ส่องงานศิลปะของศิลปินไทย ใน Cartier Flagship Boutique สองชั้น ใจกลางสยามพารากอน
เมื่อศิลปะและเอกลักษณ์แบบไทยถูกหลอมรวมเข้ากับความประณีตงดงามของงานฝีมือชั้นสูงจากฝรั่งเศส จึงบังเกิดเป็น Cartier Flagship Boutique คาร์เทียร์บูติคแฟลกชิปแห่งใหม่ ใจกลางสยามพารากอน พื้นที่สองชั้น กว่า 758 ตารางเมตร ที่ถูกออกแบบให้สะท้อนแรงบันดาลใจจากชื่อของกรุงเทพฯ เมืองซึ่งเปรียบได้ดั่งสรวงสวรรค์ที่เทพเนรมิตขึ้นมา ภายใต้แนวคิด “Heavenly Cartier” บูติคแห่งนี้ตั้งใจพาทุกคนก้าวสู่ประสบการณ์ที่เหนือจริง ราวกับกำลังเดินเข้าสู่ดินแดนแห่งความวิจิตรตระการตาที่เชื่อมโยงทั้งศิลปะไทยและความหรูหราระดับโลกเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน
นอกจากคาร์เทียร์จะเป็นหนึ่งในไอคอนิกชั้นนำของวงการเครื่องประดับและแอ็กเซสเซอรีของเมซงแล้ว อีกสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันก็คือวิธีการที่แบรนด์หยิบเอา เรื่องราวของสถานที่ งานฝีมือ และวัฒนธรรมท้องถิ่น มาตีความผ่านงานออกแบบภายในบูติคได้อย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งแต่ละครั้งก็สามารถสะท้อนบรรยากาศและอัตลักษณ์ของประเทศนั้น ๆ ออกมาได้อย่างน่าจดจำ จนทำให้การเข้าชมบูติคเองกลายเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่ต่างจากการได้ชื่นชมความงามของเครื่องประดับเลยทีเดียว
และเมื่อคาร์เทียร์เปิดบูติคแฟลกชิปแห่งใหม่ที่สยามพารากอน สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการนำผลงานของ ศิลปินไทย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่อันงดงามนี้ เพื่อสะท้อนอัตลักษณ์และความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง วันนี้ GROUNDCONTROL จะพาทุกคนก้าวข้ามประตูเข้าสู่ “สวรรค์คาร์เทียร์” ไปพร้อม ๆ กัน ไม่เพียงเพื่อชื่นชมบรรยากาศการออกแบบอันหรูหรา แต่ยังได้ส่องแรงบันดาลใจและทำความรู้จักกับผลงานศิลปินไทยแต่ละชิ้นที่ถูกร้อยเรียงไว้อย่างประณีตภายในบูติคแห่งนี้อีกด้วย
เริ่มต้นที่ ชั้นหนึ่ง “สวรรค์บนดิน” พื้นที่ที่ต้อนรับทุกคนด้วยคอลเลกชันไอคอนิกของคาร์เทียร์ ไม่ว่าจะเป็น เลิฟ (LOVE), ปองแตร์ เดอ คาร์เทียร์ (Panthère de Cartier) หรือ แคลช เดอ คาร์เทียร์ (Clash de Cartier) ที่จัดวางอย่างโดดเด่นกลางโถงโอ่อ่า การออกแบบในโซนนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากความเชื่อของคนไทยเรื่องความอุดมสมบูรณ์และความบริสุทธิ์ ถ่ายทอดออกมาผ่านโคมไฟทรงหยดน้ำที่พลิ้วไหวราวกับสายฝนโปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา ขณะที่พื้นด้านล่างปูด้วยพรมลวดลายพิเศษซึ่งถ่ายทอดจังหวะของเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้น กลายเป็นบรรยากาศที่เชื่อมโยงระหว่างความหรูหราและความสงบละเมียดละไมได้อย่างกลมกลืน
สำหรับผลงานชิ้นแรกของศิลปินไทยที่จัดแสดงอยู่ในชั้นหนึ่ง เราขอชวนทุกคนไปส่องรายละเอียดของผลงานโดย Muse Design สตูดิโอออกแบบที่นำงานฝีมือดั้งเดิมอย่าง ศิลปะการต่อฟาง (Straw Marquetry) มาร้อยเรียงเป็นผลงานสุดประณีตภายในห้องต้อนรับของคาร์เทียร์ ห้องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากบรรยากาศ ย่านเยาวราชในยามค่ำคืน ที่เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา ทีมออกแบบจึงเลือกใช้เปลือกและฟางข้าวโพดจากเชียงใหม่ ซึ่งผ่านกระบวนการคัดเลือกเฉดสีอย่างพิถีพิถันนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ก่อนจะนำมาย้อมด้วยสีธรรมชาติและประกอบขึ้นเป็นฉากหลังที่ทั้งงดงามและเต็มไปด้วยรายละเอียดอันประณีต สะท้อนการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาไทยกับความหรูหราของเมซงได้อย่างลงตัว
และโซน ไฮไลต์ในชั้นล่าง ที่ดึงสายตาตั้งแต่ก้าวเข้ามาก็คือผลงานกระจกสีสันสดใสจาก O Thai ศิลปินผู้เชี่ยวชาญด้านงาน กระจกและโลหะ ที่หยิบคอลเลกชัน ทุตตี้ ฟรุตตี้ (Tutti Frutti) ของคาร์เทียร์มาสร้างสรรค์เป็นกระจกสีบานใหญ่ ทุกชิ้นผ่านกระบวนการ ย้อมมืออย่างประณีต ทำให้แต่ละบานมีเอกลักษณ์และความงดงามเฉพาะตัว กระจกเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงชิ้นตกแต่งภายในบูติคแฟลกชิปเท่านั้น แต่ยังสามารถเลื่อนเปิดรับแสงธรรมชาติ และมองเห็นวิวด้านนอกของสยามพารากอนได้อีกด้วย เพิ่มมิติของแสง สี และชีวิตชีวาให้กับบรรยากาศโดยรวมอย่างลงตัว
ผลงานศิลปะชิ้นต่อมาอยู่บน “สวรรค์ชั้นฟ้า” ชั้นสองของบูติคแฟลกชิป ซึ่งมีคอนเซปต์หลักในการนำเสนอความเบาสบายราวกับล่องลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ บริเวณฉากหลังของคอลเลกชันไดมอนด์ถูกเสริมด้วย ผลงานศิลปะขนาดใหญ่ที่ Ease Studio และ Siam Celadon ร่วมออกแบบอยู่เคียงข้างกัน งานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากตลับแป้งคาร์เทียร์ปี 1946 นำมาตีความใหม่ ในส่วนของ มงกุฎตัวล็อค ด้วยเซรามิกศิลาดล พร้อมประดับลวดลายดอกไม้ด้วย เส้นด้ายสีทอง สร้างทั้งความประณีตและความวิจิตรที่ผสานระหว่างศิลปะไทยและความหรูหราของเมซงได้อย่างลงตัว
และปิดท้ายที่ห้องรับรองวีไอพี เราจะได้ชมผลงานของ อาจารย์มานพ วงศ์น้อย ศิลปินแห่งชาติ ที่นำเทคนิคการลงรักปิดทอง มาผสมผสานกับการใช้เปลือกไข่ ถ่ายทอดออกมาเป็นงานศิลปะที่งดงามอย่างยิ่ง งานชิ้นนี้ศิลปินใช้เวลากว่าสี่เดือนในการสร้างสรรค์ เพื่อให้ผิวงานมีความแวววาวและสะท้อนแสงราวกับดาวบนท้องฟ้าอย่างชัดเจน สร้างบรรยากาศสุดพิเศษที่เหมาะสมกับพื้นที่หรูหราสำหรับแขกคนสำคัญได้อย่างลงตัว . การได้เข้ามาชมความงดงามของเครื่องประดับในคาร์เทียร์บูติคแฟลกชิปใหม่ที่สยามพารากอนครั้งนี้ ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า นอกจากคาร์เทียร์จะให้ความสำคัญกับความ ประณีตและงดงาม ในทุกชิ้นงานแล้ว แบรนด์ยังให้คุณค่าและสนับสนุนงานศิลปะหัตถกรรมของศิลปินและนักออกแบบไทยอีกด้วย การเปิดบูติคแฟลกชิปในครั้งนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงการจัดแสดงเครื่องประดับเท่านั้น แต่ยังเป็นเวทีที่สะท้อนความเป็นไปได้ในการผสานงานฝีมือจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ให้เห็นว่าศิลปะและความประณีตไม่จำกัดเพียงชาติใดชาติหนึ่ง แต่สามารถสร้างความงดงามร่วมกันได้อย่างกลมกลืนและทรงคุณค่า