The Green Knight
หากกลัวการเปลี่ยนแปลง ก็จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป

The Green Knight หากกลัวการเปลี่ยนแปลง ก็จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป

The Green Knight หากกลัวการเปลี่ยนแปลง ก็จะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไป

ย้อนกลับไปในช่วงยุคกลาง ราว ๆ ปลายศตวรรษที่ 14 เรื่องเล่าขานถึงอัศวินสีเขียว (The Green Knight) เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางวังวนนิทานปรัมปราของ King Arthur ผู้ยิ่งใหญ่ แม้ตำนานจากกวีนิรนามชิ้นนี้จะหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์นานหลายร้อยปี แต่ด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ ทำให้งานชิ้นนี้กลับมาเฉิดฉายอีกครั้งในยุคหลัง จนไปโดนใจผู้กำกับมากความสามารถที่ปลุกปั้นงานทดลองสู่กระแสภาพยนตร์กระแสหลักอย่าง David Lowery ตลอดการทำงานในวงการภาพยนตร์มาถึง 10 ปี Lowery ยังคงลองเล่นกับวิธีการเล่าเรื่องแบบใหม่เรื่อยมา เห็นได้ชัดจาก A Ghost Story (2017) ภาพยนตร์ Low-Fi เรื่องดังของเขา จนอาจบอกได้ว่าแนวคิดที่แตกต่างในนิทานพื้นบ้านฉบับกวีนิรนาม มีผลต่อภาพยนตร์ของ Lowery ไม่น้อยเลยทีเดียว

ด้วยความที่ Lowery ยังคงกลิ่นอายและเค้าโครงเรื่องเดิมเอาไว้ครบถ้วน ทำให้ต้องบอกก่อนว่าหากใครหวังจะไปดูฉากแอคชั่นมัน ๆ คงออกจากโรงภาพยนตร์มาอย่างผิดหวังไปสักหน่อย เพราะเรื่องราวจากทั้งในตำราเดิม และการตีความของ Lowery เน้นไปที่บรรยากาศของหนังซึ่งอบอวลด้วยความพิศวงเหมือนพาผู้ชมด่ำดิ่งลงไปในน้ำลึก หรืออยู่ในเขาวงกตที่ไร้ทางออกเช่นเดียวกับตัวละครในเรื่องอย่าง Gawain หลานชายของกษัตริย์ Arthur ที่ทั้งไม่มีผลงานและไม่เป็นที่น่าจดจำ ทว่าเมื่ออัศวินสีเขียวปรากฏตัว เขากลับกล้าเผชิญหน้ากับเดิมพันครั้งใหญ่ที่กำลังจะเปลี่ยนโชคชะตาเขาไปตลอดกาล

เช่นเดียวกับงานผ่าน ๆ มาของ Lowery ภาพยนตร์เรื่องนี้ผสมเอาความแฟนตาซีเข้ากับภาพที่ดึงดูดตาและซาวด์แทร็กที่มีชีวิตชีวา ครั้งหนึ่งเขาเคยเปิดเผยว่าเขามีความฝันอยากสร้างหนังที่อิงจากเรื่องเล่าในนิยายมาโดยตลอด เขาอ่าน The Green Knight ซ้ำไปมาจนนิยายเป็นส่วนหนึ่งในความคิด แต่การจะถ่ายทอดเรื่องราวในอดีตหลายร้อยปีก่อนให้คนนอกแวดวงนิยายดูนั้นเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อย เพราะมักจะพ่วงมาด้วยเม็ดเงินมหาศาล ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงอาจเป็นเหมือนการหันไปเล่นกับความรู้สึกของผู้ชม มากกว่าการสร้างภาพให้ดูหวือหวาเหมือนหนังแฟนตาซีเรื่องอื่น ๆ ซึ่งก็เป็นวิธีการเดียวกับที่เขาสร้าง A Ghost Story ดังนั้น หากใครจะบอกไม่เข้าใจภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

ย้อนกลับไปยังแก่นของเรื่อง The Green Knight ว่าด้วยบททดสอบคุณธรรมของผู้ปกครองที่ไม่ได้วัดกันแค่พละกำลังและสติปัญญา แต่ลงรากลึกถึงจิตสำนึกภายในที่เดิมพันด้วยความกล้าเอาชีวิตแลกชีวิต (เริ่มต้นจากการที่ตัว Gawain ตัดหัว The Green Knight ก่อนที่หนึ่งปีข้างหน้า เขาจะโดนตัดหัวคืน) ทายาทบังลังก์อย่าง Gawain จึงต้องพิสูจน์ตัวเองกับกลอุบายมากมายที่เข้ามารบกวนเขา ในขณะเดียวกันก็ต้องสู้กับความรู้สึกลึกลงไปในระดับจิตใจเช่นกัน ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ Lowery เลือกสร้างภาพยนตร์ที่ไม่ดูง่ายจนเกินไป เพื่อให้ผู้ชมได้ตีความพร้อมกับค้นหาความรู้สึกภายในไปกับตัวบทและตัวละครอย่างช้า ๆ

ที่สุดแล้วในมุมหนึ่ง The Green Knight จึงเป็นเรื่องราวของคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง แม้ตอนท้ายเราก็ยังเห็นว่า Gawain เกิดความสับสนอยู่ เพราะขณะที่เขากลัวความตายตรงหน้า เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไรด้วยเช่นกัน แต่การจะขึ้นไปยืนหนึ่งบนบังลังก์ ได้รับเสียงแซ่ซ้องจากประชาชนนั้น เขาจำเป็นต้องขจัดความกลัวทิ้งไป และตอบตัวเองให้ได้ว่าอีกหนึ่งหรือร้อยปีข้างหน้า เขาจะนำความเปลี่ยนแปลงมาให้บ้านเมืองได้อย่างไรบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นทุกอย่างก็จะหยุดนิ่ง ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงแม้เวลาจะเปลี่ยนไปนั่นเอง

รับชม The Green Knight ได้แล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์

คลิกเพื่อรับชมตัวอย่างภาพยนตร์