ประวัติศาสตร์ของสีแดงแรงฤทธิ์ สีแห่งชีวิต ชัยชนะ และสงคราม
ในบรรดาแม่สีทั้ง 3 สีน้ำเงินเป็นสีที่มนุษย์สร้างขึ้นเองไม่ได้ ส่วนสีแดงก็เป็นหนึ่งในสีที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะของมนุษย์เช่นเดียวกับสีเหลือง
ดั้งเดิมแล้ว สีแดงมีความหมายถึงเลือดและไฟที่จะมีนัยยะในเชิงบวกหรือลบก็ได้ สีแดงจึงมีหลายความหมายตามแต่ละวัฒนธรรมและช่วงเวลา ทั้งการเป็นสัญลักษณ์ของความสุข ความโชคดี และความอุดมสมบูรณ์ที่เรามักจะเห็นกันในแถบเอเชียอย่างอินเดียและจีน แต่หากข้ามฝั่งฟ้าไปยังแถบตะวันตกของโลก สีแดงค่อนข้างสัมพันธ์กับขุนนาง คณะสงฆ์ คริสตจักร รวมถึงสงครามด้วย
นอกจากสีแดงแรงฤทธิ์จะดูเผ็ดจี๊ดถึงใจในฉบับไทย ๆ GroundControl อยากพาทุกคนติดเครื่องยนต์ มุ่งสู่จักรวาลแห่งสีในประวัติศาสตร์ศิลปะของมนุษย์เราไปพร้อม ๆ กัน
Red Ochre
ถ้าย้อนกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ของสีเหลืองในงานศิลปะที่เราเคยเล่า สีเหลืองชนิดแรกที่เกิดขึ้นคือ Yellow Ochre ที่ทำจากดินเหนียวที่หาได้ตามธรรมชาติ เช่นเดียวกัน สีแดงก็เกิดขึ้นจากดินเหนียวก้อนนั้น แต่เป็นดินเหนียวที่ประกอบด้วยแร่เฮมาไทต์ (คล้าย ๆ ฮีโมโกลบินที่แปลว่าเม็ดเลือดแดงนั่นเอง)
เรามักจะเห็นมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ใช้สีแดงเหล่านี้วาดภาพในถ้ำเคียงข้างกับสีเหลืองเก่าแก่ เช่น วัวกระทิงในผนังถ้ำของอัลตามิราในสเปนที่มีอายุระหว่าง 20,000 ถึง 14,000 ปีก่อนคริสตกาล ขณะที่ฟากฝั่งตะวันออกอย่างจีนโบราณ เครื่องปั้นดินเผาสีดำและสีแดงในยุคแรกที่มีอายุระหว่าง 5,000 ถึง 3,000 ปีก่อนคริสตกาลก็เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ
ส่วนอียิปต์เมืองพีระมิดนั้น สีแดงอาจมีความหมายได้ตั้งแต่สุขภาพ ความมีชีวิตชีวา ความโกรธ ความชนะ และความรุนแรง เพราะขณะที่สีแดงมักถูกใช้เป็นบรัชออนและลิปสติกของแม่หญิง เวลามีงานฉลองในพื้นที่ ผู้คนก็จะทาตัวด้วยสีแดง สีแดงก็ยังถูกใช้พรรณาเทพเจ้า Seth ผู้ได้รับชัยชนะเหนือ Apep แต่สังหาร Osiris น้องชายของเขา
แต่ถึงอย่างนั้น Red Ochre ก็ไม่ได้อยู่แค่ในยุคโบราณ เพราะจิตรกรรมฝาผนังในยุคกลางและเรอเนสซองส์ซึ่งวาดโดย Giorgio Vasari บนผนังห้องโถงในฟลอเรนซ์ก็ใช้สีแดงเฉดนี้ หรืออย่างในงานของศิลปินดังที่เราคุ้นเคยอย่าง Renoir หรือ Vermeer ก็ปรากฏสีเฉดโบราณนี้ด้วย
Madder Lake
นี่คือสีแดงจากรากต้นแมดเดอร์ซึ่งเป็นสีแดงจากธรรมชาติที่เสถียรที่สุดชนิดหนึ่ง แต่เดิมเริ่มใช้โดยชาวอียิปต์โบราณเพื่อระบายสีเสื้อผ้าและยังมีการใช้ต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้
ในช่วงศตวรรษที่ 13 ชาวยุโรปปลูกแมดเดอร์จำนวนมากแต่กลับไม่มีหลักฐานว่าศิลปินในยุคกลางหรือยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาใช้สีแดงชนิดนี้ กระทั่งศตวรรษที่ 18 และ 19 ศิลปินก็หันมาใช้แดงธรรมชาตินี้อย่างแพร่หลาย (ถึงจะไม่เท่าแดง Carmine ก็เถอะ)
ผลงานที่เห็นชัด ๆ คือผลงานภาพวาดของ Vermeer ที่มักใช้สีแดงเฉดนี้เคลือบทับสีอื่น ๆ อีกที หรือใช้สีแดงเฉดนี้แต่งแต้มหน้าตาของแบบ
Carmine
สีแดงเลือดนกที่เห็นในภาพเหล่านี้เป็นสีที่ทำจากแมลงโคชินีลที่เกาะอยู่ตามเหล่าแคคตัสในแถบอเมริกาใต้และเม็กซิโก ตัวของพวกมันมีสีขาวแต่เมื่อแห้งและถูกบดละเอียด มันจะกลายเป็นสีแดงงดงาม ส่วนใหญ่ศิลปินจะเลือกใช้เพื่อสื่อความหมายถึงงความมั่งคั่ง
สีแดงเลือดนกเข้ามาในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 16 เป็นไปตามคาด ความงดงามของสีแดงเฉดนี้ทำให้จิตรกรหลายคนในศตวรรษที่ 15 และ 16 เกือบทั้งหมดเลือกใช้ ทั้ง Rembrandt, Vermeer และ Velázquez ที่ใช้สีแดงเลือดนกเพื่อให้ได้เฉดสีแดงที่เข้มข้น แถมศิลปินในยุคต่อมาอย่าง J.M.W. Turner และ Thomas Gainsborough ก็ยังนิยมผสมสีแดงเลือดนกในผลงานด้วย แต่เพราะความที่สีแดงจากแมลงชนิดนี้นั้นไวต่อแสงจนสามารถเปลี่ยนสีได้ ศิลปินจึงต้องใช้ด้วยความระวังสุด ๆ
Red Lead
สีแดงตะกั่วเป็นสีที่มีพิษสูง (อีกแล้ว) คาดว่าน่าจะผลิตขึ้นโดยชาวจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นโดยถือว่าเป็นหนึ่งในสีสังเคราะห์ชนิดแรกๆ เพราะทำขึ้นจากผงตะกั่วขาวคั่วที่ยิ่งคั่วนานเท่าไร ก็ยิ่งมีสีแดงอมส้มมากขึ้นเท่านั้น
ความที่เม็ดสีจากตะกั่วนี้ราคาถูกกว่าชาด ในภาพวาดสมัยยุคกลาง รวมถึงภาพวาดของชาวเปอร์เซียและอินเดียในศตวรรษที่ 17 และ 18 จึงปรากฏสีชนิดนี้จำนวนมาก แต่บุคคลที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ Vincent van Gogh เพราะขุ่นพ่อสุดติสต์คนนี้รักแดงตะกั่วสุด ๆ แต่เพราะสีแดงประเภทนี้จะจางลงเมื่อโดนแสง จึงไม่แปลกใจที่สีแดงในภาพวาดสุดปังของ Van Gogh จะซีดจางไป
Vermilion
Vermilion เป็นชาดสังเคราะห์จากแร่ Cinnabar ซึ่งคาดว่าชาวจีนเป็นชาติแรกที่คิดทำขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลอีกนะ จนสี vermillion มีอีกชื่อหนึ่งว่าจีนแดงซึ่งมีความหมายถึงชีวิตและความโชคดี เราจึงมักเห็นสีแดงเฉดนี้ในวัดวาอารามของจีน สีแดงสำหรับแสตมป์ชื่อ และสีแดงที่สงวนไว้สำหรับจักรพรรดิ
ชาดสังเคราะห์นี้เข้าสู่ยุโรปโดยนักเล่นแร่แปรธาตุชาวอาหรับ ในยุคกลาง สีสังเคราะห์นี้แพงพอ ๆ กับทองคำเปลว ศิลปินจึงมักใช้สีชั้สูงนี้ในส่วนที่สำคัญที่สุดของภาพเท่านั้น เช่น คนศักดิ์สิทธิ์และวัตถุศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตะกั่วสีแดงที่ถูกกว่ามักใช้เขียนตัวอักษรแทน
ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จิตรกรมักจะที่ใช้สีแดงนี้ในหลายผลงาน ในผลงานของศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์อย่างโมเนต์ก็ยังปรากฏการใช้สีแดงชนิดนี้ด้วย
แต่นอกจากข้อเสียเรื่องความเป็นพิษแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป vermillion ก็มักจะเปลี่ยนสีจนกลายเป็นสีน้ำตาลอมม่วงเข้มด้วย กระทั่งเมื่อผู้คนเริ่มตระหนักถึงความเป็นพิษและราคาค่าตัวของสีแดงเฉดนี้มากขึ้น ศิลปินก็เริ่มหันไปใช้สีแดงแคดเมียมที่เพิ่งเกิดใหม่กัน
Cadmium Red
ถ้า Van Gogh เป็นแฟนตัวยงของสีแดงตะกั่ว สีแดงแคดเมียม สิ่งประดิษฐ์ในศตควรรษที่ 19 เพื่อศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์และเป็นที่นิยมในศควรรษที่ 20 ก็คงเป็นรักแท้ตลอดกาลของ Henri Matisse ด้วย
แรกเริ่มแคดเมียมถูกนำมาใช้ทำเป็นสีเหลือง ต่อมาเมื่อนำมาผสมกับซิลิกาและให้ความร้อนก็ได้เป็นแดงแคมเมียมที่มีเม็ดสีสดใสและคงทนมากกว่าแดงตะกั่วที่ Van Gogh หลงใหล ผลงานของ Matisse จึงยังคงเต็มไปด้วยความสดใสได้จนทุกวันนี้
ไม่แน่ใจว่าเพราะความปังของสีแดงแคดเมียมหรือเพราะอะไร Matisse ถึงขนาดพยายามโน้มน้าวให้ Renoir ใช้สีแดงแคดเมียมตามเขา แต่ Renoir ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปใช้สีแดงเฉดนี้ตามเพื่อนสนิท เพราะการวาดภาพแบบ en plein air นั้นเน้นความเร็วเป็นพิเศษ การใช้สีแดงแบบดั้งเดิมจึงทำให้เห็นสีที่ผสมผสานกันได้รวดเร็วกว่า
เราจะเห็นว่าตลอดเส้นทางของประวัติศาสตร์ สีแดงเป็นสีที่มีทั้งความหมายในแง่บวกและลบ ในทางหนึ่งสีแดงหมายถึงความรัก แต่ขณะเดียวกันก็หมายถึงสงคราม ในทางหนึ่งสีแดงคือสีแห่งสวรรค์และผู้สูงศักดิ์ แต่อีกแง่หนึ่งมันก็กลับเป็นสีของตัวร้าย ยังไม่นับรวมว่าแต่ละวัฒนธรรมตามแต่ละซีกโลกนั้นให้ความหมายกับสีแดงแตกต่างกันไปตามความเชื่ออีก
.
แต่ไม่ว่าจะในความหมายใด จุดร่วมเดียวกันคือสีแดงคือสีที่สื่อสารได้ถึงชีวิต
อ้างอิง :
mymodernmet
artsy
eclecticlight
colourlex