ปักหมุด 6 เมืองเที่ยวตามรอย VIncent Van Gogh

ปักหมุด 6 เมืองเที่ยวตามรอย VIncent Van Gogh

ปักหมุด 6 เมืองเที่ยวตามรอย VIncent Van Gogh

นอกจาก Van Gogh จะเป็นศิลปินแล้ว เขายังเป็นนักท่องเที่ยวตัวยง นักผจญภัย ย้ายถิ่นฐานบ่อย อินเทรนด์ความ nomad ก่อนใครเพื่อน โดยสิริรวมตลอดชีวิตของเขานั้น โยกย้ายมาแล้วกว่า 20 เมืองด้วยกัน !

จะตามรอยให้ครบอาจจะเยอะไป วันนี้ GroundControl และ DOSEART.com แกลเลอรี่งานศิลปะออนไลน์ ขอเลือก 6 เมืองเด่นๆ The Hagues, Nuenen, Paris, Arles, Saint-Remy และ Auvers-sur-Oise ที่พลิกชีวิตเส้นทางศิลปินของ Van Gogh รวมไปถึงภาพชิ้นดังที่เกิดขึ้นในเมืองนั้นๆ ให้เราได้ไปเช็คอินตามรอยกัน

The Hague, The Netherlands 1869, 1881

ถึงจะไม่ใช่เมืองบ้านเกิด แต่ที่ The Hague ก็มีความหมายสำหรับ Van Gogh ไม่ใช่น้อย ถือว่าเป็นเมืองที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตเขาเลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่เองเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้เข้าสู่วงการศิลปะ ด้วยการทำงานในฐานะเสมียนของบริษัท Art Dealer “Goupil & Cie” ในปี 1869 นี่เป็นโอกาสทองให้ Van Gogh ได้ซึมซับงานศิลปะอย่างเต็มที่ 

แถมยังมีการกลับมารอบสองในปี 1881 เพื่อเติมเต็มความฝันของเขาในฐานะนักวาดภาพมือสมัครเล่น มาเรียนการวาดอย่างจริงจังจาก Anton Mauve และเริ่มเปิดสตูดิโอของตัวเองร่วมกับเพื่อนศิลปิน แต่ความฝันที่จะสร้างชีพในฐานะศิลปินก็เริ่มออกสตาร์ทอย่างทุลักทุกเล เมื่อต้องพบกับความจริงในความหมายของ “ศิลปินไส้แห้ง” ค่าวาดภาพไม่สู้ค่าใช้จ่าย 

ภาพ Rooftops, View from the Atelier The Hague (1882) วาดโดย Van Gogh หลังจากร่ำเรียนจาก Mauve แสดงฝีมือการบาดโดยใช้สีน้ำ บันทึกภาพบนหลังคาสตูดิโอของเขา ปัจจุบันโดนระเบิดช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนไม่เหลือเค้าเดิมอีกต่อไปแล้ว กลายเป็นอาคารทันสมัยที่พักอาศัยไปแทน คงไว้ซึ่งฝั่งตรงข้ามมีสวนสาธารณะเล็กๆ ชื่อ Van Gogh Park 

อยากไปตามรอบ ปักหมุดที่อยู่นี้ : Hendrick Hamelstraat 8-22

Sien's Mother's House, 1882

บ้านแม่ของ Sien Hoorik ผู้หญิงโสเภณีที่ Van Gogh มีความสัมพันธ์ด้วยระหว่างอยู่ที่ The Hague

Sien เป็นแบบให้ Van Gogh ในหลายๆ ภาพ แรกเริ่มรู้จักกันมาในฐานะแบบสาวตั้งท้อง แต่ความสัมพันธ์เริ่มแน่นแฟ้นจนถึงขั้นจะแต่งงาน แต่โดนทางครอบครัวของ Van Gogh กีดกันเสียก่อน

บ้านหลังนี้อยู่ในย่านชนชั้นแรงงาน ในปัจจุบันบางส่วนของย่านนี้ยังถูกเก็บรักษาไว้ให้คงแบบเดิม แต่บ้านแม่ของ Sien นั้นไม่รอด ถูกทุบทิ้งให้กลายเป็นที่พักสมัยใหม่ไปเสียแล้ว

อยากสูดอากาศเดียวกับ Sien ปักหมุดที่นี่ : Slijkeinde 31a

Nuenen, The Netherlands 1883

Van Gogh ใช้เวลาประมาณ 2 ปีที่เมือง Nuenen ตอนใต้ของประเทศ The Netherlands พักอาศัยร่วมกับพ่อแม่ของเขาตั้งแต่ปี 1883 - 1885 

ในช่วงนั้นความสัมพันธ์ครอบครัวก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แต่ Van Gogh ก็ยังอดทนอยู่ต่อไปด้วยความหลงไหลในบรรยากาศและผู้คนที่นี่ ไหนจะโรงงานทอผ้า ชุมชนชนบท ชาวไร่ชาวนา ล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่เขาสนใจ จนเป็นแรงบันดาลให้ Van Gogh ผลิตภาพวาดกว่า 200 ชิ้นจากที่นี่ รวมไปถึงชิ้นงานใหญ่ชิ้นแรกในชีวิต “The Potato Eaters”

แต่ถึงจะมีงานมากมาย การขายงานของเขาก็ยังลำบากยากเย็น ต้องคอยพึ่งน้องชาย Theo ผู้เป็น art dealer อยู่ร่ำไป ถึงขั้นว่า Theo ต้องยอมส่ง 150 ฟรังส์มาให้ทุกเดือน แลกกับงานสองสามชิ้น และทำการตกลงว่างานทุกชิ้นของเขาจะเป็นของ Theo 

หลังจากที่พ่อของเขาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในปี 1885 Van Gogh ตัดสินใจออกมาเช่นสตูดิโออยู่เอง แต่ความฝันที่ยิ่งใหญ่ยังต้องเดินตาม หรือจะถึงเวลาแล้วที่ Van Gogh จะย้ายไปอยู่ Antwerp เมืองใหญ่เพื่อการค้าขายที่ดีขึ้น..

ภาพ The Potato Eaters (1885) คือภาพที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุค Nuenen และเป็นหนึ่งใน Masterpiece ชิ้นสำคัญของ Van Gogh ถ่ายทอดมื้อเย็นของครอบครัว De Groot ที่อาศัยอยู่ในกระท่อมชานเมือง Nuenen แต่ตอนนี้กระท่อมนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว

The Parsonage Garden at Nuenen, 1884 

ภาพงานสีน้ำมันโดย Van Gogh เก็บบรรยากาศของสวนกุฏิพระที่เมือง Nuenen 

น่าเสียดายที่เราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพนี้จริงๆ อีก เนื่องจากเจอโจรขโมยไปเมื่อวันที่ 30 มีนาคมปีนี้ ที่พิพิธภัณฑ์ Singer Laren ที่เมือง Laren

แต่หากอยากไปแวะกุฏิพระของจริง โชคดีที่นี่ยังมีอยู่ แต่เขาไม่เปิดให้เข้าไปข้างในนะ

Paris, Fance
1873, 1874, 1886

หลังจากเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องในประเทศบ้านเกิด ก็ย้ายกลับมาที่ Paris อีกครั้งในปี 1886 หลังจากที่เคยมารับจ๊อบที่นี่เมื่อช่วงปี 1875 ครั้งนี้ Van Gogh เริ่มย้ายเข้าอพาร์ทเมนท์แถว Montmatre ของ Theo น้องชายของเขาที่กำลังทำงานเป็น art dealer รวมถึงเป็นผู้ให้ทุน Van Gogh ทุกครั้งไป 

และในการมา Paris ครั้งนี้นี่แหละ ที่เปลี่ยนวิสัยทัศน์การมองของ Van Gogh ไปตลอดกาล จากการเปิดโลก Impressionism ลัทธิศิลปะที่กำลังเบ่งบานในช่วงนั้นพอดี Van Gogh ผูกมิตรเข้าสังคมกับเพื่อนในวงการทั้ง Emile Bernard, Henri de Toulouse-Lautrec และ Paul Signac และไหนจะลัทธิ Pointilism ที่ก็กำลังมาแรงไม่แพ้กัน ทำให้ Van Gogh จุดประกายการใช้สีสันจากจุดเล็กๆ รวมร่างกันให้เกิดเป็นรูปทรงและสีสันใหม่ๆ ขึ้นมา เปิดทางให้ Van Gogh หันมาใช้สีสดใสมากยิ่งขึ้น

และก็เป็นที่ปารีสนี่แหละ ที่ Theo น้องชายแนะนำให้เขาได้รู้จักกับ Paul Gauguin อีกหนึ่งศิลปิน Post-Impressionism เป็นครั้งแรก ก็ที่พวกเขาจะสานสัมพันธ์ชักชวนไปตั้ง community ศิลปินในอีกเมืองชนบทฝรั่งเศส

View of Paris from Vincent’s Room in the Rue Lepic, 1887 บันทึกวิวทิวทัศน์มุมสูงของปารีส จากอพาร์ทเมนท์ของ Van Gogh บนถนน Lepic ในย่าน Montmatre เป็นอีกหนึ่งหลักฐานการเปลี่ยนแปลงด้านสไตล์และการใช้สีอย่างชัดเจน

และด้วยความปารีส ทำให้การติ่งเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เพราะว่าอาคารยังคงอยู่พร้อมป้ายติดไว้ข้างหน้ารับรองไม่มีผิดบ้าน ถ้าอยู่ปารีสกันละก็ ปักหมุดไปเลย : rue Lepic 54

Portrait of Pere Tanguy, 1887 

วาดโดย Vincent Van Gogh รูปนี้เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ 3 ภาพที่จะเห็นพัฒนาการและแรงบันดาลใจของปารีสอย่างชัดเจน เริ่มจากภาพแรกก็จะทึมๆ หม่นๆ มาภาพที่สองก็จะเริ่มเห็นการหยอดความญี่ปุ่นๆ ลงไปบ้าง ก่อนจะมาพีคสุดที่รูปสุดท้ายที่ได้พัฒนารูปแบบเป็นลายเซ็นของ Van Gogh อย่างชัดเจนที่สุด มวลรวมผสมทั้งสีสันแบบ Impressionism, การใช้สีแต้มเล็กๆ แบบ Pointilism, และการใช้องค์ประกอบความญี่ปุ่น หรือที่สมัยนั้นเรียกว่า Japonism นั่นเอง

ส่วนป่าป๊า Tanguy คนนี้ ประวัติไม่ธรรมดานะจ๊ะ Julien Tanguy เป็น art dealer ในตำนาน เริ่มจากเปิดร้านขายอุปกรณ์ศิลปะในปารีสนี่แหละ แต่ไหนๆ ก็มีพื้นที่แล้วก็ขายภาพวาดไปด้วยเลยละกัน ใครไม่มีตังค์จ่ายค่าสีก็ไม่เป็นไร เอาภาพมาแลกก็แล้วกัน แล้วก็มีการ “แลก” กันเยอะมาก ขนาดที่ Emile Bernard ถึงกับบอกว่าเข้ามาในร้านนี่อย่างกับพิพิธภัณฑ์ศิลปะเลยทีเดียว 

คงไม่ต้องบอกว่า Tanguy เป็นที่รักยิ่งของศิลปินยุคนั้นมากแค่ไหน เอาเป็นว่าถึงขั้นกับมีชื่อเล่นให้ว่า ป่าป๊า Tanguy (Pere แปลว่าพ่อ) เพื่อแสดงถึงความจริงใจกันเองเหมือนพ่อคนนึง Tanguy จึงถึอว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยผลักดันวงการศิลปะไม่แพ้ศิลปินคนอื่นๆ เลย

ร้านของ Tanguy น่าจะถูกโยกย้ายธุรกิจไปนานแล้ว แต่สถานที่แห่งนี้ยังอยู่และยังใช้ชื่อตามเจ้าของเดิมด้วย สามารถปักหมุดได้ด้วยชื่อ : Galerie Père Tanguy, rue Clauzel 14
 

Arles, France
1888

พอกันทีชีวิตเมืองใหญ่ Van Gogh ออกเดินทางตามล่าหาฝันในชนบทครั้งใหม่ที่เมือง Arles ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสในช่วงต้นปี 1888 แต่รอบนี้ไม่ได้มาคนเดียว ชวนเพื่อนมาด้วยอีกหนึ่งคน นั่นก็คือ Paul Gauguin มาร่วมเสริมทัพในปลายปี ในช่วงเวลาที่ Arles นั้นถือว่าเป็นแรงบันดาลใจอย่างยิ่งให้กับ Van Gogh เป็นช่วงที่เขาได้พัฒนาเอกลักษณ์การวาดของตัวเองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ภาพที่เรามักเห็นในพิพิธภัณฑ์ดังๆ ก็มาจากยุคนี้เช่นกัน

และยิ่งการมาเยือนของ Gauguin เองด้วย ถึงจะเป็นเวลาสั้นๆ เพียงแค่ 2 เดือน แต่ก็เป็นช่วงเวลาออกดอกออกผล ทะเลาะกันบ้างตามประสาคนใกล้ชิด แต่ก็ขยันกันเป็นแรงบันดาลใจให้กันและกัน เดินสายไปวาดรูปท้องทุ่งออกชนบทกันเป็นกิจวัตร น่าเสียดายว่าความสัมพันธ์นี้สั้นเพียง 2 เดือน เพราะต่างคนต่างก็แรง ปะทะกันบ่อยครั้งก็ขอแยกทางกันซะจะปลอดภัยต่อชีวิตกว่า (ถึงขั้นมีข่าวลือว่าที่ Van Gogh หูขาดก็เพราะ Gauguin นี่แหละ / แต่บางสำนักก็บอกว่าเป็นบ้าแล้วตัดหูตัวเองให้โสเภณี) 

อาการทางจิตของ Van Gogh ยิ่งแย่ลงๆ ขนาดที่ทางโรงพยาบาลแจ้งว่ามีอาการบ้าและเพ้อ รุนแรงจนถึงขั้นมีชาวบ้านประท้วงให้เขาออกจากบ้านไป เรียก Van Gogh ว่า "le fou roux” หรือคนบ้าหัวแดง และในที่สุดต้องย้ายออกจากเมือง Arles ไปรักษาตัวที่ Saint-Remy

The Night Cafe, 1888 มาในช่วงที่ Van Gogh เริ่มสนใจการวาดภาพตอนกลางคืน และคาเฟ่นี้ก็ไม่ธรรมดาสำหรับเขา Van Gogh เลือกที่นี่เพราะเขาสนใจในคนเหล่านี้ ที่ดูเหมือนเป็นคนไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าที่พัก จึงได้แต่มานั่งแกร่วในร้านคาเฟ่ บอกเล่าถึงความเหงาและความจนตรอกที่เขาเห็นได้จากที่นี่

Cafe de la Gare แห่งนี้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว แต่วงเวียนอันเคยเป็นที่ตั้งร้านยังอยู่ ปักหมุดไปเลยที่ : Place Lamartine 30

Bedroom in Arles, 1888 

ภาพนี้เป็นการบันทึกห้องของ Van Gogh ที่เมือง Arles ในบ้าน Yellow House ตัวห้องดูแล้วไม่น่าใช่สี่เหลี่ยมซะทีเดียว แต่เป็นรูปทรงคางหมู แสดงให้เห็นถึงความมินิมอล อะไรไม่จำเป็นก็ทิ้งไป ของ Van Gogh ได้อย่างดี 

บ้านสีเหลืองโดนระเบิดลงจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว แต่สวนของ Place Lamartine นั้นยังอยู่ (ที่เราเห็นเขียวๆ นอกหน้าต่างน่ะแหละ) น่าเสียดายเหมือนก็อยากรู้ว่าจะเหลืองจริงๆ มั้ยนะ : Place Lamartine 2

Saint-Rémy, France 
1889

Van Gogh เดินทางเข้ารักษาตัวที่ Saint-Paul-de-Mausole-asylum เมือง Saint-Remy ซึ่งห่างจาก Arles ไปประมาณ 30 กิโลเมตร ในปี 1889

ที่โรงพยาบาลนี้ Van Gogh ถูกขังให้อยู่ในห้องรักษาตัว เขาแทบไม่ได้ออกไปพบกับโลกภายนอก นอกจากสวนและคลินิกที่กลายมาเป็น subject หลักของเขาในช่วงนี้ 

และพอไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย เขาวาดภาพโดยดัดแปลงมาจากการตีความใหม่ของผลงานศิลปินท่านอื่น เช่น Gustave Courbet และ Jean-Francois Millet ก็คือดัดแปลงภาพที่ดังอยู่แล้วในแบบของตัวเองนั่นเอง

The Starry Night, 1889 คือภาพที่ดังที่สุดของ Van Gogh ถูกวาดขึ้นระหว่างการรักษาตัวที่โรงพยาบาลวัด Saint-Paul-de-Mausole ผสมผสานวิวจริงจากห้องของเขาในช่วงก่อนฟ้ารุ่งและเพิ่มความโรแมนติกของเมืองในจินตนาการเข้าไปอีกหน่อย เป็นการผสมระหว่างความทรงจำ อารมณ์ และจินตนาการ โดดเด่นด้วยฝีแปรงชัดเจนชวนให้รู้สึกถึงลมที่พัดผ่านไป ท่ามกลางแสงสว่างของพระจันทร์และดาวระยิบระยับ

ปัจจุบันวัด Saint-Paul ยังมีอยู่จริง และยังมีการดำเนินการเป็นคลินิกจิตเวช ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเรื่องราวชีวิตของ Van Gogh ให้เราสามารถเข้าไปชมห้องพักของ Van Gogh จริงๆ ได้ บอกเลยว่าสวนที่นี่สวยมากกก ปักหมุดค่ะ ! : Monastery Saint-Paul de Mausole

The Road Menders, 1889

ด้วยอาการที่ไม่ค่อยจะเสถียรนักของ Van Gogh ทำให้ไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกระหว่างการรักษาตัวที่โรงพยาบาล Saint-Paul ภาพนี้บันทึกหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาได้ออกมาข้างนอกในถนนหลักของเมือง Saint-Remy

ปัจจุบันถนนนี้มีชื่อว่า Boulevard Mirabeau หน้าตาไม่ค่อยเหมือนกับในภาพเท่าไหร่นัก เพราะก็เต็มไปด้วยรถราร้านค้าต่างๆ แต่ลองดูของจริงได้ที่ : Boulevard Mirabeau

Auvers-sur-Oise, France 
1890 

หมุดสุดท้ายในชีวิตของ Van Gogh ปี 1890 เขาใช้เวลาที่นี่ไม่นานนักก่อนยิงตัวตายในเดือนกรกฎาคม

Van Gogh ย้ายมาที่ Auvers-sur-Oise เพื่อที่จะมารักษาตัวกับหมอ Dr. Paul Gachet ที่รักษาศิลปินมามากก่อนหน้านี้ ทั้งสองสนิทกันฉันเพื่อนมิตร และเป็นที่นี่ที่ Van Gogh พบความสุขในการวาดรูปครั้งสุดท้าย ท่ามกลางชนบท ทิวทัศน์อันสวยงามของธรรมชาติ

แต่ถึงแม้ภาพจะสดใส อาการก็เหมือนจะดีขึ้นแล้ว สุดท้าย Van Gogh ก็ตัดสินใจจบชีวิตด้วยการยิงหน้าอกตัวเองที่กลางทุ่ง พยุงตัวเองกลับมาเสียชีวิตที่บ้านพักในที่สุด

หลุมศพของ Van Gogh ก็อยู่ที่ Auvers-sur-Oise ที่นี่จึงเป็นบ้านหลังสุดท้าย และเป็นที่ๆ Van Gogh จะอยู่ไปตลอดกาล ท่ามกลางธรรมชาติที่เขารักมาตลอดชีวิตของเขา

Auvers town hall, 1890 ศาลากลางของ Auvers ถูกวาดออกมาอย่างสดใสสมกับงานเฉลิมฉลองวัน Bastille Day และความน่ารักก็คือปัจจุบันนี้ศาลากลางแห่งนี้ก็ยังหน้าตาแบบนี้เป๊ะๆ (ยกเว้นรอบข้างที่มีตึกเพิ่มขึ้นมา) ดังนั้นใครได้ไปคือฟินแน่นอน : Place de la Mairie, Auvers-sur-Oise

Portrait of Dr. Gachet, 1890 

เป็นหนึ่งในภาพ Portrait วาดโดย Van Gogh ที่มีชื่อเสียงที่สุด Dr. Gachet คนนี้คือหมอที่ดูแลในช่วงท้ายของชีวิต เปรียบเป็นดั่งเพื่อนคนสุดท้ายของเขา มีทั้งหมด 2 เวอร์ชั่นด้วยกัน โดย Van Gogh มอบให้ Dr. Gachet ไปภาพนึง

และด้วยความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นนี้เอง ปัจจุบันบ้านของ Dr. Gachet กลายเป็นพิพิธภัณฑ์เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขา จัดแสดงงานศิลปะที่เขาเก็บสะสมไว้ รวมถึงบรรยากาศบ้านที่คงเดิมแห่งยุคนั้น ซึ่งใครๆ ก็สามารถเข้าไปดูได้ : Maison du Docteur Gachet

ยังออกไปเที่ยวตามรอยไม่ได้ แต่เราก็สามารถเก็บบรรยากาศแบบ Van Gogh มาดูที่บ้านได้นะ

GroundControl ร่วมกับ DOSEART.com แกลเลอรี่งานศิลปะออนไลน์ ชวนคุณสะสมงานศิลป์ในราคาย่อมเยา คุณภาพระดับพิพิธภัณฑ์สากล คอลเลคชั่นพิเศษ "Vincent Van Gogh" รวมผลงานชิ้นเด่นตลอดชีวิตของเขากว่า 25 ชิ้น 
งานภาพ reproduction นี้ คุณภาพคุ้มค่าระดับพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ
ด้วยการพิมพ์ในระบบ Digital pigment print 12 สี
ลงบนแคนวาสคุณภาพดี เสมือนภาพ 3 มิติ
จัดส่งฟรีทั่วประเทศไทย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,290 บาท