บนผนังอาคารแห่งหนึ่งในซอยเจริญกรุง 30 เคยมีภาพหญิงสาวสวมแว่นดำ ดอกไม้สีสดเสียบอยู่ข้างหู ดูโดดเด่นสดใส ผลงานชิ้นนี้สร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “JUST BE YOU” เปรียบเสมือนคำเชิญชวนจากหญิงสาวในภาพให้กล้าเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
ทว่าไม่นานต่อมา ภาพดังกล่าวก็ถูกกลุ่มบุคคลใช้สเปรย์พ่นทับ ซึ่งในวงการกราฟิตี้เรียกการกระทำเช่นนี้ว่า “บอมบ์” จนงานศิลป์ดั้งเดิมถูกกลืนหายไปภายใต้ลายเส้นกราฟิตี้ชุดใหม่
เหตุการณ์ดังกล่าวได้จุดประกายให้เกิดการถกเถียงและสะท้อนมุมมองที่หลากหลายในสังคม ทั้งในด้านคุณค่าของงานศิลปะ สิทธิของศิลปิน ตลอดจนเส้นแบ่งระหว่างการสร้างสรรค์กับการท้าทาย ผ่านมุมมองของกราฟิตี้และสตรีทอาร์ต
เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวนี้อย่างรอบด้าน GROUNDCONTROL จะพาย้อนไปสำรวจที่มาของโครงการ ทำความเข้าใจแนวคิดของศิลปิน ติดตามสิ่งที่เกิดขึ้นกับผลงานชิ้นนี้ และรับฟังเสียงสะท้อนจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ก่อนจะไปถึงเหตุการณ์นั้นเราอยากชวนมาทำความเข้าใจประวัติศาสของศิลปะข้างถนนกันนิดนึง

ภาพจากเพจ กรุงเทพมหานคร

ภาพจากเพจ กรุงเทพมหานคร
กราฟิตี้คืออะไรใช่ศิลปะหรือเปล่า
ก่อนที่กราฟิตี้จะเฟื่องฟูในนิวยอร์ก เบอร์ลิน หรือกรุงเทพฯ เรื่องราวจริง ๆ อาจต้องย้อนกลับไปถึงผนังถ้ำยุคโบราณ เพราะการขีดเขียนบนกำแพงคือสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ เหมือนการประกาศตัวตนที่ฝังอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่แรก
ในเชิงโบราณคดี “graffito” หมายถึงร่องรอยใด ๆ ที่เกิดจากการขีดข่วนบนผนัง ซึ่งมีทั้งภาพล่าสัตว์ คำพูดสั้น ๆ ไปจนถึงข้อความที่ชวนให้นึกถึงการเขียนตามประตูห้องน้ำในยุคนี้
หนึ่งในชิ้นสำคัญคือ Alexamenos graffito จากราวสองพันปีก่อน ซึ่งว่ากันว่าเป็นภาพเก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงการตรึงกางเขนของพระเยซู แต่กลับอยู่ในโทนล้อเลียน โดยสลักพระเยซูเป็นหัวลา พร้อมข้อความเยาะเย้ยชายชื่ออเล็กซ์ว่า “กำลังบูชาพระเจ้าหัวลา”
ถอยหลังไปไกลกว่านั้นที่ปอมเปอี ก่อนคริสตกาลร้อยปี ก็มีถ้อยคำเรียบง่ายว่า “Gaius Pumidius Diphilus was here” หรือ “ไกอุซมาเยือน” หลักฐานโบราณที่พิสูจน์ว่า การประกาศ “ฉันเคยมาที่นี่” เป็นมุขอมตะที่มนุษย์หยิบใช้ซ้ำมานับพันปี และต่อมากลายเป็นมีมระดับโลกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ผ่านสัญลักษณ์ “Kilroy was here” พร้อมตัวละครหัวล้านจมูกโตโผล่พ้นกำแพง

ภาพจากเพจ กรุงเทพมหานคร
จาก Taki183 ถึง Banksy เส้นทางของกราฟฟิตีและสตรีทอาร์ต
ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของกราฟฟิตีมักเริ่มต้นด้วยเรื่องราวของชายหนุ่มเชื้อสายกรีกในนิวยอร์ก ผู้เขียนชื่อของเขาไว้ทั่วเมืองว่า “Taki183” การฝากลายเซ็นสั้น ๆ ตามกำแพง รถไฟใต้ดิน และสถานีต่าง ๆ กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “แท็ก” (Tag) หรือการเขียนชื่ออย่างรวดเร็วเพื่อบอกว่า “ฉันอยู่ที่นี่” แม้เขาไม่ใช่คนแรกที่ทำ แต่การปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องและโดดเด่นของชื่อ Taki183 ทำให้หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ต้องลงข่าวถึงปรากฏการณ์นี้ในปี 1971 และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ “แท็ก” กลายเป็นวัฒนธรรมย่อยที่แพร่กระจายไปทั่วมหานคร
“แท็ก” ถือเป็นรูปแบบตรงไปตรงมาที่สุดของกราฟฟิตี มันไม่ใช่งานประดับตกแต่ง แต่คือการประกาศตัวตนในพื้นที่สาธารณะด้วยชื่อหรือนามแฝง อย่างเลข 183 ของ Taki ก็มาจากถนนที่เขาอาศัยอยู่เท่านั้นเอง แต่พลังของมันอยู่ที่การทำซ้ำและการครอบครองพื้นที่ — การบอกกับเมืองว่า “ฉันมีอยู่จริง”
จากการแท็ก กราฟฟิตีในนิวยอร์กก้าวไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “การบอมบ์” (Bombing) การพ่นชื่อให้มากที่สุด รวดเร็วที่สุด และครอบคลุมพื้นที่กว้างที่สุด จนในที่สุดก็พัฒนามาสู่ “พีซ” (Piece หรือ Masterpiece) ที่ใช้สเปรย์สร้างงานขนาดใหญ่ อัดแน่นด้วยสีสัน รายละเอียด และความซับซ้อน นี่คือกำเนิดของ “นิวยอร์กสไตล์” ซึ่งกลายเป็นแม่แบบของกราฟฟิตีสมัยใหม่
แต่กราฟฟิตีไม่เคยเป็นแค่เรื่องของความงามหรือการประดับเมือง หากมองย้อนกลับไปในทศวรรษ 1970 มันคือภาษาแห่งการต่อต้านและการปลดปล่อยตัวตนของผู้คนที่ถูกกดทับ โดยเฉพาะชุมชนคนผิวสีและชาวลาตินในนิวยอร์ก มันเติบโตเคียงข้างกับวัฒนธรรมฮิปฮอปที่ถือกำเนิดขึ้นในย่านบรองซ์ กราฟฟิตีจึงเป็นการแสดงออกของผู้ที่ “ถูกทำให้มองไม่เห็น” ในสังคม
การถกเถียงเรื่อง “กราฟฟิตีคือศิลปะหรืออาชญากรรม” จึงเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคแรก ๆ รัฐบาลและตำรวจมองว่ามันเป็นการทำลายทรัพย์สิน เป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมโทรมในเมือง ในขณะที่นักเขียนและนักวิจารณ์ศิลปะ เช่น นอร์แมน เมเลอร์ (Norman Mailer) กลับมองว่ากราฟฟิตีคือการสร้างภาษาทางศิลปะใหม่ ซึ่งเขาบันทึกไว้ในความเรียงชื่อ “The Faith of Graffiti” ปี 1974
เมื่อกระแสกราฟฟิตีบูมขึ้น นิวยอร์กได้รู้จักกับ “Graffiti Writer” ศิลปินรุ่นใหม่ที่ไม่ได้เขียนชื่อเพียงเพื่อฝากร่องรอย แต่สร้างสรรค์งานเป็นระบบวัฒนธรรมย่อย มีภาษาของตัวเอง มีกฎเกณฑ์การแข่งขันเรื่องชื่อเสียงและพื้นที่ และค่อย ๆ พัฒนาออกจากตัวอักษร ไปสู่งานภาพที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น คาแรกเตอร์เพนต์หรืองานทดลองที่ใช้วัสดุและสีต่างชนิด ซึ่งต่อมากลายเป็นแขนงศิลปะที่เรียกว่า Street Art
เวลาผ่านไป กราฟฟิตีและสตรีทอาร์ตยังคงเป็นพื้นที่สำหรับวิพากษ์วิจารณ์สังคมและการเมือง ศิลปินร่วมสมัยอย่าง Banksy ใช้กำแพงเป็นพื้นที่วิพากษ์ความไม่ยุติธรรมระดับโลก เช่น ผลงานบนกำแพงกั้นเขตเวสต์แบงก์ระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ที่กลายเป็นภาพสะท้อนพลังของศิลปะข้างถนนในฐานะการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์
จากการประกาศตัวตนของ Taki183 ในปี 1971 จนถึงการแสดงออกเชิงการเมืองของ Banksy ในศตวรรษที่ 21 กราฟฟิตีได้เดินทางไกลจากการเป็น “เสียงของคนชายขอบ” สู่การเป็นศิลปะร่วมสมัยที่ถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ระดับโลก ทว่าหัวใจของมันยังคงเดิม กราฟฟิตีคือภาษาของการต่อต้าน การยืนยันว่าตัวตนมีอยู่จริง และการต่อสู้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ก ๆ ของคนธรรมดาถูกกลืนหายไปกับเมือง
Keith Haring และ Jean-Michel Basquiat ศิลปินผู้เบลอเส้นแบ่งของ ‘พื้นที่’ ในโลกศิลปะ
คีธ แฮริ่ง (Keith Haring) และ ฌอง-มิเชล บาสเกีย (Jean-Michel Basquiat) ถือเป็นสองศิลปินผู้พลิกโฉมโลกศิลปะในทศวรรษ 1980 โดยใช้กราฟฟิตีและศิลปะข้างถนนเป็นเครื่องมือสะท้อนปัญหาสังคมและท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิม ๆ พวกเขาไม่เพียงสร้างสรรค์งานที่โดดเด่นในเชิงรูปแบบ แต่ยังผลักดันให้สตรีทอาร์ตเคลื่อนจากวัฒนธรรมใต้ดินสู่พื้นที่ที่ได้รับการยอมรับในฐานะศิลปะร่วมสมัยที่มีพลังและความหมาย
แฮริ่งมีความโดดเด่นในการสร้าง “ภาษา” ทางศิลปะที่ทุกคนเข้าใจได้ทันที ผ่านเส้นสายที่เรียบง่าย จังหวะที่คมชัด และตัวละครที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคสมัย เขาเริ่มจากการวาดด้วยชอล์กบนป้ายโฆษณาร้างในสถานีรถไฟใต้ดินนิวยอร์ก ก่อนขยายไปสู่ภาพจิตรกรรมฝาผนังและโปรเจกต์ศิลปะสาธารณะ ผลงานของเขาเต็มไปด้วยสารทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการรณรงค์เรื่องโรคเอดส์ การวิพากษ์การเหยียดเชื้อชาติและการเกลียดชังต่อเพศทางเลือก การต่อต้านสงคราม ไปจนถึงการสะท้อนปัญหายาเสพติด ความตั้งใจที่จะทำให้ศิลปะเข้าถึงทุกคนคือแก่นกลางในงานของแฮริ่ง เขาทำให้ศิลปะไม่ถูกจำกัดอยู่ในกำแพงแกลเลอรี แต่กระจายสู่ถนนและชุมชน ซึ่งแนวคิดนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินร่วมสมัยจำนวนมาก เช่น Shepard Fairey และ Banksy ที่สืบต่อการใช้ภาพเรียบง่ายแต่ทรงพลังเพื่อปลุกการตื่นรู้ทางสังคม
บาสเกียในอีกด้านหนึ่ง ก้าวออกจากโลกกราฟฟิตีในฐานะศิลปินที่ใช้แท็ก SAMO (Same Old Shit) ตามกำแพงในย่านแมนฮัตตัน ก่อนจะพัฒนาสู่ศิลปินผู้ทรงอิทธิพลในตลาดศิลปะระดับโลก เขามีสไตล์ที่ดิบ เฉียบคม และเปี่ยมพลังทางอารมณ์ ใช้ข้อความ ภาพร่าง และสัญลักษณ์ที่ปะทะกันราวกับเสียงดนตรีแจ๊สที่พลุ่งพล่าน ผลงานของบาสเกียไม่ได้เป็นเพียงภาพ แต่เป็นการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติอย่างเป็นระบบ ประวัติศาสตร์ที่ถูกลบเลือน ลัทธิล่าอาณานิคม และการกดทับของทุนนิยม เขายังทำให้บุคคลสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของชุมชนคนผิวสีที่เคยถูกมองข้ามกลับมามีพื้นที่ในโลกศิลปะ การก้าวจากถนนสู่แกลเลอรีของบาสเกียคือการท้าทายความเป็นอภิสิทธิ์ในวงการศิลปะ และเป็นพิสูจน์ฟังก์ชันสำคัญของศิลปะ นั่นก็คือการสะท้อนวัฒนธรรมและสังคม
การเดินคู่ขนานของแฮริ่งและบาสเกีย แม้ต่างสไตล์และวิธีการ แต่ต่างก็มีจุดร่วมสำคัญ คือการใช้ศิลปะเป็นเวทีในการต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมและการตั้งคำถามต่อโครงสร้างทางสังคม ผลงานของพวกเขาช่วยลบเส้นแบ่งระหว่างศิลปะในแกลเลอรีกับศิลปะข้างถนน พลิกภาพลักษณ์ของกราฟฟิตีจากสิ่งที่เคยถูกตีตราว่าเป็นการทำลายทรัพย์สินหรือกิจกรรมใต้ดิน ไปสู่การเป็นภาษาศิลปะที่เข้มแข็งและทรงคุณค่าในเชิงสังคม พวกเขาแสดงให้เห็นว่าพื้นที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นกำแพง เมือง หรือแม้แต่ป้ายรถไฟใต้ดิน สามารถกลายเป็นเวทีทางศิลป์ที่ปลุกการถกเถียง จุดประกายการเปลี่ยนแปลง และเปิดประตูสู่ผู้ชมที่กว้างไกลกว่าที่เคย
อิทธิพลของแฮริ่งและบาสเกียยังคงสืบเนื่องในศิลปะร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ศิลปะข้างถนนได้รับการยอมรับในระดับโลก หรือการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินผิวสีและศิลปินจากชุมชนชายขอบได้มีบทบาทในวงการศิลปะมากขึ้น มรดกของทั้งคู่ไม่ใช่เพียงผลงานที่เป็นไอคอนของยุคสมัย แต่คือแนวทางในการมองศิลปะว่าเป็นทั้งพื้นที่สร้างสรรค์ ความงาม และพลังทางสังคมที่สามารถเขย่าระบบคุณค่าเดิม ๆ ของโลกศิลปะ
แฮริ่งและบาสเกียจึงไม่ได้เป็นเพียงศิลปินในความหมายดั้งเดิม แต่เป็นผู้บุกเบิกที่เปลี่ยนโฉมหน้าของศิลปะร่วมสมัย ทำให้กราฟฟิตีและสตรีทอาร์ตหลอมรวมเข้ากับกระแสหลัก และยืนยันว่าศิลปะสามารถเป็นได้ทั้งภาษาของผู้คน พื้นที่ของการต่อต้าน และแรงผลักดันเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างแท้จริง

ภาพจากเพจ กรุงเทพมหานคร
เหตุการณ์บอมบ์งานศิลปะริมถนนในกรุงเทพฯ กับมุมมองต่อวัฒนธรรมสตรีทอาร์ต
งานศิลปะริมถนนชิ้นหนึ่งในโครงการ “Krung Thep Creative Streets” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานครและสถานทูตจากหลายประเทศในยุโรป เช่น ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สเปน และนอร์เวย์ ได้กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมไทย โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเติมชีวิตชีวาให้กรุงเทพฯ และเชื่อมสัมพันธ์ไทย–ยุโรป ผ่านการรวมศิลปินนานาชาติกว่า 15 คน มาสร้างสรรค์ผลงานบนกำแพง 15 จุดทั่วเมือง แนวคิดหลักของโครงการคือการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อผู้คนกับเมืองโดยไม่มีกำแพงภาษา
ผลงานที่ถูกทำลายนี้สร้างสรรค์โดย Carolina Adan Caro ศิลปินชาวสเปน เธอใช้เวลาราว 7–10 วันในการรังสรรค์ภาพที่เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องราว ก่อนที่จะเปิดตัวในเดือนกันยายน 2568 แต่ช่วงเช้ามืดของวันที่ 27 กันยายน กลุ่มบุคคล 3 คนขี่รถจักรยานยนต์มาพ่นสีทับผลงาน กล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ และเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ 1 คน
เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจอย่างมากต่อ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ระบุว่าเป็นเรื่องที่ “รับไม่ได้” และ “ไม่ให้ความเคารพผลงานของผู้อื่น” พร้อมยืนยันว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 3 ปี และปรับ 60,000 บาท
เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ทั้งการมองในเชิงความงาม-ไม่งาม เรื่องวิถีการทำงานศิลปะข้างถนน หรือเรื่องโครงสร้างการสนับสนุนศิลปะในไทย…
กระแสวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นหลากหลาย ทั้งเรื่องความงามและคุณค่าของงาน การทำงานศิลปะข้างถนน และโครงสร้างการสนับสนุนศิลปะในประเทศไทย บนโลกออนไลน์ มีผู้แสดงความเห็นว่าการกระทำนี้เป็นการทำลาย ไม่ใช่ศิลปะ เพราะผลงานต้นฉบับเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และสีสัน อีกฝ่ายหนึ่งก็ชี้ว่า การ “บอมบ์” หรือการพ่นงานของตัวเองทับงานผู้อื่น เป็นส่วนหนึ่งของ วัฒนธรรมสตรีทอาร์ต มาตั้งแต่ต้น เป็นการแสดงออกเชิงต่อต้านโครงสร้างอำนาจ การกำหนดนโยบาย หรือข้อจำกัดจากสถาบันหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายมหานครทั่วโลก เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน หรือเบอร์ลิน
หรืออีกแง่ ก็มีผู้ชี้ว่าการ ”บอมบ์“ หรือการสร้างงานตัวเองทับงานคนอื่นบนพื้นที่ข้างถนน ก็เป็นการไม่เคารพต่อผลงานของผู้อื่น โดยมีตัวอย่างที่สำคัญอย่างการบอมบ์ศิลปินผู้ล่วงลับไปแล้วอย่าง MAMAFAKA ซึ่งหลายเสียงเห็นตรงกันว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง
อีกมุมหนึ่งของการถกเถียง ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่พ่นสีทับผลงาน อาจเป็นกลุ่มคนที่ถูกกดทับทางสังคมและเศรษฐกิจ การแสดงออกแบบนี้จึงเป็นวิธีเดียวที่พวกเขาสามารถเข้าถึงพื้นที่ทางศิลปะได้ แตกต่างจากงานศิลปะที่เป็นที่นิยมและเข้าถึงง่ายในสังคม การแก้ไขปัญหานี้จึงไม่ใช่แค่การบังคับใช้กฎหมาย แต่ควบคู่ไปกับการลดความเหลื่อมล้ำและเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ให้กับผู้คนที่ไม่มีโอกาส
เหตุการณ์นี้สะท้อนหลายมิติของศิลปะริมถนน ทั้งความงาม การเคารพผลงานของผู้อื่น การแข่งขันทางวัฒนธรรม และความไม่เท่าเทียมทางสังคม นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นความขัดแย้งระหว่าง ศิลปะที่เกิดจากโครงการรัฐ กับ วัฒนธรรมข้างถนนแบบดั้งเดิม ซึ่งเน้นการประกาศตัวตน การต่อต้าน และความเป็นอิสระของผู้สร้างสรรค์
กรณีของ Carolina Adan Caro เปิดโอกาสให้สังคมตั้งคำถามต่อบทบาทของศิลปะในเมืองใหญ่ว่า เราจะมองงานเหล่านี้อย่างไร? เป็นเพียงภาพสีสวยงาม การประกาศตัวตน หรือเป็นแรงสะท้อนปัญหาสังคม? การพิจารณาเรื่องการเคารพผลงานและพื้นที่สาธารณะ ก็เชื่อมโยงไปสู่การถกเถียงเชิงวัฒนธรรมและความเหลื่อมล้ำในเมือง
ไม่ว่าผู้คนจะมองว่าเป็นการทำลายหรือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมสตรีทอาร์ต เหตุการณ์นี้ย้ำเตือนว่าศิลปะริมถนนไม่ใช่แค่ภาพบนกำแพง แต่เป็นพื้นที่ที่สะท้อนความคิด ความขัดแย้ง และความปรารถนาของผู้คนในการแสดงออก มันทำให้เมืองมีชีวิต และเปิดโอกาสให้สังคมได้ทบทวนถึงความหมายของศิลปะและการเข้าถึงพื้นที่สร้างสรรค์สำหรับทุกคน
แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกเข้าข้างใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต่อประเด็นทั้งหลายที่ถกเถียงกันอยู่ตอนนี้ อาจจะมีบางข้อที่ถูกหรืออาจมีอีกข้อที่ก็ถูกไปพร้อมกันก็ได้ มาคิดดูแล้ว งานเหล่านี้สวยงามหรือไม่อย่างไร เป็นการเคารพหรือไม่อย่างไร เป็นการฉกชิงทางวัฒนธรรมอย่างไรหรือไม่ และเป็นภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำและสะท้อนอะไรอีกบ้างไหม ลองช่วยกันแสดงความคิดเห็นดูได้นะ
อ้างอิง
- ภาพจาก กรุงเทพมหานคร
- https://www.thaipbs.or.th/news/content/357070
- https://www.facebook.com/share/p/1CTYL2D2qn/?mibextid=wwXIfr
- https://www.facebook.com/share/v/161SGJAa1b/?mibextid=wwXIfr
- https://www.facebook.com/share/p/17HRHDnJpv/?mibextid=wwXIfr
- https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/425178
- https://x.com/mysisdontcare/status/1972739498892231163?s=46
- https://ch3plus.com/news/political/morning/448631
- https://www.sanook.com/news/1431135/#google_vignette