ในห้วงเวลาแห่งการสูญเสียอย่างสุดซึ้ง ศิลปิน Himali Singh Soin นำเสนอบัลลาดและคำประกาศ ว่าด้วยพื้นที่แห่งความชัดเจนที่ถูกบดบัง และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ผู้ซึ่งต่างพยายามเอาชีวิตรอดภายในพื้นที่แห่งนั้น เธอนำเสนอพื้นที่ที่ดำรงอยู่ระหว่างกลาง ในฐานะพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ของเฉดสีต่าง ๆ และพื้นที่แห่งความเป็นไปได้สำหรับตัวตนและคู่ตรงข้ามที่เลื่อนไหลไปมา

ในห้วงเวลาแห่งการสูญเสียอย่างสุดซึ้ง ศิลปิน Himali Singh Soin นำเสนอบัลลาดและคำประกาศ ว่าด้วยพื้นที่แห่งความชัดเจนที่ถูกบดบัง และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ผู้ซึ่งต่างพยายามเอาชีวิตรอดภายในพื้นที่แห่งนั้น เธอนำเสนอพื้นที่ที่ดำรงอยู่ระหว่างกลาง ในฐานะพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ของเฉดสีต่าง ๆ และพื้นที่แห่งความเป็นไปได้สำหรับตัวตนและคู่ตรงข้ามที่เลื่อนไหลไปมา

ว่าด้วยความโปร่งแสง

(บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือระหว่าง GroundControl และพันธมิตรสื่อทางศิลปะ Protocinema ผู้เผยแพร่สื่อดิจิทัลด้านศิลปะรายเดือน เพื่อนำเสนอมุมมของของศิลปินที่มีต่อสังคมร่วมสมัย การเมือง วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยดำเนินการผ่าน Protodispatch ผู้เป็นตัวกลางเผยแพร่ข่าวประจำเดือนให้แก่พันธมิตรในเครือ โดย GroundControl ได้รับเกียรติให้เป็นพันธมิตรสื่อเพื่อเผยแพร่บทความในภาษาไทย ร่วมกับ Artnet.com จากนิวยอร์ก และ Argonotlar.com จากอิสตันบูล เพื่อร่วมกันสร้างโครงข่ายของระบบนิเวศน์ทางศิลปะที่เข้มแข็ง และเพื่อให้ผู้สนใจศิลปะชาวไทยสามารถเข้าถึงได้โดยปราศจากกำแพงด้านภาษา)

ว่าด้วยความโปร่งแสง

โดย Himali Singh Soin

ในห้วงเวลาแห่งการสูญเสียอย่างสุดซึ้ง ศิลปิน Himali Singh Soin นำเสนอบัลลาดและคำประกาศ ว่าด้วยพื้นที่แห่งความชัดเจนที่ถูกบดบัง และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ผู้ซึ่งต่างพยายามเอาชีวิตรอดภายในพื้นที่แห่งนั้น เธอนำเสนอพื้นที่ที่ดำรงอยู่ระหว่างกลาง ในฐานะพื้นที่ปลอดภัย พื้นที่ของเฉดสีต่าง ๆ และพื้นที่แห่งความเป็นไปได้สำหรับตัวตนและคู่ตรงข้ามที่เลื่อนไหลไปมา

“ว่าด้วยความโปร่งแสง” คือคำประกาศเชิงปรัมปรา-กวีนิพนธ์ เกี่ยวกับพื้นที่ระหว่างชายฝั่งและกระแสน้ำ ความโปร่งแสงและความตื้น ที่มองเห็นและมองไม่เห็น ที่ทึบตันและที่มองทะลุได้ โดยมีจุดเริ่มต้นจากแนวคิดเรื่องความทึบของ Édouard Glissant อันนำมาสู่แนวคิดเรื่อง ‘หน้าต่างที่ถูกแช่แข็ง’ ที่ในแง่หนึ่ง มันก็เป็นกำแพงกั้นความร้อนจากภายนอก พร่าเลือนรายละเอียดของร่างกาย แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันยังคงยึดโยงอยู่กับความเชื่อมโยงอื่น ๆ และปล่อยให้แสงลอดผ่านได้ ไม่ปิดกั้นสิ่งอื่น แนวคิดเรื่องความโปร่งแสงได้ชูประเด็นเรื่อง ‘ความไม่รู้’ ซึ่งเปิดให้เห็นตำแหน่งแห่งที่ใหม่ของโลกความคิดแบบส่วนตัว กับโลกแห่งความคิดของสัมพันธภาพอื่น ๆ ในฐานะเกาะและหมู่เกาะทางความคิด ถ้อยแถลงของศิลปินชิ้นนี้ถูกกลั่นกรองผ่านมุมมองอันโปร่งแสงของอากาศ น้ำแข็ง ผิวหนัง น้ำมัน และแผ่นฟิล์ม ความโปร่งแสงเป็นทั้งสิทธิที่จะไม่ถูกตีความ และความปรารถนาที่จะได้รับการตีความความโปร่งแสงคือวิธีเร้าอารมณ์ที่ย้อนกลับไปยังวิถีชีวิตแบบหลังธรรมชาติของเรา

บางสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดจะถูกปล่อยให้อ่านไม่ออก สิ่งอื่น ๆ จะพอเข้าใจได้ จะมีบางสิ่งที่คุณเห็นทะลุปรุโปร่ง และมีแง่มุมต่าง ๆ หลบหนีคุณไป มันก็หนีฉันไปเหมือนกัน ปฏิบัติการแห่งความโปร่งแสงคือการโอบรับความคลุมเครือ พร้อมกับไขว่คว้าความชัดเจน ความโปร่งแสงเป็นสื่อกลางระหว่างสิ่งที่มันเป็นของมันอย่างนั้น กับจินตนาการว่ามันจะเป็นอะไรได้อีกบ้าง ความโปร่งแสงเติมเต็มช่องว่าง นำเสนออนาคตใหม่ มันขยับอยู่ในความยั่วยวนระหว่างธรรมชาติกับงานจำลอง ผืนม่านแห่งการรู้ และเงามืดแห่งความไม่รู้ เราใช้ชีวิตอยู่ในความ(ไม่)เป็นวัตถุที่โปร่งแสง: น้ำมัน. ผิวหนัง. แผ่นฟิล์ม. น้ำแข็ง. อากาศ. น้ำ. กระดาษ. หมอกควัน. ปรากฏการณ์ลวงตา. หน้าต่าง. อินเตอร์เน็ต. ดนตรี. ความคิด. เมฆ. เกาะ. ตะกอน. เกลือ.

โลกนี้ไร้ความแน่นอน รั่วซึม และพรุนรู ที่มีเยื่อดูดซึมอยู่ระหว่างทุก ๆ อย่าง การใช้ความโปร่งแสง ตามที่ Glissant บอก คือ “การนำ โลกมาสัมผัสกับโลก การนำสถานที่บางแห่งของโลกมาสัมผัสกับที่อื่น ๆ” ความโปร่งแสงคือวิธีมองดูโลกในมุมใหม่

ระหว่างวัตถุหรือพื้นที่

ความโปร่งแสงคือระยะห่างระหว่างคู่วัตถุหรือพื้นที่ที่คุ้นเคย ในสถานที่ซึ่งแสงส่องสว่าง และบ้านเรือนอยู่ใกล้กัน—ในเขตร้อนแบบเมืองหรือเมดิเตอร์เรเนียน—หน้าต่างห้องครัวและห้องน้ำจะเป็นฝ้าทึบมัว

หน้าต่างปิดฝ้ามักถูกใช้ในพื้นที่ที่อากาศร้อนเกือบจะตลอดเวลา และชีวิตดำเนินไปตามอากาศที่ช้าและหนาแน่น ขัดกับเวลาเร่งรีบของทุน ในช่วงเช้าตรู่หรือกลางดึก ที่ร่างกายจะเคลื่อนไหวเกือบเปลือยเปล่าได้ในพื้นที่ของตน เมื่อเสียงร้องเรียกหากันได้จากเหล่าระเบียง ความวุ่นวายมักจะอยู่ประกบกันและหักทิศไปได้ง่ายเสียด้วย เรา ความเป็นอื่น (alterity) เราเฝ้าดูแลกัน เราอนุญาติให้กันและกันเข้ามา เรากั้นกันและกันออกไป เราเลือกเองว่าแค่ไหนและกับใคร

‘จาฬี’ ที่สถาปนิกโมกุลทั่วเอเชียกลางและใต้สร้างกัน คือประตูและหน้าต่างที่ขัดกันเป็นตารางเพื่อให้อำนาจแก่ผู้หญิงในการล่วงรู้ว่าอะไรเป็นอะไรในสถานที่นั้นโดยไม่ถูกมองเห็น เหมือนการระบายลมอุดมการณ์อย่างหนึ่ง ช่องประตูเหล่านี้ทำให้การมองออกไปและการมองเข้ามาพร่ามัวเฉกเช่นเดียวกัน จาฬีทำงานเหมือนม่านปิดบังสายตาที่ท้าทายจ้องมอง มันต่อต้านสิทธิต่อข้อมูลเบ็ดเสร็จ ต่อต้านการเปิดเผย ต่อต้านการแนบชิด ที่ไม่เหลือที่ว่างสำหรับการหยอกเย้ายั่วยวน

ความโปร่งแสงปิดกั้นแสงสว่างตรง ๆ ที่ขาว จ้า แล้วก็ร้อน และให้ความนุ่มฟุ้งเข้ามา นุ่มฟุ้งให้ความคมชัดในพื้นผิวคงไม่หายไป แต่ปล่อยให้ตรงขอบ ๆ หลุดโฟกัสไป หลอมรวมความต่างระหว่างวัตถุและจิต สิ่งอื่นสูญเสียรายละเอียดไปและดูจะเหมือนกับคุณ: ยามบ่ายแสนละมุน, แก้มแดง, มัว, ชื้น, แฉะลื่น

ในผู้พลัดถิ่น ผู้อพยพ ผู้ต้องเนรเทศ

ช่องว่างบาง ๆ ระหว่างร่างกายเหล่านี้เป็นเหมือนพรมแดนระหว่างสถานที่: จุดเริ่มต้นของความเข้าใจเพียงบางส่วน ก่อให้เกิดเขตใหม่แห่งการพลัดถิ่น

ปลาจากประเทศหนึ่ง พลัดทิศทางไปด้วยกระแสน้ำ พบว่าตัวเองติดอยู่อีกที่

เราจะรู้จักกันและกันทั่วทั้งโลกได้อย่างไร? เรามันครึ่งจินตนาการครึ่งจริง พอเรายอมรับความโปร่งแสงได้ เราอาจจะไปถึงสิ่งที่ Glissant เรียกว่า “ร่างที่ถูกกลืนกินทางวัฒนธรรม” (creolized body) ชุมชนหนึ่ง เกิดขึ้นจากความแตกต่าง แข็งขันกันพัวพันอยู่กับกันและกัน ก่อให้เกิด ชุมชนลูกผสม

ฉันไม่มีวันรู้เลยว่าการเป็นคุณมันเป็นอย่างไร มันเป็นอย่างไร การเป็นค้างคาว หรือก้อนหิน หรือคุณ

แล้วคุณก็จะมาพยายามวิเคราะห์ฉัน ไม่ได้เริ่มจากว่าฉันมาจากไหน หรือฉันเลือกดำรงอยู่อย่างไร หรือว่าฝุ่นกับไอร้อน และหมอกควันที่ฉันโตมากับมัน แต่ด้วยแสงสว่าง วิธีที่มันก่อรูปเงาขึ้นมา เส้นสายพวกนี้ เงาพวกนี้จะบอกคุณเกี่ยวกับตัวตนที่ฉันเลือกจะไม่เปิดเผย อาการปรากฏของความพอใจและไม่พอใจ ความลึกขององค์ประกอบภาพ คำเปรียบเปรยที่ฉันใช้จะได้ไม่ต้องพูดสิ่งที่ฉันพูดไม่ได้

ความโปร่งแสงไมใช่การปลดเปลื้องที่จุดสุดท้ายของการเดินทาง แต่เป็นความร่มเย็นที่คุณพบระหว่างทาง การพักผ่อนเพิ่มพลัง เมื่อจิตได้กลับบ้านในร่างกาย แม้บ้านนั้นจะอยู่ไกลแสนไกล

พบกับฉันได้ที่ไหนสักแห่งในในกลางของภาวะไร้ที่สิ้นสุดนี้

ฉันจะไม่หันหลังหนี ฉันคือจุดศูนย์รวมพลังงานทั้งหมดที่มีมาก่อนฉันและที่กำลังจะตามมา แต่ฉันมีสิทธิต่อความทึบแสง ฉันไม่จำเป็นต้องโปร่งใสเพื่อคุณ

ความทึบ (opacity) จะเป็นอะไรได้ ถ้าไม่ใช่การแปลงน้ำหนักของความโปร่งแสง? จำนวนของชั้น ความหนาแน่นของมวลบรรนยากาศตรงกลาง สีสันและความเป็นวัตถุธาตุและอำนาจในการต่อต้านหรือเปิดรับแสง ในการปล่อยให้แสงเข้า เราเปิดพื้นที่สำหรับความสำราญแห่งความมืด

ที่นั่น เรานำเสนอตัวตนที่โปร่งแสงของเรา เราคือเกาะมากมายเมื่อเราเป็นชุมชนที่หลากหลายทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ทำอะไรได้ต่างกัน ถูกแปะป้ายไม่ต่างกัน ชุมชนต่าง ๆ อาศัยเคียงข้างกันและกันโดยไม่มีภาษามากั้น

เราส่งต่อพลังงานระหว่างกันและกัน เราเริ่มที่จะเข้าใจ ไม่ได้เข้าใจกันและกัน แต่เข้าใจความหมายของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสอง เพื่อที่จะเป็นสาม

การจะพบห้วงการเปลี่ยนแปลงของความโปร่งแสง เราต้องแบ่งปันงานด้วยกัน ไม่ เราไม่จำเป็นต้องตอบคุณ ไม่ เราจะไม่อธิบายว่าระบอบแห่งทาส ชนชั้น วรรณะ มันพันเกี่ยวอยู่กับคุณอย่างไร พวกเราเรียนรู้มันเพื่อตัวเอง เพื่อพยายามปลดปล่อยการฉกฉวยที่ดำเนินมารุ่นสู่รุ่น

เช่นเดียวกับแมลงปอ พวกเราต้องหาทางให้ปีกเราโปร่งแสง เพื่อเลี่ยงอันตรายจากเหล่านักล่า บางทีเราอาจจะแบ่งงานกัน — ตอนที่ฉันล้า คุณก็รับช่วงต่อจากฉัน เราแบ่งงานกัน และเพิ่มพูนความรัก เราทำกันแบบนี้ บ่อนทำลายสถาปัตยกรรมแห่งความชัดเจน

ความโปร่งใส่เป็นกลไกที่เผยให้เห็นระบอบชายเป็นใหญ่ พลังบวก ความขาว ศีลธรรมแบบตะวันตก การจัดแสดง การควบคุม หลักฐาน สะท้อนภาพตึกกระจกใสสูงเสียดฟ้า ที่เช็ดถูโดยผู้คนที่ไม่มีปัญญาจ่ายค่าวิวนั้นได้ พวกเราเริ่มบ่อนทำลายใบหน้าปลอม ๆ ของความเป็นเหตุเป็นผล บ่อนเซาะโครงสร้างทุนนิยมที่โอบอุ้มปัจเจกชนมากกว่าการพึ่งพาอาศัยกัน ปรากฏการณ์เหนือการคาดเดา และเราเริ่มตั้งคำถามออกไปที่วัตถุและเข้ามาหาอวัตถุ ว่าอคติมาจากไหนกัน

ถ้าหากและเมื่อมันเป็นแบบนี้ เราจะตกอยู่ในห้วงขณะแห่งไมตรีระหว่างผู้คน เหตุการณ์ แนวคิด ซึ่งจะไม่เกิดในขณะอื่น เราอาจลองทำความเข้าใจก็ได้ แต่มันจะต้องเกิดขึ้นด้วยกันเท่านั้น ถึงจะไม่มั่นคงอย่างไรก็ตาม มิตรภาพ ความรัก และความฝัน มีลักษณะโปร่งแสง แจ่มแจ้งระหว่างความจริง (the real) และภาพหลอน คุณอาจสัมผัสมันได้ แต่จะไม่มีทางเข้าใจมันจริง ๆ เรื่องแต่งก็สัมพันธ์กับความจริงอย่างนี้เหมือนกัน

ในการปรากฎตัวของภูติผี

เรื่องผีมักจะงอกงามอยู่ในชุมชนที่แบกความทุกข์ส่วนรวมไว้ด้วยกัน ในอินเดีย ภูติผีแห่งชัยพิชิตมากมายโผล่ขึ้นมาในนิทานพื้นบ้าน: ผีขโมยดินแดน ผีที่โผล่มาดังแม่แบบแห่งตราบาป บางทีก็มาเป็นก้อนเหลว ๆ บางทีก็มาเป็นสัตว์มีปีกหรือมีครีบหรือมีหาง สอนให้เราฟังอย่างตั้งใจและหายใจด้วยผิวหนัง พวกเขาปรากฏกาย พวกเขาปกป้องเราหรือล่าเรา เตือนเรา ช่วยเราตัดสินใจ หรือแม้แต่ทำงานบ้าน ทำงานของเขาไปเงียบ ๆ แล้วก็จากไป ภาพหลอน มีก็แต่พวกที่อ่อนไหวเท่านั้นที่จะเจอเขา พวกที่หมองหม่น ซึ่งจะจิตอ่อนจนโดนจัดการง่ายที่สุด

ผีสามารถกลายร่างได้ และมีลักษณะใส โปร่ง บาง มันสนทนากับห้วงแห่งปัจจุบันที่ลึกซึ้ง เคลื่อนไหลผ่านประวัติศาสตร์ แล้วก็พยายามจะปรับตัวหรือปรับแต่งให้เข้ากับอนาคตที่ไม่อาจต้านทานได้ไปด้วยพร้อมกัน มันยังเป็นสิ่งที่ก้ำกึ่งระหว่างกลางและก็ไม่ได้อยู่ในระบอบเวลาด้วย ปรากฏการณ์ผีหลอกคือปรากฏการณ์ทางจิต ที่เลนส์แห่งเวลาไม่สามารถโฟกัสมองอะไรได้ มุมมองแบบรอบนอกที่คุณจะได้เห็นสิ่งที่เล็กจิ๋วและใหญ่ยักษ์ทั้งหมดพร้อม ๆ กัน ความไม่แน่ชัดในความมัว และสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนั้น เพื่อดูดซับมาบ้าง โดยยังปกป้องที่โลกภายของคุณอยู่ การเป็นผีคือการโอบเอื้อกับเขตแดน เรื่องผีเปิดให้เราประกอบสร้างภาษาแห่งความโปร่งแสง: ทั้ง “เป็น” และ “เป็นไปได้” อยากจะเป็น พยายามเป็น เป็นไปได้ ภาษาอยากจะเป็นอะไรระหว่างกลาง เป็นอะไรที่เกือบจะ ไม่เฟค แต่เป็นการคาดเดา การอยากรู้อยากเห็น เป็นแบบจำลอง ปรารถนาจะเชื่อเรื่องราวต่าง ๆ ราวกับมันเป็นอย่างนั้นจริง การจะอยู่กับความถ้า (the if) กับความอย่างไร (the how) มากกว่าความอะไร (the what) ลองนึกถึงคำว่า ไม่ว่าจะ (whether) เหมือนกับคำว่าสภาวะอากาศ (weather) — มันเดาทางไม่ได้ มีไหวพริบ — และไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนแปลงมัน (alter it) แต่จัดที่ให้มัน (altar for it) บูชามัน ภาษา (และภาวะอากาศ) ปกป้องคุณได้ ถ้าคุณไม่พยายามไปควบคุมมัน การจำนนต่อความบังเอิญและพิธีกรรมการวาดภาพนี้ คือความโปร่งแสง

ในมวลอากาศที่เคลื่อนตัว

ชีวิตของเรามันเหมือนผี: ครึ่งกลาง เกี่ยวอยู่กับตัวเอง เลือนลาง ไม่ชัดเจน ไม่มีรูปทรงและเวลา เบลอ กระจัดกระจาย เหนอะหนะ บางเบา ไร้ระเบียบ ฟุ้ง ลึกลับ เยื่อใส คลุมเครือ

เราปฏิเสธการเป็นที่รับรู้ เราอ่อนโยน บอบบาง สืบเนื่อง พวกเราไม่ใช่ทั้งก้อนตัน ไม่ใช่ทั้งวิญญาณ เราไม่ใช่ทั้งเหตุและผล เราคือแผ่นเยื่อ พวกเราคือตาข่ายแก้วใส

ความโปร่งแสงเกี่ยวกันกับเพศที่มากมายและไม่อิงกับระบบชาย-หญิง ซึ่งเล่นครึกครื้นอยู่ที่ความระหว่างกลาง ไม่จำเป็นจะต้อง “เปิด” ตัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้อง “เก็บ” ตัวเหมือนกัน ความโปร่งแสงไม่ใช่ทั้งความเป็นชายหรือหญิง มันไม่ใช่ทั้งการเปิดเผยและปกปิด

เราคือไอระเหย เราคือน้ำ ผ้าฝ้าย ผ้าป่าน ผ้าไหม น้ำผึ้ง ขี้ผึ้ง ใบไม้

และเราก็เป็นพลาสติก น้ำมัน มลพิษ รังสี ภูมิอากาศไม่สามารถเห็นได้ชัดเจน แต่สื่อมาผ่านชั้น ๆ ของสารพิษ คาร์บอน จุลินทรีย์ อนุภาคเล็ก ๆ ควัน เมฆ กัมมะถัน ฝุ่น ฝ้า หมอก เมล็ด ละอองเกสร ความคลางแคลงใจ ภาพลวงตา

น้ำเองก็โปร่งแสง ยิ่งมันอุ่นขึ้น ก็ยิ่งเต็มไปด้วยแมงกะพรุน

ความโปร่งแสงชวนเราดำรงชีวิตและดองมิตรกับผู้อื่นแบบนุ่มนวลขึ้น โดยก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพธรรมชาติที่กำลังเปลี่ยนแปลง เหมือนนกที่ก่อรังขึ้นมาจากสายไฟและฝาขวด หรือกิ้งก่าที่ท่องไปทั่วบ้านเราพร้อมกับภูมิทัศน์ที่กำลังกลายเป็นทะเลทราย

ความโปร่งแสงนั้นข้ามสายพันธุ์ บางครากะพริบ แล้วก็สร้างรูปทรง รูปร่าง หรือประกายไฟใหม่ขึ้นมา

ในจดหมายเหตุน้ำแข็ง

ในทะเลเวดเดลล์ (Weddell Sea) ใต้น้ำแข็งในแอนตาร์กติกา ปลาเลือดขาวมีความโปร่งแสงจนเรามองเห็นสมองและสันหลังทะลุผ่านผิวหนังได้ เมื่อเวลาเปลี่ยนไปและสายน้ำเปลี่ยนตาม พวกมันสูญเสียฮีโมโกลบิน (hemoglobin; ส่วนประกอบในเม็ดเลือด) ปลาเองก็เหมือนหญิงสาวหลังเงาจาฬี พวกเขาแสวงหาความกำกวมของความโปร่งแสงที่กระตุ้นความสนใจ ; พวกเขารักษาความล่องหนไว้ ในระบบที่พยายามจะวิเคราะห์จัดแจงพวกเขา

เต่าคองู, ผีเสื้อทะเล, บุ้งทะเล, แพลงก์ตอนสัตว์, เคย, หนอนใส, ปลาหมึก และ ปลาซีกเดียว ทั้งหมดล้วนโปร่งแสง ด้วยชั้นแคลเซียมที่ซับซ้อน พวกมันรักษาความสว่างไว้ได้ที่ใต้น้ำ ซึ่งมืดมาก ความโปร่งแสงของพวกมันเปิดให้โลกภายในของพวกมันสว่างขึ้นมา

น้ำแข็งก็เป็นเครื่องบันทึกความทรงจำที่โปร่งแสงมาตลอดเหมือนกัน: อนุภาคตะกั่วเล็ก ๆ ที่ติดอยู่ในแก่นกลางบอกเล่าเรื่องราวแห่งการสกัดของเรา แกนน้ำแข็งคือสุดยอดแห่งเครื่องบอกเวลาที่เที่ยงตรง (chronometers) บอกเวลาแบบเดียวกับวงปีในต้นไม้ เราจะเห็นเลยว่าสภาพอากาศเปลี่ยนไปอย่างไร เห็นว่าเกิดโรคระบาดอะไรในประวัติศาสตร์ เห็นกระทั่งสงคราม ฉันชอบคิดว่าความโปร่งแสงก็เหมือนเวลาที่น้ำแข็งทำหน้าที่เป็นผู้จัดเก็บข้อมูลและตัวการต้านอาณานิคมทางประสาทสัมผัส เมื่อน้ำแข็งละลายกลายเป็นความกระจ่างใส เราสูญเสียความเชื่อมต่อกับผืนดิน กับอดีต กับประวัติศาสตร์ เราสูญเสียบรรพบุรุษของเรา แล้วเราก็เสียอนาคตไปด้วย โลกที่ไม่มีน้ำแข็งก็เหมือนการบินไปปลายขอบฟ้าแล้วชนเข้ากับบานกระจกใส

ในระหว่างตัวตนที่รู้สึกนึกและตนที่ไร้สำนึก

ความโปร่งแสงเป็น สื่อ-กลาง ภาพต่าง ๆ มีความโปร่งแสง ตรงที่มันคือภาพตัวแทนของความเป็นจริง ในช่วงเวลาแห่งการเข้าถึงข้อมูลสมบูรณ์ และการควบคุมข้อมูลแบบสมบูรณ์ เรายังจะถือตะเกียงเนย (Butter lamp พระชาวธิเบตนิยมใช้เพื่อทำสมาธิ) อยู่ที่หน้าจอแล้วเป็นตัวคัดกรองข้อมูลเองได้ไหม? สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลและสิทธิในการแตกต่าง ความโปร่งแสงคือทางสายกลาง ระหว่างการประดิษฐ์งานและสัญชาตญาณ ระหว่างตรรกะและญาณเฉลียว ระหว่างความเป็นไปได้และระเบียบ

ความโปร่งแสงคือระลอกคลื่น คลื่นของอารมณ์ กระแสน้ำ ความรู้สึกหมองหม่นแต่ไม่ได้โศกเศร้า เปรมปรีดิ์แต่ไม่ใช่ความสุข

ความโปร่งแสงคือเสียงเรียกให้ตรวจจับ ก่อรูป และทำให้เห็นภาพ ความพรุน ความเชื่อมต่อ แบบแผน และความใกล้ชิด ความสัมพันธ์ ข้ามระบบพื้นที่ เวลา และขอบเขตของสังคมวัฒนธรรม

จิตรู้สำนึกคือความโปร่งแสง ในงานวิจัยต่าง ๆ บางทีก็มีช่วงขณะที่เราพบแบบแผนระหว่างแนวคิดที่ดูจะต่างกันออกไป ฉันกำลังเขียนโอเปร่าแห่งนกในตอนที่ศึกษาวัฒนธรรมนิวเคลียร์อยู่ เมื่อฉันออกไปมองหานก ฉันพบมันผสมพันธุ์กันอยู่ที่เขตนิวเคลียร์

ในการกระท

การมระดมจัดวางความโปร่งแสงจะช่วยให้เรารับรู้สิ่งต่าง ๆ แบบที่ต่างก็เชื่อมโยงกันอยู่และไม่ได้แยกขาดออกจากกัน เพื่อที่ความรักจะได้แหวกแทรกผ่านความเป็นพิษลบ ๆ ได้ไหม ความยุติธรรมจากความขัดแย้ง หมู่เกาะคือเกาะต่าง ๆ ที่รวมกันเข้าเป็นกลุ่ม: พวกเราจะสามารถะเป็นตัวของตัวเองและมองหาความสัมพันธ์กับผู้อื่นไปพร้อมกันได้ไหม เราจะเชื่อมโยงกันด้วยน้ำโปร่งแสง ชายหาดของเราปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศอยู่เสมอ เป็นวุ้นที่โปร่งแสงเห็นสัตว์ทะเลข้างใต้ เราจะดูดซับและต่อต้าน ยึดรากและผสมผสาน ก่อรูปวัฒนธรรมใหม่ ๆ อัตลักษณ์ที่เป็นได้มากมาย ได้หรือไม่ เราจะพูดหลายภาษาโดยรักษาเสียงของตัวเองภายในหัวได้หรือไม่ เราจะใช้สัญชาตญาณทำงานในห้องทดลองของชีวิตเราได้หรือไม่ และเมื่อระเบิดเปลี่ยนอากาศให้ขุ่นมัว และเมื่อความร้อนทำให้อากาศเหนียวเหนอะหนะ และเมื่อน้ำท่วมผืนดินจนมันแหลกเหลวไปหมด เรายังจะเรียกใช้สภาพวัตถุของความโปร่งแสง พาเราออกจากภัยพิบัติได้หรือไม่

เราเป็นเหมือนบทกวีมากกว่านี้ได้ไหม ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ แตกกระจายและเป็นส่วนสมบูรณ์ ปักหลักและล่องลอย แฝงความหมายและไร้สาระทั้งคู่

ความโปร่งแสงไม่ใช่ปณิธานเกิดคาดหวังสำหรับสังคมอุดมคติ มันไม่ได้สุดโต่งเลยโดยเนื้อแท้ของมัน: มันเสนอการเป็นอยู่ที่ลึกซึ้ง โดยที่ให้การรับรู้เวลาแบบอื่นเข้ามาแจ้ง ส่งผล และเปลี่ยนแปลงห้วงขณะปัจจุบัน เพื่อปรากฏและหายไป ไม่ใช่การขจัดความทึบและไม่ใช่การเสกสร้างความโปร่งใส

ถึงความโปร่งแสงจะเป็นเรื่องของแสง แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับแค่การมองเห็น: มันเรียกร้องให้ฟังสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ วิธีที่พวกเขาขานและตอบ ให้จมเข้าไปในที่ระหว่างน้ำกับน้ำมัน รับรู้ถึงพลังอันน่ารังเกียจของมันและเงาวาววิบวับของมัน มันหยิบจับความสำราญอยู่ในความวิปริต

_ด้วยความขอบคุณแด่ advaya, Kate Marshall, Alexis Rider, Laura Raicovich.

ด้วยความระลึกถึง Édouard Glissant, Judith Butler, Ming Smith, Byung-Chul Han, Andrés Jaque, และเหล่านักร้องซูฟีที่ชายแดนอินเดียและปากีสถาน ผู้พลัดพรากจากคนรักโดยทะเลทรายเกลือ ที่ Rann of Kutch_