เมื่อพูดถึงงานจิตรกรรมทิวทัศน์ยุคโรแมนติก แน่นอนว่าชื่อของ ‘โจเซฟ มัลลอร์ด วิลเลียม เทอร์เนอร์ (Joseph Mallord William Turner)’ ศิลปินผู้ทรงอิทธิพลชาวอังกฤษคงจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง ซึ่งแม้ว่าในช่วงแรกของการทำงานศิลปะ ผลงานของเทอร์เนอร์จะยังเน้นการถ่ายทอดภาพทิวทัศน์หรือเหตุการณ์สำคัญอย่างสมจริงที่สุด แต่เขาก็ค่อย ๆ ลดทอนรายละเอียดของผลงานจิตรกรรมสีน้ำและสีน้ำมันของเขาจนคลี่คลายเหลือเพียงแสงสีและมวลบรรยากาศของทิวทัศน์ที่พร่าเลือน

เมื่อพูดถึงงานจิตรกรรมทิวทัศน์ยุคโรแมนติก แน่นอนว่าชื่อของ ‘โจเซฟ มัลลอร์ด วิลเลียม เทอร์เนอร์ (Joseph Mallord William Turner)’ ศิลปินผู้ทรงอิทธิพลชาวอังกฤษคงจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง ซึ่งแม้ว่าในช่วงแรกของการทำงานศิลปะ ผลงานของเทอร์เนอร์จะยังเน้นการถ่ายทอดภาพทิวทัศน์หรือเหตุการณ์สำคัญอย่างสมจริงที่สุด แต่เขาก็ค่อย ๆ ลดทอนรายละเอียดของผลงานจิตรกรรมสีน้ำและสีน้ำมันของเขาจนคลี่คลายเหลือเพียงแสงสีและมวลบรรยากาศของทิวทัศน์ที่พร่าเลือน

การเดินทางและแรงบันดาลใจของ J.M.W. Turner ในเทือกเขาแอลป์

เมื่อพูดถึงงานจิตรกรรมทิวทัศน์ยุคโรแมนติก แน่นอนว่าชื่อของ ‘โจเซฟ มัลลอร์ด วิลเลียม เทอร์เนอร์ (Joseph Mallord William Turner)’ ศิลปินผู้ทรงอิทธิพลชาวอังกฤษคงจะเป็นชื่อแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึง ซึ่งแม้ว่าในช่วงแรกของการทำงานศิลปะ ผลงานของเทอร์เนอร์จะยังเน้นการถ่ายทอดภาพทิวทัศน์หรือเหตุการณ์สำคัญอย่างสมจริงที่สุด แต่เขาก็ค่อย ๆ ลดทอนรายละเอียดของผลงานจิตรกรรมสีน้ำและสีน้ำมันของเขาจนคลี่คลายเหลือเพียงแสงสีและมวลบรรยากาศของทิวทัศน์ที่พร่าเลือน

ไม่เพียงเทคนิคทางศิลปะเท่านั้นที่ทำให้ผลงานของเทอร์เนอร์เป็นที่ยกย่องเหนือกาลเวลา แต่เขายังมักจะถ่ายทอดความยิ่งใหญ่จนน่าพิศวงของธรรมชาติ (Sublime) ผ่านภาพทิวทัศน์ของภูเขาและผืนน้ำ ซึ่งหนึ่งในสถานที่ที่มักจะปรากฏตัวในผลงานของเขาบ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้นเทือกเขาแอลป์ในแถบสวิตเซอร์แลนด์

ในช่วงปี 1802 ขณะเทอร์เนอร์มีอายุราว 27 ปีและยังเป็นเพียงศิลปินหนุ่มที่ยังไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังมากนัก เขาเริ่มออกเดินทางไปในทวีปยุโรปทั้งในฝรั่งเศสและสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งตลอดระยะเวลาในสวิตเซอร์แลนด์ เทอร์เนอร์ได้เดินทางผ่านหลายสถานที่ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานจิตรกรรมของเขาในเวลาถัดมา ตั้งแต่ Bern, Thun, Brienz, Grindelwald, Lucerne ไปจนถึง Devil’s Bridge และ Schöllenen Gorge ซึ่งในการเดินทางครั้งนั้นเองก็ทำให้เขาต้องมนตร์เสน่ห์ความสวยงามและความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาแอลป์ที่ในขณะนั้นเป็นเพียงเทือกเขาหิมะที่รกร้างและไร้ประโยชน์ในสายตาชาวยุโรปทั่วไป ซึ่งความหลงใหลของเขาที่มีต่อเทือกเขาแอลป์นั้นก็สามารถเห็นได้จากภาพสเกตช์ในรูปแบบลายเส้นดินสอและสีน้ำที่เขาวาดเก็บไว้จำนวนมาก

หลังเขาเดินทางกลับอังกฤษ เขาจึงนำภาพสเกตช์ภูเขาหิมะเหล่านี้ออกมาเป็นต้นแบบในการรังสรรค์ผลงานจิตรกรรมที่ทรงคุณค่าอีกมากมาย ซึ่งผลงานเหล่านี้ก็มีผลอย่างมากในการช่วยผลักดันให้เขาก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงโดดเด่นในวงการศิลปะของอังกฤษในขณะนั้น

ไม่เพียงการเดินทางในช่วงวัยรุ่นในครั้งนั้นเท่านั้น แต่ตั้งแต่ช่วงปี 1802-44 เทอร์เนอร์ได้มีการเดินทางเข้าออกสวิตเซอร์แลนด์ไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง และในแต่ละครั้งเขาก็ได้ภาพสเกตช์จำนวนมากติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยตลอด ซึ่งผลงานจิตรกรรมในสวิตเซอร์แลนด์เหล่านี้ก็ไม่ได้มีคุณค่าเพียงการเป็นผลงานคลาสสิคตลอดกาลของเทอร์เนอร์ แต่ยังมีส่วนช่วยผลักดันให้เทือกเขาแอลป์กลายเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดฮิตของชาวยุโรปที่ต้องการจะไปสัมผัสความสวยงามและยิ่งใหญ่ของเทือกเขาหิมะที่เงียบสงบนี้ด้วยตาตัวเอง

รับชมรายการ Self-Quarantour EP. Swiss Dream, Sweet Escape เต็ม ๆ ได้ที่:

อ้างอิง: Turner The Sea and the Alps, Turner and his Alpine paintings are back in Switzerland, Travelling with Turner: Exploring the Swiss Alps in 1802