ตั้ง–ตะวันวาด ผู้หมกมุ่นอย่างจริงจังกับอะไรที่อยากทำ ไม่อยากทำก็ไม่ทำ
(กรุณาเปิดบีตคลอไปด้วยระหว่างอ่าน)
นี่ตั้งไง? ตั้งไหน? อ๋อ …
ตั้ง–ตะวันวาด ที่เขาเป็นช่างภาพ ถ่ายหนัง ถ่ายรูป ถ่ายแรป เอ้ย! ร้องแรปแบบผิดคาด แต่จะเป็นอันไหนเขาแทบไม่เคยพลาด จะเป็น TANG BADVOICE หรือตั้ง–ตะวันวาด
เพราะเขาบอกมันสนุก เป็นความสุข เหมือนถูกปลุก ให้ไฟลุก เหมือนกระตุก แบบจุกๆ ไม่มีทุกข์ ราวกับคืนวันศุกร์ แต่ยัง! ยังไม่หยุด! เพราะล่าสุด เขาไปสุด Noวันหยุด เล่นสเก็ต แบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แบบโอ้ย ทำมาแล้ว kickflip ทำมาแล้ว น้ำหนักลด ลดไปแล้ว หรือหมกมุ่น? เลยไปแล้ว
ประสบการณ์แบบโชกโชน ความคลั่งแบบโดนๆ ข้างในใจมันตะโกน ตั้งใจไปสุดกระโจน เข้าBone พร้อมโอน พุ่งใส่ปล่อยไฟฟ้าแสนโวลต์ จะสเก็ต ร้องแรป ถ่ายรูป ถ่ายหนังยังไงก็ไม่โยน แต่อะไรที่ทำให้สนุกขนาดนั้น และทำยังไงเราถึงจะสนุกได้แบบตั้ง หาคำตอบได้ที่นี่ … ที่ GroundControl!
ตั้ง-ใจหมกมุ่น
ไหนๆ จะคุยกันถึงความอินในสิ่งที่ทำทั้งที เราจึงนัดพบตั้งที่ลานสเก็ตที่เขามาเล่นประจำ เพราะสืบทราบมาว่าเจ้าสิ่งนี้เองคือ ‘ความหมกมุ่นใหม่’ ต่อจากการถ่ายหนัง ถ่ายภาพและร้องเพลงแรป ซึ่งรอไม่นานตั้งก็ปรากฏตัวพร้อมบอร์ดคู่ใจและวาดลวดลายให้ช่างภาพเก็บภาพจนอิ่ม ก่อนที่จะมานั่งคุยกันหลังจากนั้นว่าด้วยแรงขับเคลื่อนของตัวเขา โดยเรายกตัวอย่างแรกเป็นสเก็ต
ตั้ง–ตะวันวาด : “เราเล่นสเก็ตมาได้ 11 เดือนแล้วครับ จุดเริ่มต้นคือวันหนึ่งที่ไปเจอเพื่อน แล้วเพื่อนบอกเราว่า ‘พวกกูกำลังเล่นสเก็ตกันอยู่นะ มาสิ’ ซึ่งเราได้ยินครั้งแรกก็ยังงง แต่พอเพื่อนให้บอร์ดมาแล้วลองยืนเท่านั้นแหละ โห! เชี่ย! (เน้นเสียงและลากเสียงยาว) ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มันใช่เลย!
“อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน แต่คงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่หยิบกล้องใหม่ๆ เราตื่นเต้น รู้สึกถูกชะตา ยิ่งทำยิ่งรู้สึกกระหาย การยืนบนล้อเล็กๆ 4 ล้อแล้วต้องบาลานซ์ โดยที่โยกหลังมากไปเราจะ fuck โยกหน้ามากไปเราจะ fuck สำหรับเรามันคือท้าทาย ทุกอย่างดูยากหมดแต่ก็ทำให้สนใจ เราเลยเล่นมาตลอดตั้งแต่นั้น จนตอนนี้น้ำหนักลดมา 14 กิโลแล้ว (หัวเราะ)
“เวลาเราหมกมุ่นจะเป็นประมาณนี้แหละ หมกมุ่นเข้าขั้น Unhealthy ชีวิตไม่บาลานซ์ จัดการส่วนอื่นๆ ไม่ค่อยได้ พูดง่ายๆ คือช่วงนั้นถ้าไม่ได้ทำงานก็มีแต่ทำสิ่งที่สนใจอยู่ อย่างสเก็ตคือเราไล่เปิดคลิปดูทุกอย่าง ลองหัดทุกท่า ลองเอาดินสอมาใช้นิ้วตีเพื่อให้เข้าใจหลักการ เราต้องการรู้ทั้งหมดและอยากขยายความรู้ไปเรื่อยๆ ดังนั้นในแต่ละครั้งจึงกินเวลาเยอะมาก คำว่า Work-Life Balance ไม่เคยมี อย่างจนถึงตอนนี้ถ้าไม่ได้ถ่ายหนังก็เจอเราได้ที่ลานสเก็ตนี่แหละ
“แต่มันก็มีอีกหนึ่งข้อดีที่เราได้จากการเล่นสเก็ตเหมือนกัน นั่นคือมันช่วยเราในการตอบข้อสงสัยว่ากับทุกอย่างที่ทำ เราชอบมันจริงๆ หรือกูแค่อยากโชว์ออฟ เพราะก่อนหน้านี้การถ่ายหนัง ถ่ายภาพหรือทำเพลงแรป เรามักได้รางวัลจากชิ้นงานที่ทำซึ่งนั่นทำให้เราเป๋ แต่พอมาเจอสเก็ตที่เราคงไม่มีทางได้รางวัลอะไรนอกจากแผลกับรองเท้าขาด เราเลยรู้สึกฟินมาก เพราะมันช่วยให้ตอบตัวเองได้จริงๆ ว่ากูชอบความสนุกมากกว่าการชอบโชว์นะโว้ย เย่! (หัวเราะ)”
ตั้ง-ใจสนุก
ว่ากันตามจริงการทำอะไรโดยใช้ความสนุกเป็นตัวขับเคลื่อนนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แทบทุกคนต่างเคยใช้มันเป็นแรงผลักดันอย่างน้อยก็ช่วงที่เป็นเด็ก แต่เมื่อโตขึ้น เชื้อเพลิงเหล่านั้นของหลายคนมักหายไปหรือแปรเปลี่ยน ต่างกับตั้งที่เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ความสนุกคือแรงขับเคลื่อนหลักที่เขาใช้มาตลอด นั่นจึงทำให้เราสงสัยว่าอะไรกันคือจุดเริ่มต้นและสิ่งที่ประคองให้เขายังคงมีมันจนถึงทุกวันนี้
ตั้ง–ตะวันวาด : “เวลาอินกับอะไรสักอย่าง สำหรับเรานี่เป็นกระบวนการที่สนุกเสมอ สนุกเสียจนไม่คิดถึงอะไรอื่น ขอแค่มีความรู้สึกว่าไอ้สิ่งนี้แม่งใช่ว่ะ เราจะบวกๆๆๆ ซึ่งถ้าให้ย้อนคิดสิ่งนี้ติดตัวเรามาตั้งแต่เด็กแล้ว
“พ่อแม่เรามีส่วนในการสร้างนิสัยอยู่มาก เพราะสมัยเด็กเวลาเราอินกับอะไรสักอย่าง พ่อแม่สนับสนุนเราตลอด พวกเขาสร้างบรรยากาศให้เรารู้สึกว่าสามารถลองทุกอย่างได้ ถ้าไม่ใช่ก็แค่หากิจกรรมใหม่ ไอ้ที่ทำไปแล้วถือว่าเป็นการตัดช็อยส์ ไม่ต้องไปเสียดายเวลา เราจึงรู้สึกสบายใจเวลาเริ่มต้นใหม่ เราลองหลายอย่างมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่การตัดไม้อัดไปจนถึงการเรียนเทควันโด
“(นิ่งคิด) แต่บอกแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเรามองไม่เห็นความเป็นจริงนะ เพราะเมื่อโตขึ้น เราเห็นเพื่อนหลายคนที่ในอดีตเคยอินหลายอย่างไปพร้อมกับเราแต่วันหนึ่งต้องหยุดไปเพราะภาระหรือปัจจัยอื่นๆ หรืออย่างเราเองก็มีช่วงที่แม่หยุดให้เงิน แล้วต้องหาเงินเองจากการถ่ายหนังตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัย ในอีกมุมเราเลยเข้าใจว่าต่อให้ทำสิงที่รักและชอบขนาดไหน มันมีช่วงที่ไม่พออยู่แล้ว ซึ่งแม่งเครียดนะ ดังนั้นกับทุกวันนี้เราจึงมองตัวเองว่าโชคดีมากกว่าที่สุดท้ายงานถ่ายหนังสามารถหาจุดลงตัวในชีวิตเราได้ แต่นี่ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เราเป็นคือสิ่งที่ถูกต้องหรืออะไรเลย
“เพราะการมีชีวิตรอดในความเป็นจริงมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากกว่าความสนุก ความเป็นจริงของชีวิตแม่งจี๊ดน่ะ”
ตั้ง-ใจทำ
เมื่อย้อนคิดถึงสิ่งที่ตั้งบอก เราค้นพบว่าตัวเองก็มีช่วงชีวิตที่ต้องเลือกระหว่างความสนุกกับความรับผิดชอบอยู่เหมือนกัน แน่นอนว่าสุดท้ายช็อยส์ที่ทุกคนเลือกเป็นเรื่องปัจเจก แต่นั่นทำให้เกิดความสงสัยต่อมาว่ากับตัวตั้งเองล่ะ ในวันที่สิ่งที่ทำยังไม่ได้ออกผลหรือเจอกับ ‘ความเป็นจริงของชีวิตที่แม่งจี๊ด’ เขาพาตัวเองให้ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร
ตั้ง–ตะวันวาด : “เราไม่เคยมีช็อยส์ว่าจะเลิกอยู่เลยแฮะ ถึงเป็นช่วงที่ลำบากจนแทบไม่มีเงินใช้ คำถามที่อยู่ในหัวเรากลับไม่ใช่เรื่องนั้น แต่มันเป็นการถามตัวเองว่า ‘กับงาน DoP (Director of Photography) ที่เรารัก เราอยากเห็นภาพแบบไหนจากตัวเอง’ มากกว่า
“จำได้ว่าช่วงนั้นเราดูหนังเยอะมาก อ่านหนังสือก็เยอะ จนเราค่อยๆ ค้นเจอว่าตัวตนเราเป็นคนที่ชอบแสงแข็ง ชอบแดด หรือถ้ามืดต้องมืดไปเลย ซึ่งพอเจอแล้วเราก็พยายามหาวิธีการ ว่าถ้าเราอยากผลิตซ้ำสิ่งที่ชอบ เราต้องทำยังไง เรียกได้ว่าช่วงนั้นคือโหมดอินนั่นแหละ มีช่วงเปิดกรุที่ลงทุนครั้งใหญ่ด้วย ไปร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ ซื้อหนังสือไฟเพียบ หนังสือกล้องเพียบ กลับบ้านมาติดโหมดเนิร์ดอ่านๆๆๆ ท่องๆๆๆ จำๆๆๆ ใช้เวลากับตรงนั้นเยอะมากเพื่อที่จะผลิตภาพแบบของเราได้ทุกเงื่อนไข คนจะได้เข้าใจว่าภาพของเราเป็นแบบไหน และถ้าชอบหรืออยากได้แบบเดียวกัน เขาจะได้จ้าง
“แต่เหมือนตอนนั้นเราเตรียมใจและคิดกับตัวเองแล้ว ว่าในเมื่อการทำงานสนุกขนาดนี้ ถึงสุดท้ายต่อให้ทุ่มเทไปแล้วได้เงินแค่ประมาณหนึ่ง เรายอมแลกก็ได้ เชี่ย ไม่รวยก็ได้ไอ้สัส (หัวเราะ) ในเมื่อถ้าตายชีวิตก็จบแล้ว ดังนั้นลุยไปเถอะ ซึ่งอย่างที่บอกว่าสุดท้ายเราโชคดีที่ออกมาโอเค แต่ก็อยากย้ำอีกทีว่าในอีกมุมเราเข้าใจคนที่ต้องล้มเลิก เพราะในชีวิตจริงการทำสิ่งที่ชอบไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราอย่างเดียว เรื่องเงินเป็นปัจจัยที่ใหญ่ ถ้าความจริงทำให้เราไม่ไหว เราก็โคตรเข้าใจเลย”
ตั้ง-ใจเป็นตัวเอง
เมื่อฟังถึงสิ่งที่ขับเคลื่อนความเป็นตั้ง ใจหนึ่งเราแอบคิดเหมือนกันว่าคงจะดีถ้าเรามีพลังงานแบบนี้บ้าง เราจึงหยิบเอาประเด็นนี้ขึ้นมาให้ตั้งร่วมแสดงความเห็น ว่าสุดท้ายแล้วในงานสร้างสรรค์ ความสนุกสร้างประโยชน์อะไรให้กับเขาบ้าง แต่กลายเป็นว่านอกจากตั้งตอบในมุมตัวเองแล้ว เขายังให้ความเห็นกับเราคลอบคลุมไปไกลมากกว่านั้นด้วย
ตั้ง–ตะวันวาด : “สำหรับเราความสนุกคือแรงไดร์ฟที่ดีสัสๆ ยิ่งเวลาใช้ความสนุกนำ ส่วนใหญ่งานเราจะไม่ค่อยพลาด เพราะเมื่อสนุกเราจะรู้สึกเหมือนได้เล่น พอเล่นเราจะอยากทดลอง และพอทดลองเราจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ที่ทำให้งานออกมาดีขึ้นเสมอ
“แต่ทีนี้สิ่งที่เราเล่ามันเป็นเพราะว่านี่คือตัวตนเรานะ กับคนอื่นอาจไม่เหมือนกันก็ได้
“ก่อนหน้านี้ด้วยความที่เรารู้จักแค่ตัวเอง เราเลยเข้าใจไปเองว่างานสร้างสรรค์ต้องไดร์ฟด้วยความสนุกเท่านั้น แต่พอโตขึ้นแล้วได้เจอเพื่อนคนหนึ่ง เราถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วมันไม่ใช่ เพราะเพื่อนเราคนนี้ใช้ความเศร้าและความกลัวนำ พื้นฐานนิสัยเขาเป็นแบบนั้น และงานที่ออกมาก็เจ๋งสัส เราเห็นได้ชัดเลยว่านั่นเป็นแรงไดร์ฟที่ดีและยั่งยืนมากๆ เพราะสำหรับเขานั่นคือเนื้อแท้ ต่างกับเราที่มีเนื้อแท้คือความสนุกอย่างสิ้นเชิง
“สิ่งนี้ทำให้เราเปลี่ยนความคิด ไม่ว่างานสร้างสรรค์จะถูกสร้างขึ้นมาจากความรู้สึกแบบไหน สุดท้ายเราว่างานสามารถออกมาดีได้ทั้งนั้น ไม่มีความรู้สึกไหนที่ด้อยกว่า ความสนุกสามารถเจ๋งสัสได้ ความเศร้าและความกลัวก็สามารถเยี่ยมกู๊ดได้ ขอแค่มันมาจากเนื้อแท้ ยกตัวอย่างเช่นเราเองที่พอเห็นงานเพื่อนก็เคยพยายามเอาความเศร้ามาทำเป็นงาน อยากเท่ๆ ดาร์กๆ คูลๆ แบบนั้นบ้างแต่สุดท้ายก็ไม่รอด เพราะมันดูฝืนกับเนื้อใน เพื่อนทำน่ะของจริง แต่พอเราทำปุ๊บก็ดูเสร่อ ซึ่งเราว่านี่แหละคือประเด็น
“คุณไม่ต้องใช้ความสนุกนำพาเหมือนเราก็ได้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือการที่คุณลองมองเข้าไปในตัวเอง ว่าภายในนั้นมีอะไรอยู่ เมื่อเจอแล้วก็อย่าไปปฏิเสธ เช่น ถ้าคุณเป็นคนขี้ระแวง เป็นคนขี้เงี่ยน หรือแม้กระทั่งเป็นคนรุนแรง ทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องไม่ดีในโลกศิลปะเลย ไม่มีอารมณ์ไหนที่แย่ ทั้งหมดเป็นเชื้อเพลิงให้คุณผลิตออกมาเป็นงานที่ดีได้ ขอแค่คุณยอมรับในตัวเอง เราว่านี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดของการทำงานศิลปะ มันช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าในท้ายที่สุดแล้วเนื้อแท้ของคุณคืออะไร”
ตั้ง-ใจมีชีวิต
คุยมาจนถึงตอนนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความอินและความสนุกคือแกนหลักของตั้งอย่างแท้จริง พิสูจน์ได้จากคุณภาพของสิ่งที่ตั้งทำตั้งแต่หนัง ภาพนิ่ง เพลงแรป ไปจนถึงท่วงท่าการเล่นสเก็ต แต่เมื่อชวนคุยถึงภาพใหญ่อย่างชีวิตและอนาคตเพื่อสรุป ตั้งกลับมีแนวคิดที่เซอร์ไพรส์เราอยู่เอาการ เพราะสุดท้ายด้วยขวบปีของชีวิตตอนนี้ มันกลับส่งผลให้เขามองตัวเองเปลี่ยนไป
ตั้ง–ตะวันวาด : “ถ้านับที่ปัจจุบันในอายุ 30 ปี เราแอบคิดเล็กๆ เหมือนกันว่า หรือคำตอบของชีวิตเราคือการหาความสนใจและทำมันไปเรื่อยๆ จนตายวะ
“เหมือนยิ่งอยู่ไป เรายิ่งเชื่อว่าการเกิดของเราเป็นเพียงแค่ ‘หนึ่ง’ ในช่วงเวลา ไทม์ไลน์ของเราถ้าเทียบกับจักรวาลมันเล็กมาก เราเลยเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าแท้จริงแล้วการเกิดขึ้นของมนุษย์อาจเป็นแค่อุบัติเหตุ เป็นธรรมชาติแวดล้อมที่บังเอิญหมุนวนมาบรรจบกันพอดี ซึ่งพอคิดได้แบบนี้ก็ทำให้เราไม่ได้อยากหาความหมายของชีวิตเท่าเดิมอีกแล้ว
“เราเกิดมาทำไม เรามีดีอะไร มีสิ่งที่ชะตาชีวิตส่งมาให้เราทำไหม คำถามพวกนี้ค่อยๆ หายไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราเปลี่ยนความเชื่อว่าบางทีชีวิตมนุษย์แม่งอาจเป็นแค่การทำในสิ่งที่ชอบเพื่อเบี่ยงเบนตัวเองออกจากชุดความจริงว่าวันหนึ่งมึงต้องตายก็ได้นะ
“ความคิดนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน อาจเป็นเพราะปีที่ผ่านมาคนรอบตัวเราตายเยอะด้วย มันเลยส่งผลให้หลายคำถามในชีวิตหายไป เหลือแค่ความอยากทำสิ่งที่ชอบ เพราะในเมื่อชีวิตแม่งเหงาสัส คนที่อยู่ข้างเรานานวันก็มีแต่น้อยลง ดังนั้นเราควรอยู่กับตัวเองให้เก่งสิ จะเป็นอะไรก็ได้หรือไม่เป็นอะไรก็ได้ขอแค่มีความสุขกับสิ่งที่ทำน่ะ เพราะเราชอบตัวเองมากแล้วที่สามารถใช้เวลาทั้งวัน ทั้งอาทิตย์ ทั้งเดือนไปกับกิจกรรมหนึ่งได้โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งมนุษย์คนอื่น
“เอาจริงเลยนะ แม้กระทั่งสิ่งที่เรารักอยู่ตอนนี้อย่างถ่ายหนัง ถ่ายรูป เพลงแรปหรือสเก็ตบอร์ด ถ้าวันหนึ่งอยู่ดีๆ มันต้องไป วันหนึ่งเราเกิดไม่ชอบมันขึ้นมา เรายังโอเคเลย เราสามารถเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นได้ทันที โดยที่รู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ เพราะเราจะได้หาสิ่งใหม่ ได้เป็น underdog และเริ่มต้นกับอะไรสักอย่าง เหมือนเราไม่อยากยึดติดแล้ว แต่เราเลือกอยู่กับตัวตนข้างในมากกว่า
“เราเริ่มต้นใหม่ได้เรื่อยๆ ทุกวัน ต่อให้อายุเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าทุกอย่างสามารถเริ่มต้นได้ตลอด และกับสิ่งที่เลิกไปก็ไม่ได้เสียดายอะไร เพราะอย่างน้อยนั่นคือการที่เราได้ลอง ยิ่งในเมื่อมนุษย์เปลี่ยนแปลงทุกวัน เราตอนนี้กับเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ปีที่แล้ว หรือเมื่อวานก็ไม่เคยเป็นคนเดิม ดังนั้นโดยส่วนตัวเราเลยไม่อยากกดดันตัวเองโดยไม่จำเป็น
”เพราะมันเศร้านะ ที่ต้องเป็นอย่างนู้น ทำอย่างนี้เพราะคนอื่นคิดว่าควร
“สรุปคือเราว่าจริงใจกับตัวเองดีกว่า อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ เพราะการเจอทางที่ใช่แม่งยากนะ ถ้าเจอเร็วเราก็ยินดีด้วย แต่ถ้าลองแล้วไม่ใช่ การเริ่มต้นใหม่ในทางอื่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่เว้ย เพราะถึงจะ fuck แต่อย่างน้อยเราขอมี Happy Working ไปจนตายดีกว่าน่ะ”
ภาพถ่ายโดย : ก้อง พันธุมจินดา