Thank you, my friends. The sun may have set over our city this evening, but as Eugene Debs once said, 'I can see the dawn of a better day for humanity.
โซห์ราน มัมดานี (Zohran Mamdani) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ล่าสุดของเมืองนิวยอร์กได้กล่าวสุนทรพจน์หลังได้รับชัยชนะด้วยการอ้างอิงคำพูดของ ยูจีน เดบส์ (Eugene Debs) นักสังคมนิยมและผู้นำสหภาพแรงงานคนสำคัญในปลายศตวรรษที่ 19 ที่กล่าวไว้ว่า “ฉันมองเห็นรุ่งอรุณของวันใหม่ที่งดงามกว่าสำหรับมวลมนุษยชาติ”
เดบส์เป็นบุคคลสำคัญในการก่อตั้งสหภาพแรงงานรถไฟอเมริกัน (American Railway Union) หนึ่งในสหภาพอุตสาหกรรมแห่งแรก ๆ ของสหรัฐฯ เขาเป็นแกนนำในการนัดหยุดงานครั้งประวัติศาสตร์ที่โรงงานพูลแมนในปี 1894 ซึ่งนำไปสู่การคว่ำบาตรรถไฟทั่วประเทศ และการจำคุกผู้นำสหภาพฯ รวมถึงตัวเขาเอง เหตุการณ์นี้มักถูกมองว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในกฎหมายแรงงานของอเมริกา โดยคำพูดที่มัมดานีนำมาอ้างนั้น มาจากสุนทรพจน์ในศาลเมื่อปี 1918 หลังจากที่เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานปลุกระดม จากการกล่าวสุนทรพจน์ต่อต้านการที่สหรัฐฯ เข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 (เขายังคงลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งสุดท้ายในปี 1920 จากในคุก) และยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลสัญลักษณ์ของฝ่ายสังคมนิยมในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นว่ามัมดานีมีจิตวิญญาณแบบเดียวกับเดบส์
การขึ้นสู่ตำแหน่งในวัย 34 ปี ถือเป็นปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนการเมืองนิวยอร์ก เขาไม่เพียงแต่เป็นนายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กคนแรกที่เป็นชาวมุสลิมและชาวเอเชียใต้ แต่ยังเป็นหนึ่งในนายกเทศมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมือง ชัยชนะของเขาในฐานะนักสังคมนิยมประชาธิปไตย สะท้อนถึงความต้องการการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนจากกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่และกลุ่มก้าวหน้าที่เหนื่อยหน่ายกับปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูง
นโยบายภาพรวมของเขาคือการลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน ด้วยการทำให้ค่าครองชีพเข้าถึงได้ เช่น การตรึงค่าเช่า ขนส่งสาธารณะฟรี และดูแลเด็กถ้วนหน้า ขณะเดียวกันก็ผลักดันให้คนรวยและบรรษัทใหญ่รับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้นผ่านการเก็บภาษีเพิ่ม อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีแรงงาน ด้วยการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และปรับระบบความปลอดภัยให้ตอบโจทย์ความเป็นมนุษย์มากกว่าเดิมผ่านการปฏิรูปตำรวจโดยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเข้ามามีบทบาท ผู้คนจึงคาดหวังว่าเขาจะสามารถทำให้นิวยอร์กกลายเป็นเมืองที่ ‘คนธรรมดา’ สามารถอยู่อาศัยได้จริง ๆ
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากหมวกนักการเมืองที่ทุกคนกำลังจับตามอง มัมดานียังเป็นที่รู้จักในฐานะนักดนตรีที่เติบโตมาในครอบครัวนักวิชาการและศิลปิน พ่อของเขาคือ ศาสตราจารย์ มาห์มูด มัมดานี (Mahmood Mamdani) นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ชื่อดังแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ส่วนแม่ของเขาคือ มีรา แนร์ (Mira Nair) ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังระดับโลก ส่วนภรรยาของเขา รามา ดูวาจี (Rama Duwaji) ก็เป็นศิลปินนักวาดภาพประกอบชื่อดัง วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเขาในมุมนี้กันเพิ่มขึ้น
📌 โซห์ราน มัมดานี ในบ้านที่มีพ่อเป็นศาสตราจาร์ยและแม่เป็นคนทำหนัง
มัมดานีเกิดที่กรุงกัมปาลา ประเทศยูกันดา พ่อของเขาคือ ศาสตราจารย์ มาห์มูด มัมดานี นักวิชาการผู้ทรงอิทธิพลด้านการเมืองแอฟริกาและลัทธิอาณานิคมศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ซึ่งครอบครัวของเขาถูกขับไล่ออกจากยูกันดาในปี 1972 พร้อมกับชาวเอเชียอีกราว 60,000 คน ภายใต้คำสั่งของอีดี้ อามิน (Idi Amin) ส่วนแม่ของเขาคือ มีรา แนร์ ผู้กำกับหญิงแกร่งชาวอินเดีย-อเมริกัน เจ้าของผลงานที่กวาดรางวัลอย่าง Salaam Bombay! (1988) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และ Monsoon Wedding (2001)
เขาเติบโตในยูกันดาและแอฟริกาใต้ ก่อนจะย้ายตามครอบครัวมานิวยอร์กซิตี้ตอนอายุเจ็ดขวบ ชีวิตวัยเด็กของเขาจึงเป็นการซึมซับการเมืองและสังคมผ่านสายตาของศิลปินและนักวิชาการ มัมดานีเล่าว่า "ความทรงจำที่เหมือนการไป playdate ของผม คือการที่พ่อแม่พาไปร่วมการชุมนุมหรือเดินขบวน" ไม่ว่าจะเป็นการประท้วงสงครามอิรัก หรือการฟังบรรยายลัทธิมาร์กซิสต์
จุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนของพ่อแม่เขายังส่งผลโดยตรงต่อแนวคิดของมัมดานี โดยทั้งคู่ต่างถูกวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มสนับสนุนอิสราเอล แม่ของเขาเคยปฏิเสธคำเชิญเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติไฮฟาในปี 2013 โดยกล่าวว่าเธอจะไม่ไปเยือนอิสราเอลจนกว่าการแบ่งแยกสีผิวจะสิ้นสุดลง ขณะที่พ่อของเขาก็สนับสนุนการประท้วงของนักศึกษาต่อต้านสงครามในกาซา และงานเขียนของเขายังวิเคราะห์ว่า ลัทธิไซออนิสต์ ทำหน้าที่เป็นรูปแบบหนึ่งของลัทธิอาณานิคมผู้ตั้งถิ่นฐาน
ด้วยเหตุนี้ แม่ของเขาเลยมีมนต์ประจำใจว่า “ถ้าเราไม่เล่าเรื่องของเราเอง ก็จะไม่มีใครเล่า” (If we don’t tell our own stories, no one else will) ซึ่งมัมดานียอมรับว่าสิ่งนี้หล่อหลอมวิธีคิดของเขาในการต่อสู้เพื่อชุมชนที่มักถูกมองข้าม แม้ว่าเขาจะยอมรับว่าตนเองเติบโตมาอย่างมีอภิสิทธิ์ก็ตาม
จุดยืนที่แข็งกร้าวของเขาต่อประเด็นอิสราเอล-กาซา ซึ่งเขามองว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และรัฐแบ่งแยกสีผิวจึงสะท้อนอุดมการณ์ที่เขาซึมซับมาโดยตรงจากครอบครัว
📌 โซห์ราน มัมดานี ในนามแร็ปเปอร์ 'Mr. Cardamom'
ก่อนจะเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมือง มัมดานีเป็นที่รู้จักในฐานะแร็ปเปอร์ชื่อ Young Cardamom (ต่อมาเปลี่ยนเป็น Mr. Cardamom) เส้นทางดนตรีของเขาเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมที่ Bronx High School of Science เขาเริ่มแร็ปต่อหน้าสาธารณชนครั้งแรกตอนลงสมัครรองประธานนักเรียน เอกลักษณ์ของเขาคือการผสมผสานหลายภาษา (เขาสามารถแร็ปได้ถึง 6 ภาษา) เข้ากับดนตรีที่มีกลิ่นอายวัฒนธรรมเอเชียใต้และแอฟริกา
ผลงานที่กลายเป็นไวรัลของเขาคือเพลง ‘Nani’ (2019) ซึ่งเป็นเพลงที่เขาอุทิศให้ ปราวีน แนร์ (Praveen Nair) ผู้เป็นยาย ซึ่งเป็นนักสังคมสงเคราะห์ โดยได้นักแสดงรุ่นเก๋าอย่าง Madhur Jaffrey มาร่วมแสดงในมิวสิกวิดีโอ
เขายังเคยออก EP ชื่อ Sidda Mukyaalo (2016) ซึ่งเป็นภาษายูกันดาแปลว่า "ไม่มีหมู่บ้านให้กลับไป" เขาอธิบายความหมายนี้ว่า "ในฐานะชาวเอเชียน-ยูกันดา ผมไม่มีหมู่บ้าน... เมืองคือทั้งหมดที่ผมมี" EP นี้ยังแสดงร่องรอยของความเฉียบแหลมทางการเมือง เช่นในเพลง ‘Askari’ ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์สังคมหลังยุคอาณานิคมที่ยังคงหมกมุ่นและให้คุณค่ากับคนผิวขาว โดยเล่าถึงประสบการณ์จริงที่ รปภ. มักจะเปิดประตูให้คนขาวง่ายกว่าคนผิวดำหรือครอบครัวของเขา
นอกจากนี้ เขายังได้ทำงานเพลงประกอบภาพยนตร์ Queen of Katwe (2016) ที่แม่ของเขากำกับ โดยเขาทำหน้าที่เป็น Music Supervisor และร่วมแร็ปในเพลง ‘#1 Spice’ ซึ่งเขาเคยพูดติดตลกว่า "การใช้เส้นสายบวกกับความพยายามมันก็ได้ผลดี"
แน่นอนว่าประวัติการเป็นแร็ปเปอร์ของเขามักถูกนำมาใช้โจมตีทางการเมือง โดยคู่แข่งมักประณามว่าเขาเป็น "แร็ปเปอร์เกรด C" โดยสื่อบางสำนักวิเคราะห์ว่า ประสบการณ์บนเวทีดนตรีของเขามีส่วนช่วยในการดีเบตทางการเมืองที่มีความหนักแน่นทรงพลังราวกับการแร็ปแบทเทิล
📌 ชีวิตแต่งงานกับศิลปินหญิง ‘รามา ดูวาจี’
สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคนใหม่ของนิวยอร์กซิตี้คือ รามา ดูวาจี ศิลปินและนักวาดภาพประกอบวัย 28 ปี เชื้อสายซีเรีย ทั้งคู่พบกันผ่านแอปพลิเคชัน Hinge ในปี 2021 และแต่งงานกันในเดือนกุมภาพันธ์ 2025
ดูวาจีไม่ใช่คู่สมรสนักการเมืองแบบดั้งเดิม เธอหลีกเลี่ยงการอยู่หน้าแสงไฟทางการเมืองอย่างชัดเจน แม้ในช่วงหาเสียง เธอก็ยังคงมุ่งมั่นทำงานศิลปะของตนเอง ผลงานของเธอได้ลงในนิตยสาร Vogue และ New York magazine โดยมักสะท้อนวิกฤตด้านมนุษยธรรมในกาซา ซูดาน และชีวิตในตะวันออกกลาง ที่สำคัญ เธอมีฐานแฟนคลับของตัวเองด้วยผู้ติดตามบน Instagram ถึง 224,000 คน ซึ่งไม่ได้ชื่นชมแค่ผลงานศิลปะ แต่ยังรวมถึงสไตล์การแต่งตัวที่เป็นเอกลักษณ์ของเธอด้วย
การวางตัวของเธอนับเป็นการกำหนดนิยามใหม่ของบทบาทสตรีหมายเลขหนึ่ง ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับยุคก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็น เชอร์เลน แม็กเครย์ (ภรรยาของ Bill de Blasio) ที่เข้ามามีบทบาทในฝ่ายบริหารจนถูกวิจารณ์ หรือในยุคของ เอริก อดัมส์ ที่เมืองแทบไม่มีสตรีหมายเลขหนึ่งเลย เพื่อนสนิทของเธอบอกว่า การที่มัมดานีขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างรวดเร็วเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่ก็ท่วมท้น
ทางฝั่งมัมดานีเองก็สนับสนุนอาชีพของภรรยาอย่างเต็มที่ เขาเคยโพสต์ในอินสตาแกรมว่า "รามาไม่ใช่แค่ภรรยาของผม เธอเป็นศิลปินที่น่าทึ่งที่สมควรได้รับการยอมรับในแบบของเธอเอง" และในคืนแห่งชัยชนะ มัมดานีก็ได้ตะโกนขอบคุณภรรยาของเขา โดยเรียกเธอว่า “ฮายาตี” (hayati) ซึ่งเป็นภาษาอาหรับที่แปลว่า “ชีวิตของผม” แสดงถึงการให้เกียรติและบทบาทสำคัญของเธอเคียงข้างเขา
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ามัมดานี ไม่ใช่แค่นักการเมืองฝ่ายซ้ายที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้นิวยอร์ก แต่เขายังเป็นผลผลิตของการหลอมรวมวัฒนธรรม (ยูกันดา อินเดีย อเมริกัน) และเป็นศิลปินที่นำมิติทางศิลปะ (ดนตรี ภาพยนตร์) มาใช้ในการสื่อสารทางการเมือง
อ้างอิง
https://www.rollingstone.com/music/music-features/zohran-mamdani-rap-mr-cardamom-1235366310/




