High Altar of Fantasy ที่ VERSAILLES
โปรเจคสร้างฝันที่พ่อเคยฝันที่ไม่กล้าฝัน ที่คนธรรมดาคนนึงคิดอยากที่จะฝัน
Versailles หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ถูกสร้างให้เกิดขึ้นจริงในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่นอกจากจะมีพระราชวังและสวนสวยที่อลังการกินพื้นที่กว้าง ที่นี่ยังมีความไฮแฟนตาซีมากมายเกิดขึ้น!
และนี่คือ 5 ความแฟนตาซี ที่เล่นใหญ่แบบไม่มีใครหยุดใคร!!
จุ๊บนักออกแบบยกเซท มาสร้าง Versailles ส่วนใครที่เด่นกว่าก็เด้งไปซะ
เมื่อเสนาบดีการคลัง Nicolas Fouquet (นิโกลา ฟูเกต์) ผู้ดูแลเรื่องการเงิน หวังก้าวหน้าในสายอาชีพ เลยขอซีนเล่นใหญ่ จ้างสถาปนิก มัณฑนากร และนักออกแบบสวนตัวท๊อปของยุค มาสร้างปราสาทส่วนตัว Château de Vaux-le-Vicomte (Chateau แปลว่าปราสาท) ที่ออกมายิ่งใหญ่ สวยงาม และดูมีอารยะธรรมสูงส่ง
วันเปิดปราสาท นิโกลา ฟูเกต์ ก็เชิญพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พร้อมเหล่าเสนาบดีทั้งราชสำนักมาร่วมตัดริบบิ้น - หวยออกทันที เพราะพระเจ้าหลุยส์ ผู้รู้สึกว่าตัวเองคือสุริยะกษัตริย์ ใหญ่เบอร์นี้จะมีใครมาแย่งซีนเทียบรุ่นไม่ได้!
3 อาทิตย์ถัดมา หลังงานเปิดบ้านให้ตีท้ายครัว คุณฟูเกต์ ก็โดนเด้งออกจากตำแหน่งทันที แถมไม่ได้โดนเด้งอย่างเดียว แต่ยังโดนจุ๊บสถาปนิก มัณฑนากร และนักออกแบบยกเซท ให้มาสร้างพระราชวังของตัวเองบ้าง!
ซึ่งนั่นก็คือแวร์ซาย.. แวร์ซายเท่านั้นที่ต้องยิ่งใหญ่ที่สุดดด!
Galerie des Glaces โถงที่ป๊อปที่สุดที่ทุกคนต้องเช็คอินเมื่อไปแวร์ซาย!
Galerie des Glaces คือท้องพระโรงของแวร์ซายที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ดำริว่าที่นี่ต้องแกรนด์สุด ปังสุด และเพื่อเป็นการแสดงแสงยานุภาพของฝรั่งเศส พระองค์จึงเนรมิตรให้โถงนี้เต็มไปด้วยกระจก จนได้มีชื่อเรียกว่า Galerie des Glaces หรือที่รู้จักกันในนาม Hall of Mirrors
ย้อนกลับไปในยุคสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แน่นอนว่าวิทยาการยังล้ำสมัยไม่เท่าปัจจุบัน แค่กระจกชิ้นเล็กที่สาวไฮโซยุคนั้นใช้ส่องหน้าก็มีราคาแพงระยับ เหตุเพราะมันคือประดิษฐกรรมที่ซับซ้อน จากการหลอมทรายจนกลายเป็นครีมใส แล้วนำมาผ่านความร้อน อัดจนกลายเป็นแผ่นกระจก ซึ่งแหล่งผลิตแห่งเดียวที่สามารถสร้างได้ดี ณ เวลานั้นคือเมืองเวนิส
แต่เราจะอิมพอร์ตให้เสียเกียรติก็ไม่ได้ ตั้งใจจะแสดงแสงยานุภาพของฝรั่งเศสทั้งที เราต้องสร้างของเราเอง! พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เรียกระดมวิศวกร ราชบัณฑิต สถาปนิก นักปราชญ์หัวกะทิให้มาไขปริศนาจนกระจ่าง และเมื่อนั้นแหละที่ฝรั่งเศสก็สามารถสร้างกระจกได้เองเป็นครั้งแรก สร้างได้ทั้งทีก็ต้องไม่ทำเล็กๆ ปูเต็มท้องพระโรงไปเลย กึ่งๆ ประกาศชัยชนะว่าชั้นไม่ต้องพึ่งชาวเวนิสเชี่ยนอีกต่อไป
จินตนาการความอลังการในยุคที่ยังไม่มีไฟฟ้า เมื่อเกิดพิธีในท้องพระโรง เหล่าผู้ดูแลค่อยๆ ชักรอกโคมไฟระย้าลงมาจุดเทียน ให้สว่างไสวทั่วท้องพระโรง แสงเทียนระยิบระยับส่องสะท้อนกระจกบานใหญ่ ปรากฎภาพของเหล่าขุนนางที่เดินทางมาปาร์ตี้ ได้เห็นตัวเองสะท้อนกระจกเต็มตัว ในขณะเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี่คือภาพสะท้อนที่ตอกย้ำความ High Fantasy ของแวร์ซายที่แท้!
พิธีกรรมการตื่น-การนอน ชีวิตดั่งละครโชว์ที่โดนมอนิเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง!
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 สถาปนาพระราชประเพณีพิเศษที่เต็มไปด้วยกุศโลบายทางการเมือง ตั้งแต่ย้ายทุกอย่างมาแวร์ซาย เพื่อให้ข้าหลวงได้แห่แหนความเป็น The Sun King ได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ (เราว่า) แปลกประหลาดแต่น่าจะได้ผล! คือการสร้างพระราชประเพณีในชีวิตประจำวันขึ้น อย่าง Le cérémonie du lever du Roi (The Ceremony of the Rising of the King) สั้นๆ เข้าใจง่ายที่สุด คือ การเข้าเฝ้ากษัตริย์ตื่นนอนนั่นเอง
ประเพณีที่ว่าคือการที่ข้าหลวงหรือขุนนางคนสนิทจะได้โอกาสพิเศษ มาเชคชื่อแต่เช้าถึงห้องบรรทมที่ The King’s Chamber คนแรกที่จะได้เซย์ฮัลโหล คือขุนนางที่เป็นผู้ชนะได้ตำแหน่งสูงสุดและสำคัญที่สุดไป เป็นโอกาสดีที่สามารถซุบซิบทูลถามนู้นนี่กับพระองค์ได้ตั้งแต่ลืมตาตื่น และตามมาด้วยรองอันดับสอง/สาม/สี่ ที่จะได้ตำแหน่งการหยิบสวมฉลองพระองค์ให้กษัตริย์ และกิจกรรมอื่นๆ โดยไล่ลำดับความสำคัญของข้าหลวงตามการเข้าถึงพระองค์เป็นคนแรกๆ ของวัน ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ เกิดขึ้นตลอดเวลาตั้งแต่ตื่น-ยาวไปจนถึงเข้านอน
ด้วยพระราชพิธีเฝ้ากษัตริย์ตื่นนอนนี้เองที่ทำให้ข้าหลวงคนสนิทต่างก็พยายามแย่งกันทำความดี แข่งขันกันเองเพื่อจะได้เป็นผู้ที่ถูกเลือก ถือว่าเป็นหนึ่งในกุศโลบายทางการเมืองที่ได้ผล และช่วยคัดกรองคนที่จะเข้าถึงพระองค์ได้เป็นอย่างดี
ชีวิตดั่งละครโชว์ที่เล่นแบบมาราธอนให้คนได้มอนิเตอร์ 24 ชั่วโมง ทุกวันแบบไม่เว้นวันหยุดราชการ!
ฝาชีครอบอาหาร เก็บความอุ่นร้อน เพิ่มความหรูหรา
คาดการณ์กันว่า นวัตกรรมนี้เกิดขึ้นครั้งแรกที่แวร์ซาย!
นอกจากห้องอาหารจะเป็นหนึ่งในห้องแสดงโชว์ที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และควีน Maria Theresa of Spain จะเสด็จมากินโชว์ทุกวันตามตารางเวลาพระราชพิธีประจำวัน เพื่อตอกย้ำ ชีวิตที่เป็นดั่งละครโชว์แล้ว ห้องอาหารนี้ก็อาจจะเป็นห้องที่ทำให้เกิดนวัตกรรมฝาชีโลหะครอบอาหารที่เราต่างก็คุ้นตาอีกด้วย!
ว่ากันว่าห้องครัวของแวร์ซายนั้นตั้งอยู่ไกล ระดับที่ว่ากว่าจะเดินลัดเลาะผ่านห้องต่างๆ มาได้ สำรับอาหารที่นำมาเสิร์ฟกษัตริย์และราชินีก็มีต้องเย็นชืดทุกครั้งไป สุดท้ายจึงเกิดนวัตกรรมฝาชีโลหะทรงโดม สำหรับครอบอาหารเพื่อเก็บความอุ่นร้อน เพิ่มความหรูหรา คาดการณ์กันว่านวัตกรรมนี้เกิดขึ้นครั้งแรกที่แวร์ซายนั่นเอง
Orangerie du château de Versailles สวนส้มที่ไม่เหมาะกับสภาพอากาศ แต่ส้มไม่หยุด ส้มจะต้องโต ส้มจะต้องส่งกลิ่นหอม
มองจากผู้ที่เติบโตในประเทศเขตร้อน เราก็อาจจะสงสัยได้ว่าสวนส้มของพระราชาแห่งนี้มันพิเศษที่ตรงไหน...
แต่เพราะส้มไม่ได้เกิดและหยุดอยู่ที่พรานนก อันเป็นประเทศเขตเมืองร้อน แต่ดันไปเจริญงอกงาม เติบโต ออกดอกได้ผล และส่งกลิ่นหอมที่ฝรั่งเศสทั้งๆ ที่เป็นประเทศเขตเมืองหนาว มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในสมัยนั้นแน่นอน ความเล่นใหญ่ที่โชว์พาวได้สูงสุดคือการทำให้ส้มเหล่านี้รอดชีวิต ที่นอกจากจะต้องใช้เงินทุนสูงสุดขีด ก็ยังต้องมีความพยายามอย่างมาก โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่ทีมงานคุณภาพของพระเจ้าหลุยส์จะต้องย้ายต้นส้มทั้งหมดในสวนเข้าไปอยู่ในอาคารเรือนกระจก
สวนส้มที่รอดตายและออกดอกผลนี่เอง คือสัญลักษณ์หนึ่งในการแสดงแสงยานุภาพ ว่าฝรั่งเศสมีทั้งเทคโนโลยีและเงินทุนมากพอที่จะเอาชนะธรรมชาติได้
และนอกจากจะเป็นการอวดรวยนิดๆ แล้ว ยังมีเรื่องเล่าว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงโปรดกลิ่นส้มมากที่สุด และในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตที่พระองค์แพ้น้ำหอมเกือบจะทุกกลิ่น ก็มีแต่กลิ่นส้มเท่านั้นที่ทำให้ท่านสดชื่นขึ้นได้
และอีกหนึ่งข่าวดังที่ขอนั่งเคลีย คือชื่อเสีย(ง)ความเหม็นของแวร์ซายที่โด่งดังไปไกล เนื่องด้วยระบบสาธารณสุขในยุคนั้นที่อาจจะไม่ดีเท่าไหร่ ..ก็ได้ประโยชน์จากกลิ่นของดอกส้มที่ทางวังปลูกไว้นี่แหละ ที่มาช่วยกลบกลิ่นเหม็นที่อวลตลบด้วยความหอมของกลิ่นส้มที่ไม่มีวันหยุดจากสวนแห่งนี้แทน
เล่าสนุกครบทุกดีเทล ย้อนหลังไปดูกันได้ที่ Self-Quarantour ตอน Versailles นำทัวร์โดย นักรบ Nakrob Moonmanas the Collagist และ เอิร์ธ Peerapat Ouysook กันอีกครั้งได้ที่ Facebook Groundcontrol