อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ อย่างแซมบ้า ถึงแซมบ้าจะเป็นดนตรีที่นิยมในบราซิลซึ่งต่างจากดนตรีแอฟริกามาก แต่จริง ๆ แล้วก็มาจากแอฟริกา รากของบราซิลมาจากคนพลัดถิ่นชาวแอฟริกาและชนพื้นเมือง วัฒนธรรมป็อปในบราซิลแข็งแกร่งมาก แต่พวกชนชั้นนำกลับต่อต้านความเป็นบราซิลแล้วพยายามจะเป็นแบบคนยุโรป คุณรู้ไหมว่าบราซิลเกิดมาจากลัทธิล่าอาณานิคม ตอนนี้ชนพื้นเมือง กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ผู้คน ชุมชนต่าง ๆ ก็มีชีวิตที่ดี ผมคิดว่าพวกเขาไม่มีแนวคิดเรื่องการเจริญก้าวหน้า การพัฒนา อะไรทำนองนั้น พวกเขารู้สึกว่าสภาพที่เป็นอยู่นี้ก็ดีแล้ว มันดีนะที่คุณมีความสุขกับวิถีชีวิตที่ตัวเองใช้อยู่ได้ เราไม่ต้องมา เกิดอะไรขึ้นนะ มีอะไรนะ มีอะไรเกิดขึ้นนะ ตัวอย่างเช่น แนวคิดเรื่องกรรมสิทธิ์ พวกเขาก็ไม่ได้มีแนวคิดเรื่องนี้

ตอนที่ชาวโปรตุเกสมาที่นี่ พวกนั้นมีเซ็กส์กับชนพื้นเมืองแล้วก็ให้กำเนิดเด็กทารกขึ้นมา นั่นคือจุดเริ่มต้นของบราซิล มันเกิดขึ้นทัวริโอเดจาเนโร โดยชาวฝรั่งเศส แล้วชาวแอฟริกันก็เข้ามา ชาวบราซิลรุ่นแล้วรุ่นเล่าไม่มีพ่อ พ่อสารเลว พวกพ่อไม่ได้อยู่ที่นั่นเลยจริง ๆ นี่คือที่มาของสายครอบครัวที่ขาด สายตระกูลที่ขาด เรื่องผู้หญิงแอฟริกันอีกที่มีลูกกับชาวยุโรปที่ส่วนใหญ่เป็นคนโปรตุเกส

ผมเข้าใจว่าสภาพแบบนี้แหละ ที่ทำให้วัฒนธรรมป็อปสำคัญและเข้มแข็งขึ้นมา เป็นรากฐานของวัฒนธรรมบราซิล ฟุตบอลบราซิล ทุกอย่าง ผมเห็นมันในอาหาร ในวิธีที่ผู้คนเสิร์ฟอาหารให้คุณ ผมคิดว่ามันเยี่ยมไปเลย ที่นี่ก็มีผู้คนที่หลากหลาย มีชุมชนที่หลากหลาย ชนพื้นเมืองที่หลากหลาย ภาษา วัฒนธรรม สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น และเราทั้งหมดคือหนึ่งประชากรเดียวกันทั้งนั้น

ในแง่หนึ่ง ผมคิดว่ามันมีช่องว่างบางอย่าง ความตระหนก อะไรที่มันแหลมคมมาก ๆ ตรงนี้ มันคือความเหมือนและก็ความต่าง (ของกันและกัน) ในเวลาเดียวกัน พอจะเข้าใจไหม

วิธีการสัมผัสโลกและทำความเข้าใจโลกของคุณมีที่มาจากความเป็นบราซิลของคุณอย่างไรไหม?

ตอนมาที่นี่ (เชียงราย) ผมรู้สึกว่าธรรมชาติที่นี่มีพลังมาก ๆ เหมือนที่บราซิลเลย วัฒนธรรมพื้นเมืองหรือแอฟริกันก็ตามให้ความสำคัญกับธรรมชาติมาก ๆ (ในขณะที่) ผมคิดว่าวัฒนธรรมตะวันออกเชื่อมกับธรรมชาติผ่านพระพุทธ

ชนพื้นเมืองที่บราซิลเคารพธรรมชาติมาก ๆ ธรรมชาติคือพี่น้องของพวกเขา รวมไปถึงชาวแอฟริกันที่เข้ามาด้วย แนวคิดเรื่องจิตวิญญาณแบบแอฟริกันเกี่ยวพันกับสมุนไพร กับใบไม้ กับพระเจ้าแห่งธรรมชาติ เหมือนกันกับชนพื้นเมืองในบราซิล

สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้กับสภาวะโลกร้อนที่เราอยู่กัน คือเราอยู่ในระเบียบโลกแบบตะวันตก ระเบียบโลกตะวันตกแพร่กระจายไปทั่วโลก บอกว่านี่แหละชาตินิยม นี่แหละวิธีใช้ชีวิต มันโปรดักทีฟ มันทรงประสิทธิภาพ แล้วเราทั้งโลกก็ยอมรับมัน เราซาบซึ้งกับมัน มันมาแบบ ‘คุณต้องยอมรับมัน ไม่งั้นเราจะฆ่าคุณ เราฉกฉวยจากคุณ เอาดินแดนไปจากคุณ’ นั่นเป็นเกมที่เราเล่นกันอยู่ทุกที่ แล้วคนยุโรปก็เป็นพวกที่พรากธรรมชาติไปจากคุณ กับแนวคิดที่ว่าธรรมชาติมีไว้ให้หยิบเอาไป มีไว้ให้สำรวจ มีไว้ให้ฉกฉวยไม่ได้ให้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

ผมคิดว่ามันมีสายสัมพันธ์ระหว่างเสี้ยวของจิตวิญญาณเราที่เป็นส่วนของแอฟริกันและส่วนของชนพื้นเมืองอยู่ในตัวเราทั้งหมด จากวัฒนธรรม แต่พวกเราไม่ได้เคารพมัน นึกถึงโรงเรียน เราไม่ได้ศึกษาชนพื้นเมืองจริง ๆ ไม่ได้ศึกษาชาวแอฟริกันจริง ๆ มันมีการต่อสู้ครั้งใหญ่จากชนพื้นเมืองและชาวแอฟริกันเพื่อที่จะให้ความรู้ของพวกเขาเข้าไปอยู่ในหลักสูตรการศึกษาอย่างเป็นทางการอยู่ แต่เราไม่เข้าใจมันนักหรอก เวลาคุณมองไปที่ชาวบราซิล คุณจะเห็นว่าเราไม่ได้รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับตัวเราเอง และโรงเรียนก็พูดถึงพวกเราแค่ ⅓ ด้วยซ้ำ

ดูเหมือนลัทธิล่าอาณานิคมจะใช้ทั้งอำนาจปืนและความรุนแรงในการบังคับเรา แต่ก็มีวิธีขยายอิทธิพลแบบอื่นด้วยใช่ไหม ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไป

คือคนพวกนั้นจะประกาศตนเป็นท่านผู้นำที่จะบอกว่าอะไรดีอะไรชั่ว แล้วทีนี้ อะไรดีอะไรชั่วล่ะ? มันมีพลังงานหนึ่งที่ผูกติดพวกเขา (ชาวบราซิล) เข้ากับบรรพบุรุษอยู่ พวกเขาก็เชื่อมโยงอยู่กับโลกเหมือนกัน แต่มาถูกตัดขาดด้วยการล่าอาณานิคม การล่าอาณานิคมตัวเองเกิดขึ้นจากพวกเขาเอง การตัดขาดจากธรรมชาติ มันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้เอง สัก 600 ปีที่ผ่านมา พวกเขาเริ่มใช้สิ่งเดียวกับที่พวกอาณานิคมใช้ล่าโลก คือระบอบราชการและความรุนแรง เพื่อตัดการเชื่อมต่อนั้น ปัญหาคือคริสตศาสนาที่เป็นการตัดเราออกจากโลก ด้วยการวางตำแหน่งพระเจ้าไว้ภายนอกที่ไกลแสนไกล

ผืนโลกเคยถูกมองว่าเป็นความเป็นหญิง และเป็นปีศาจ มันมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอย่างนี้อยู่ แต่ วิทยาศาสตร์หยิบร่างกายของเราออกจากผืนโลก เพื่อมาแยกวิเคราะห์โลก แล้วศาสนาคริสต์ก็คิดแบบเพลโตว่า ร่างกายมันแย่ จิตสิดี แต่ปัญหาในวิธีคิดแบบคริสต์คือจิตเราก็มีบาปกำเนิดอยู่ เพราะเรามีเซ็กส์ถึงได้เกิดขึ้นมา เราไม่ได้บริสุทธิ์ มีแต่พระเจ้าที่สมบูรณ์แบบ แต่นี่คือความปวดร้าวของเราและของโลก โลกไม่ใช่ภูมิทัศน์ โลกคือกาย นี่ (ชี้ต้นไม้รอบ ๆ) คือร่างกายของเรา กายของเราก็เหมือนกายของผมตรงนี้ และกายทั้งหมดนี่ก็เหมือนกัน

คุณพูดบ่อย ๆ ในหลายบทสัมภาษณ์ว่าธรรมชาติกับวัฒนธรรมไม่ใช่สิ่งที่แยกขาดออกจากกัน

ธรรมชาติคือทุกอย่างนี้ รอบ ๆ ตัวเรา วัฒนธรรมก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ธรรมชาติมาก่อน ขอยกตัวอย่างเป็นเรื่องนี้นะ แม่น้ำสายหนึ่งในริโอเดอจาเนโร ปกติน้ำจะเย็นมาก หน้าร้อนน้ำก็ยังเย็น แต่มันมีหน้าร้อนหนึ่ง น้ำมันอุ่นขึ้นมาสัก 30 - 40 วันได้ แล้วรู้ไหมเกิดอะไรขึ้น คนก็เริ่มไปที่หาดกันในช่วงพระอาทิตย์ตก ผมกับเพื่อนชอบไปที่นั่นอยู่แล้วตั้งแต่ตอนที่น้ำยังเย็น ไม่มีปัญหา แต่เราเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลง แล้วพอหน้าร้อนถัดไป น้ำมันก็ไม่ได้อุ่นมากแล้ว บางปีก็อุ่นอยู่แค่ 20 วันแต่เดี๋ยวนี้น้ำจะอุ่นหรือเย็น คนก็ไปเล่นที่หาดกันหมดแล้ว

วัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไปเพราะธรรมชาติ ธรรมชาติทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมของเรา อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น ถ้าไปเที่ยวบาร์ ดื่มเบียร์ พูดคุยกัน แล้วก็คิดถึงอะไรมากมาย คิดว่าจะเปลี่ยนโลก จะสร้างพิพิธภัณฑ์ใหม่ เห็นภาพของอนาคตที่ยอดเยี่ยม แล้วก็ถูกตรึงไว้กับวัฒนธรรมนั้น ถูกตรึงไว้กับโต๊ะ บทสนทนาตรงนั้นมันน่าตื่นเต้นมาก

แต่แล้วก็มีเสียงเรียก ‘เฮ้ย! เออร์เนสโต้ ไปกันเถอะ’ แล้วคุณก็บอกว่า ‘รอเดี๋ยวสิ’ คุณถูกดูดติดเข้ากับวัฒนธรรมแล้ว แต่ในตอนที่คุณลุกออกจากโต๊ะ ทันใดนั้นคุณก็หลุดออกจากวัฒนธรรม แล้วกลับมาสัมผัสตัวคุณได้อีกครั้ง คุณเดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วทันทีที่ถึงห้องน้ำ คุณก็ฉี่ แล้วทันใดคุณก็เชื่อมต่อกับสิ่งอนันต์ กับจักรวาล กับโลก กับธรรมชาติ แม้กระทั่งกับจิตวิญญาณ แล้วก็ทางกายภาพด้วย เพราะคุณฉี่ลงแรงโน้มถ่วงไปหาผืนโลก คุณอาจจะฉี่ที่ต้นไม้หรือในโถ แต่สักวันมันก็ต้องไหลลงน้ำอยู่ดี ลงผืนโลก แล้วคุณอาจจะกลับสู่วงแวดล้อมทางวัฒนธรรมของคุณกับแนวคิดใหม่ ๆ

ถามว่าอะไรคือธรรมชาติ อะไรคือวัฒนธรรม มันคือมิติทางจิตวิญญาณที่อยู่ตรงกลาง จิตวิญญาณคือพลังที่สุดยอดในฐานะสื่อกลางระหว่างโลก ระหว่างวัฒนธรรมกับธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใต้ต้นไม้คุณก็รู้ มันมีความเชื่อมโยงบางอย่างกับธรรมชาติที่อยู่ในทุก ๆ สิ่ง เพราะเราคือธรรมชาติ

นี่เป็นแนวคิดที่เราจะได้พบในงานชิ้นนี้ (ที่แสดงในงาน Thailand Biennale Chiangrai) ด้วยใช่ไหม?

ใช่เลย งานนี้เป็นเหมือนวัดที่อ่อนนุ่ม ทุกอย่างมันเหมือนวัดสำหรับผม พอเข้าไปในงานถึงตรงกลางเราจะมีหม้อดินเผากับดินและต้นไม้ จะมีโครงสร้างเหมือนเต็นท์แผ่ออกมาจากหม้อดินนั้น จะมีน้ำเต็มไปหมด ซึ่งทั้งหมดจะอยู่ได้ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก

ผมใช้เซรามิกทำงานมาบ้างแล้ว แต่งานนี้มันมาจากเมื่อวันแรกที่ผมมาที่นี่ (เชียงราย) ผมไปที่ร้านอาหาร เห็นหม้อดินเผา แล้วก็เริ่มเห็นมันตามธรรมชาติ ใบหนึ่งมีปลาอยู่ข้างในด้วย หลังจากนั้นเลยไปที่ดอยดินแดง แล้วก็ไปวัดต่าง ๆ ด้วย มีคนบอกผมว่า สีแดงคือสวรรค์ในศาสนาพุทธ มันเป็นเรื่องที่แปลกใหม่สำหรับผมมาก ที่บราซิล เราเพิ่งหลุดพ้นจากยุคแย่ ๆ ของ อดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู ที่สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์ แล้วพวกคลั่งชาติพวกนั้นก็จะบอกว่า ไม่ เราจะไม่ยอมให้มีสีแดงมาเปื้อนธงของเราเด็ดขาก แต่ลองมองดอกไม้พวกนี้สิ มันไม่ได้เป็นสีที่แย่เลย ทุก ๆ อย่างคือชีวิต ทุกสิ่งดี ๆ ทั้งนั้น เราเองที่ทำให้สิ่งใดดีหรือแย่ แน่นอนมันมีพรรณไม้ที่เป็นพิษ แล้วก็ชนิดที่ดีต่อสุขภาพ แต่พืชที่มีพิษก็อาจมีดีของมันได้เหมือนที่ผักสุขภาพดีอาจจะไม่ได้ดีถ้ามองจากมุมอื่น

พอมันเป็นอย่างนี้ ผู้คนก็ส่งต่อความเขลาและความเพิกเฉย (ignoranceไปเรื่อยแล้ว ขายความเขลา ใช้ความเขลา จะบอกว่าตอนที่ผมโดน มันเยี่ยมไปเลยนะ ผมโกรธ และก็มีความสุข ผมไม่รู้ได้ยินใครพูดมาว่าสีแดงคือสีของเลือด แต่มันติดอยู่ในหัวผมเลย ผมเล่าให้เพื่อนฟังว่ามีงานชิ้นใหญ่มากกำลังจะจัดแสดง ผมบอกเธอ ถ้าสวรรค์เป็นสีของเลือดล่ะ สวรรค์ก็คือชีวิต ชีวิตก็คือสวรรค์ ชีวิตไม่ใช่สถานที่ ชีวิตคือสิ่งที่เกิดขึ้น (happening) เรามีชีวิต มันเกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ใช่สถานที่ ชีวิตอยู่ทุกที่ ตรงนี้ ตรงนั้น ภายในตัวเรา ในการบรรยายที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ผมก็จะใช้ชื่อหัวข้อว่า Paradise is Life (สวรรค์คือชีวิต)

ฟังดูเหมือนกับว่า “ชีวิต” เป็นสิ่งที่สัมผัสได้แต่หาวิธีสื่อหรืออธิบายออกมาได้ยากไหม?

มันมีสเปิร์มเป็นล้านตัวพยายามเข้าไปในไข่ แต่เราเป็นผู้ชนะ ด้วยแรงช่วยเหลือจากทุกคน เราคือตัวแทนของทุก ๆ คน ดังนั้นสิ่งสำคัญจึงคือการเข้าใจว่า ในชีวิตของเรา เราไม่ได้เป็นแค่ตัวแทนของตัวเราเองเท่านั้น ลองออกมาจากอัตตาของตัวเองเสียเถอะ ผมคิดว่ามันคล้ายกับเรื่องการนั่งสมาธิ แบบที่พระพุทธเจ้าทำ สิ่งที่พวกคุณทำ ตามปรัชญาของซีกโลกนี้ และผมก็คิดว่ามันเหมือนกับที่คนแอฟริกันใช้กลอง ใช้เครื่องเขย่า

สำหรับงานนี้ มันเริ่มจากสีแดง ทีแรกผมมองมันเหมือนกับดวงอาทิตย์ พลังงานของมัน แรงโน้มถ่วง วงโคจรที่พวกเราหมุนรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ รวมทั้งระดับน้ำด้วย เช่นเดียวกับงานอื่น ๆ ของผม

สิ่งที่ผมใช้สื่อถึงชีวิตคือแรงโน้มถ่วง และสมดุลย์ เราต้องจัดสมดุลย์ให้ตัวเองตลอดเวลา ดี/ชั่ว สว่าง/มืด ในการเต้นก็ด้วย เราเต้นกันตลอดเวลา ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ชีวิตคืออย่างนี้ การเคลื่อนไหว ลมเบา ๆ พัดก็ไหว พลังงานมันเกิดขึ้นตลอดเวลา

เหมือนกับเด็ก ๆ พยายามยืนไหม

เด็ก ๆ ก็ด้วย นั่นก็อีกเรื่อง ผลงานที่ผ่านมาของผมทั้งหมดใช้แนวคิดเรื่องครรภ์ คุณเองคือผิวหนัง เหมือนกับวัฒนธรรมป็อปหนึ่งคือการถักโครเชต์ด้วยมือ ด้วยนิ้ว ตั้งแต่ตอนที่ผมทำประติมากรรมอันแรก ผมหยิบใบไม้ขึ้นมาแล้วก็ปล่อยให้มันร่วงลง เมื่อมันร่วงลง มันออกจากร่างกายของคุณแล้วหล่น ทำให้เกิดความต่อเนื่องระหว่างร่างกายกับผืนโลก; การให้กำเนิด มันมีความหมายตลอดในกิจกรรมที่เราทำ

คุณมักจะใช้งานประดิษฐ์ของมนุษย์ทำเป็นรูปทรงธรรมชาติ ทำไมงานนี้คุณถึงใช้ธรรมชาติจริง ๆ มาทำ

สำหรับงานนี้ ในความคิดของผม ต้นไม้คือสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า มันเกิดจากความฝันในคืนที่ผมมาถึงเชียงราย วันถัดมาเขาพาผมไปไหว้พระ พาไปพิพิธภัณฑ์ข้าง ๆ ไปวัดอื่น ๆ ไปร้านอาหาร ที่เจอปลาในหม้อดินเผา พาไปดอยดินแดง ไปสวน ไปบ้านพวกเขา จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่จะบอกว่าวันนั้น หลังผมเจ็ทแล็ก ปรับเวลาไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาผมก็เห็นประติมากรรมนี้ กับเพลง ตอนแรกคิดว่าจะมีพระพุทธรูปเป็นวงฝังอยู่ในงานนี้ แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ดีนัก ผมอยู่ในผืนดินของคุณ แล้วผมก็คิดว่า พระพุทธเจ้าก็คือพืชพรรณ เหมือนกับจิตวิญญาณของต้นไม้ที่จัดวางสมดุลย์ของทุกอย่างแล้ว ผมเลยใช้ต้นไม้แทนจิตวิญญาณของพระพุทธ จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ จิตวิญญาณแห่งชีวิต นั่นคือเหตุผลที่ต้นไม้นี้อยู่ตรงกลางทุกสิ่ง

จะมีกลองเหล็กอยู่ในนี้ด้วย ผมเจอมันที่นี่ ผมคิดว่าดนตรีและเสียงเป็นสิ่งสำคัญมาก ผมมันจะเปิดให้ผู้คนมาสร้างเสียงในงานของผม แล้วกลองพวกนี้ก็ติดตั้งกลางแจ้งได้ด้วยเพราะทำจากเหล็ก มันเยี่ยมไปเลย เหมือนฝัน ที่ทุก ๆ อย่างเดินทางมาหาผมเอง

คุณมาสนใจศาสนาพุทธขนาดนี้ได้อย่างไร?

แม่ของผมเป็นภูมิสถาปนิก เธอไปญี่ปุ่นอยู่บ้างแล้วก็เอาหนังสือกลับมา เรื่องภูมิทัศน์นี่แหละ แล้วมันรุนแรงมากสำหรับผม ผมโตมาในยุค 60 ช่วงเวลาที่แนวคิดแบบพุทธเริ่มเผยแผ่ไปทั่ว และได้รับความนิยม ผมก็ได้มาเยอะตอนเด็ก ๆ แล้วเมื่อโตขึ้น ได้ศึกษา ได้อ่านมัน ผมก็คิดว่ามันสำคัญมาก ศาสนาพุทธสำหรับผมเป็นเหมือนไกด์นำทาง

ถ้าคุณเดินเข้าโบสถ์ในบราซิล จะเจอผู้ชายคนหนึ่งบนไม้กางเขน เขาถูกฆ่าโดยสังคม ถูกฆ่าโดยรัฐ และถูกฆ่าโดยศาสนจักรในแง่หนึ่ง นั่นไม่ใช่ภาพของพระเยซู มันคือภาพของผู้คนที่ฆ่าพระเยซูต่างหาก เหมือนเวลาที่คนเข้าป่าล่ากวาง ฆ่ามัน แล้วก็เอาหัวมันแขวนบนผนัง

นั่นน่ะภาพตรงนั้น ไม่ใช่ภาพเขาเต้นรำ เขาร้องเพลง ธรรมชาติของเขา ผีเสื้อบินรอบเขา สันติของเขา ลองนึกดี ๆ สิ ไม้กางเขนที่คุณถือสวดมนต์ มันคือเครื่องมือทรมานคน ตอนนี้มันเป็นปืน เป็นระเบิด เป็นอาวุธแก๊ส เป็นความโลภ ความเกลียดชัง อะไรทั้งหลาย แต่มันคือปัญหาใหญ่ตรงนี้

แล้วก็มีผู้ชายคนนี้ที่เงียบสงบ สวยงาม นั่งลงอยู่กับกลอง สองเท้าเปลือยเปล่า สัมผัสกับโลก มันเชื่อมโยงอยู่กับชนพื้นเมืองด้วย

พวกเขาไม่ชอบคิดกันหรอก มีปืน มีไม้กางเขน อะไรอย่างนั้น สำหรับผมนี่เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดเลยของสังคมเรา ของโลกนี้ ของสิ่งแวดล้อม ทุก ๆ อย่างคือการเข้าใจผิดนี้ พวกเขาเข้าใจผิดเพราะนี่คือวัฒนธรรมหลักที่ครองโลก ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปฐมกาลของวัฒนธรรม (คริสต์) นี้ ความเข้าใจผิดว่างูคือแม่ของเรา

มีเรื่องเล่าที่หลากหลายจากสังคมต่าง ๆ ที่งูเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ แม้แต่ที่นี่เอง ทุก ๆ ครั้งที่จะเข้าไปในวัด คุณต้องถอดรองเท้า แล้วก็โค้งให้กับพญานาค นาคคือการชำระล้างคุณ การเตรียมตัว รับคุณเข้าสู่อ้อมกอดของพระพุทธที่หน้าอกของเขา มันงดงามและมหัศจรรย์มากที่ได้มาที่นี่ นั่งลง สนทนากับพระพุทธ ที่บราซิล คุณจะไม่เห็นพวกเราทำอย่างนั้นหรอก เราเกลียดที่จะทำอย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ต่างกัน คุณเห็นความอ่อนโยน ความยินดี ความซาบซึ้งในจิตวิญญาณนี้ภายในตัวพวกคุณ

ผมไม่เคยเห็นวัดใหญ่เลย จะวัดขาววัดน้ำเงินอะไรทั้งหมด มันไม่ได้ใหญ่แบบโบสถ์ที่ยัดคนมากมายเข้าไปฟังเขากล่าวอะไรในนั้น เพราะ (ในวัด) คุณเข้าไปข้างใน แล้วก็อยู่กับตัวเอง ไม่มีนักบวชมาบอกให้ปรบมือ จับขา กระโดด อะไรอย่างนั้น คุณไม่จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก มันมีความนุ่มนวลอยู่แม้แต่ในวัดที่ใหญ่ อย่างที่วัดพระธรรมกายอะไรอย่างนั้น แต่ผมไม่สามารถวิจารณ์วัฒนธรรมคุณได้หรอก นี่แค่สิ่งที่ผมสัมผัสเท่านั้น ผมดีใจมากที่ได้มาที่นี่ ได้พบช่างทำเซรามิก ได้ทำเซรามิก ที่พิพิธภัณฑ์บ้านดำ ผมเจอหม้อดินเผาอันหนึ่ง ใหญ่มาก ชอบมาก อย่างแรกที่ผมทำในประติมากรรมนี้เลยคือทำหม้อ

แม่ผมมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่สอนทำหม้อดินเผา ตอนผมอายุ 16 ปีเลยไปเรียนด้วย แล้วรู้ไหม เพื่อนผมบอก เฮ้ย ไปเรียนทำหม้อดินเผา เป็นเกย์เหรอ? ที่อเมริกาใต้มันเป็นอย่างนั้น ผู้ชายต้องแข็งแกร่ง แต่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นประติมากรนะ ผมก็บอกเพื่อนว่าผมแค่อยากทำ Narguilé (บ้องสูบยาแบบมอระกู่) เอาไปสูบยา แล้วพอลองทำจริง ๆ ก็พบว่า สิ่งที่ผมอยากทำน่ะคือการสัมผัสกับดิน

ไม่กี่ปีต่อมาผมไปเรียนวิศวกรรม เรียนดาราศาสตร์ แล้วก็ออกมา ตอนนั้นก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง หลุมดำ ดวงอาทิตย์ พระจันทร์ ทุกอย่างประมาณนั้น กลศาสตร์ควอนตัม ผมสอบไม่ผ่าน หลังจากนั้นถึงเดินทางไปที่บาเยีย เมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล ใช้ชีวิตกับเพื่อนอยู่ประมาณสองเดือน เจอผู้หญิงจากรีโอเดอจาเนโรแนะนำว่ามันมีคลาสสอนประติมากรรมดินเหนียวที่อยู่ใกล้บ้านผมมาก ๆ ผมเลยเดินทางไป ตอนที่ผมทำขึ้นรูปจากดินเหนียวครั้งแรก ผมคิดว่านี่แหละ คือสิ่งที่ผมอยากจะทำ

ผมเล่าเรื่องนี้เพราะหม้อพวกนั้น หม้อมีสัมผัสของความโค้งมน เหมือนบนท้องฟ้าจำลอง มันมีคณิตศาสตร์อยู่ในนั้น แต่เป็นคณิตศาสตร์ของบทกวี เพราะคุณไม่ได้ไปคำนวณมัน คุณทำมัน ผมไปเจอคุณสมลักษณ์ (ปันติบุญ - ศิลปินเซรามิกผู้ก่อตั้งคุ้มดอยดินแดง) แต่เขาไม่สอนแล้ว แต่ถ้าเขาสอนแล้วผมมีเวลา ผมก็อยากจะมาเรียนกับเขา บ้านของเขาสุดยอดไปเลย

การสัมผัสดินตอนลงมือปั้นเป็นสิ่งที่คุณชอบที่สุดในการทำงานเซรามิกใช่ไหม?

สัมผัสมันก็ดี แต่สิ่งที่ผมสนใจเกี่ยวกับเซรามิกคือมันมีความสัมพันธ์กับจุดศูนย์กลาง แล้วความสัมพันธ์กับจุดศูนย์กลางนั้นก็สำคัญมากในทางจิตวิญญาณสำหรับเรา เรามีจุดศูนย์กลางในตัวเอง เวลาที่เราหลุดออกจากจุดศูนย์กลางเราจะวิงเวียน ไม่รู้จะไปทางไหน เวลาที่เราไม่สบายใจ ต้องการความมั่นคงในตัวเองอีกครั้ง มันเยี่ยมมากที่ได้เจอจุดศูนย์กลาง

ผมจำได้ว่าเคยทำประติมากรรมชิ้นหนึ่งแล้วมีปัญหา มารู้ตัวทีหลังว่าทำอะไรโง่ ๆ ก็เลยไปที่โรงแรมแล้วก็เต้นเป็นบ้าเป็นหลัง แล้ววันต่อมาก็ตั้งใจทำงานต่อ การเต้นมันเป็นสิ่งวิเศษที่จะทำให้เราได้จดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ เพราะเราต้องจัดการร่างกายตัวเอง แล้วร่างกายก็จัดการจิตใจ บางครั้งมันไม่ได้มาจากจิตไปหากาย แต่มาจากกายไปหาจิต เราต้องออกกำลังกาย ดูแลร่างกายตัวเองด้วยเพื่อให้จิตแข็งแรง

คล้าย ๆ กับการนั่งสมาธิไหม วิธีการทำงานศิลปะของคุณ?

ผมลองรำไท่เก๊กด้วยนะ (ลุกขึ้นทำท่าไท่เก๊ก) ตอนนั้นผมอยู่กับแม่ที่บ้าน เรียนเสร็จก็กลับบ้านมาดื่มชา ผมเริ่มดื่มชาตอนนั้นแหละ จากที่ไปเรียนไท่เก๊ก ชามันเยี่ยมมากหลังจบคลาส ผมสัมผัสมัน เข้าใจจิตวิญญาณของมัน (ชา) ผมยังดื่มชาอยู่เลยจนถึงทุกวันนี้ที่บราซิลเราดื่มชา chimarrão (ชาบราซิลคล้ายมาเต ดื่มโดยใช้หลอดดูด) ตอนแรกว่าจะเอามาที่นี่แล้ว คนที่บราซิลใต้นิยมดื่มกันมาก ผมเริ่มดื่มตอนไปที่นั่น ตอนผมไปอาร์เจนตินา คนที่นั่นก็ดื่มกัน มันเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์นะสำหรับชนพื้นเมืองที่ผมดื่มกับพวกเขา ผมดื่มมันตลอดเวลาแล้วทีนี้

นอกจากรสชาติแล้วประสาทสัมผัสอื่น ๆ มีความสำคัญกับคุณแค่ไหน?

ประสาทสัมผัสเป็นสิ่งสำคัญมาก เราจัดการตัวเองกับโลกผ่านประสาทสัมผัส ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อสังคมพยายามจะเอาความคิดไว้ข้างหน้า ความคิดมันอยู่ด้านหลัง ประสาทสัมผัสมันมาก่อนความคิด

ผมมองดูต้นไม้ตรงนี้ แล้วผมก็มาคิดถึงมัน ถ้าผมยังไม่เห็นมันผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรเมื่อสักครู่นี้ แบบนี้คือการมองเห็นมาก่อน แล้วจึงค่อยสะท้อน (ความคิด) ทีหลัง แม้กระทั่งตอนคุณหลับตา สิ่งแรกที่จะสัมผัสก็คือลมที่มาสัมผัสร่างกาย หรือเสียง ผมสัมผัสลมได้ก่อนเพราะตอนนี้ผมพูดอยู่ แต่มันมีทั้งลมและเสียงที่มาสัมผัสผมได้ ทุก ๆ อย่างนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโลก จิตของเราทำหน้าที่อธิบายสิ่งต่าง ๆ ผ่านความสัมพันธ์ของเรากับโลก แน่นอนว่าความคิดของเรามันมหัศจรรย์มาก แต่มันอยู่ด้านในของเรา

ปรัชญาของเพลโตและศาสนาคริสต์ปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ โดย (แยกจิตกับกาย) ว่า “ข้าคือจิต ข้าเชื่อมต่อกับพระเจ้า” จิตวิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้า ร่างกายของเราอยู่กับความตาย ผู้คนเชื่ออยู่อย่างนั้นเป็นปี ๆ

แต่เซ็กส์มันดี (ประสาทสัมผัส) มันจับคุณไว้แน่น แล้วคุณก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะคุณมีแต่ความปรารถนา และนั่นมันเยี่ยมไปเลย เหมือนเวลามีความรักนั่นแหละ เวลาคุณมีความรักคุณก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นธรรมดา ในพระคัมภีร์ก็เขียนไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า ‘เจ้า​จะ​ต้อง​ทำงาน​หนัก​อาบเหงื่อ​ต่างน้ำ​เพื่อ​จะ​มี​อาหาร​กิน’ (ปฐมกาล 3:19) อย่างกับว่าการทำงานเป็นเรื่องที่แย่ ใคร ๆ ก็ทำงานทั้งนั้นแหละ ผึ้งก็ทำงาน เสือก็ทำงาน จระเข้ก็ทำงาน ปลาก็ทำงาน ไม่มีใครได้อาหารมากินฟรี ๆ หรอก งาน (การใช้ร่างกาย) เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

นี่ดูเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับโลกในยุคที่สิ่งเร้าสิ่งกระตุ้นมีมากมายเต็มไปหมดเลย ทั้ง Tiktok ทั้งอะไรต่าง ๆ มันเหมือนกับว่างานศิลปะของคุณจะเป็นที่ให้ผมมาพักทำสมาธิได้

ผมว่ามันจะเยี่ยมเลยถ้าคนได้มานั่งลงในงานของผมแล้วก็นั่งสมาธิ แต่ถ้าพูดถึงโลกยุค Tiktok ผมคิดว่ามันบ้ามากเลยตอนนี้ มันเรียกร้องความสนใจแล้วก็กระตุ้นความตื่นเต้น ผมมีลูกอายุ 20 กับ 22 พวกเขาก็โอเค แต่ผมได้ยินเหมือนกันว่าคนอื่น ๆ เจอปัญหากันอยู่ โดนแคนเซิลหรืออะไรอย่างนั้น แต่ผมนึกถึง Instagram มากกว่าที่ทำให้ศิลปะ ‘แบน’ (flat) ไปหมด จิตรกรรมภาพวาดมันเลยจัดแสดงเต็มแกลเลอรีใหญ่ ๆ ไปหมดเพราะมันดูสวยในอินสตาแกรม

(โลกในอินสตาแกรม) มันแบนไปหมด แต่ประติมากรรมคือร่างกาย วัตถุต่าง ๆ ก็เหมือนกัน มันคือการอยู่ ณ ตรงนั้น สัมผัสอากาศ ประติมากรรมเป็นรูปธรรมเสมอ ภาพวาดคือการลวงตา โลกที่เราอยู่ตอนนี้คือโลกแห่งการลวงตา ใส่เงาเข้าไปตรงนี้ แล้วก็ทำเหมือนกับว่ามันพุ่งออกมาได้ แต่ในประติมากรรม ถึงคุณจะสร้างแขนขึ้นมาจากหิน แต่หินก้อนนั้นมันก็อยู่ที่นั่นจริง ๆ

ผมชอบภาพวาดนะ แต่มันมีบางอย่างเกี่ยวกับการลวงตาอยู่ ลวงตาว่าคุณมีเพื่อนเต็มไปหมด ลวงตาว่าชายงั่งบราซิลคนนี้ปล่อยเฟคนิวส์เต็มไปหมด ภาพลวงตาแห่งชาตินิยม ภาพลวงตาแห่งความบริสุทธิ์ ภาพลวงตาในศาสนาคริสต์ ภาพลวงตาว่าพระเจ้าดีกว่าทุกสิ่ง ภาพลวงตาของพระเจ้า

มีวันหนึ่งผมเจอข่าวงั่ง ๆ ของประธานาธิบดีเก่าของเราในหนังสือพิมพ์ แล้วก็พูดว่า โอ พระเจ้าบนฟากฟ้าสวรรค์ ในภาษาบราซิลสวรรค์กับท้องฟ้าคือคำเดียวกันนะ แล้วผมก็พูดกับตัวเอง ช่างพระเจ้าสิ ช่างเรื่องบนฟ้า มองโลก พระมารดาแห่งโลก (mother earth) แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกับผม ‘เออร์เนสโต นายจะเก็บการต่อสู้นี้ ความลักลั่นนี้ สงครามนี้ไว้กับตัวเองอีกหลายปีเลยแหละ’ แล้วผมก็ตอบว่าใช่ ใช่เลย ผมจัดการรวบรวมมัน (ความคิด) ผมคิดว่าผมอยากลองมองท้องฟ้าดู แล้วผมก็มองฟ้า ว่าพระเจ้าอยู่บนนั้น แล้วรู้ไหมผมเห็นอะไร — พระอาทิตย์

ผมเห็นพระอาทิตย์แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าสักช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษย์ ใครสักคนก็บอกว่าดวงอาทิตย์มันยิ่งใหญ่ เป็นบิดาแห่งทุกสิ่ง เรารักคุณ! คุณคือทุกอย่างของเรา! แต่ปัญหาก็คือ เราหากินกับดวงอาทิตย์ไม่ได้ เราเลยเก็บดวงอาทิตย์ไปก่อนแล้วเอาพระเจ้ามาแทนที่ตรงนั้นแทน พระเจ้า! ใคร ๆ ก็พูดในนามพระเจ้าได้ ‘พระเจ้าคุยกับผมเมื่อวานแล้วบอกว่าโลกกำลังจะแตก แต่ผมรู้ว่าเราต้องทำอย่างไร ทำตามผมสิ ผมสื่อสารกับพระเจ้าได้’ เราไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือหรือไบเบิลอะไรด้วยซ้ำ แค่บอกว่าพระเจ้าบอกเรา เราก็รู้ทุกอย่างแล้ว แต่ใครกันจะพูดแทนดวงอาทิตย์ได้บ้าง โดนความร้อนเผาตายหมดสิ

ผมเคยทำนิทรรศการครั้งหนึ่งที่นิวซีแลนด์ ผมทำงานกับ ลิลิ ภรรยาของผม พวกเราก็ไปเดินย่านเมืองเก่าที่นั่นกัน มันเป็นวันที่งดงาม ผมดื่มชาสักอย่างที่แรงมาก ๆ ชนพื้นเมืองที่บราซิลให้ผมมาตอนผมขอยาพวกเขา มันไม่เหมือนเหล้านะ แต่ทำให้มึน ๆ อยู่ ผมหยุดดื่มแอลกอฮอลไปแล้ว เมื่อก่อนดื่มหนัก แต่วันนั้นเธอสั่งเบียร์ ผมก็สั่งเบียร์ แล้วก็ไปหาอะไรกินกันตอนพระอาทิตย์ตก

เราอยู่ในห้องเหมือนห้องนั่งเล่น ผมก็มองโซฟา กำลังจะทิ้งตัวนอน เราต้องกักตัวสักสิบวันแล้วมีเวลาติดตั้งงานอีกสี่วัน มันลำบากนิดหน่อย เลยอยากนอน แล้วผมก็ (เอามือแตะปาก) แฟนผมก็ขำแล้วก็เข้ามาจูบผม

ตอนที่ลิลิจูบผม ผมเห็นลำต้นไม้ใหญ่ งอกขึ้นสูงขึ้นสูงขึ้นขยายกิ่งก้านออก แล้วพระอาทิตย์ก็อยู่ตรงนั้น คือเธอเอง แล้วพอผมก้มลง ผมก็เห็นต้นไม้เป็นริมฝีปากหยั่งรากลงไปในผืนโลก ผืนน้ำสีฟ้า แล้วผมก็เห็นความสัมพันธ์ของไฟและน้ำ ต้นไม้ทุกต้นดีไซน์มาเพื่อสัมผัสกับไฟและน้ำ ต้นไม้ทุกต้นคือจุมพิตระหว่างดวงอาทิตย์และโลก และทุก ๆ สิ่งในนี้คือการจูบ

ภาพที่ผมเห็นวันนั้น ดวงอาทิตย์คือทุกอย่าง ไม่มีดวงอาทิตย์ก็ไม่มีชีวิต ไม่มีผืนดินก็ไม่มีชีวิตเหมือนกัน ทุกอย่างสัมพันธ์กันงดงามอย่างนั้น แต่เรากลับอยู่ในสงครามและการสังหาร ที่ปาเลสไตน์ ที่ยูเครน มันบ้าไปหมด โว้ยยย!