Glastonbury Festival Presents: Live at Worthy Farm 6 โมเม้นท์น่าประทับใจที่เราไม่อยากให้คุณพลาด
คอเพลงหลายคนเป็นต้องอกหักกันไปตาม ๆ กัน หลังจากปีที่แล้ว เทศกาลดนตรีที่คนรักเสียงเพลงจากทั่วโลกต่างใฝ่ฝันจะไปเยือนสักครั้งอย่าง Glastonbury Festival ถูกประกาศยกเลิกจากการแพร่กระจายของโควิด-19 หลังจากถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งเมื่อภาวะวิกฤตนี้ดูท่าจะอยู่กับเราไปอีกสักพัก เทศกาลดนตรีจากเกาะอังกฤษนี้จึงต้องเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการแสดงดนตรีแบบไลฟ์สตรีมในวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมาแทน (23 พฤษภาคมตามเวลาประเทศไทย) ส่งตรงการแสดงมาจาก Worthy Farm ประเทศอังกฤษ โดยได้ศิลปินชั้นนำอย่าง Coldplay, Damon Albarn, HAIM, IDLES, Jorja Smith, Kano, Michael Kiwanuka, Wolf Alice, DJ Honey Dijon และ The Smile มาร่วมบรรเลงบทเพลงกันยาว ๆ ถึง 5 ชั่วโมงเต็ม
แต่ใช่ว่าการจัดเทศกาลดนตรีแบบไลฟ์สตรีมจะเป็นเรื่องหมู ๆ เพราะในช่วงเริ่มต้นของโชว์ มีเจ้าของตั๋วหลายคนไม่สามารถเข้าไปดูไลฟ์สตรีมในครั้งนี้ได้ ต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงกว่าทางทีมงานจะแก้ไขให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ จนแฮชแทก #NotLiveAtWorthyFarm ถูกเทรนด์ไปพร้อม ๆ กับแฮชแทกหลักของงานอย่าง #LiveAtWorthyFarm ซึ่งทางทีมงานเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ปล่อยลิ้งสตรีมฟรีให้ทุกคนสามารถเข้าไปรับชมได้โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท! เรียกได้ว่าเป็นเหตุขัดข้องทางเทคนิคที่สร้างความเสียหายไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ถึงจะเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ Glastonbury Festival Presents: Live at Worthy Farm ก็ยังคงคอนเซ็ปต์งานคุณภาพ เพราะนอกจากโปรดักชั่น แสง สี เสียงที่จัดเต็มแล้ว ยังแอบมีโมเม้นดี ๆ ซ่อนอยู่ในเทศกาลดนตรีออนไลน์นี้ด้วยเหมือนกัน ระหว่างรอการฉายรีรันไฮไลท์การแสดงในช่อง BBC ในวันที่ 25 - 27 มิถุนายนนี้ พร้อมกับสารคดีเบื้องหลังการจัดงาน สัปดาห์นี้ GroundControl รวบรวม 6 โมเม้นท์น่าประทับใจใน Glastonbury Festival Presents: Live at Worthy Farm ที่เราไม่อยากให้คุณพลาด จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย
Thom Yorke and Jonny Greenwood debut new band The Smile
คนที่ติดตามข่าวสารของงาน Glastonbury Presents: Live at Worthy Farm มาโดยตลอดคงพอจะแอบสังเกตเห็นว่า นอกจากบรรดาชื่อวงเฮดไลน์บนโปสเตอร์ของเทศกาลแล้ว เขายังแอบมีคำใบ้ปริศนา Special Guests มาให้เราได้ลุ้นกันอีกด้วย ซึ่งในที่สุดก่อนเทศกาลจะเริ่มเพียงไม่กี่ชั่วโมงเราก็ได้รับคำตอบว่า Special Guests ที่ว่าไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นรุ่นใหญ่ของวงการเพลงอังกฤษ ขาประจำเทศกาลอย่าง Thom Yorke และ Jonny Greenwood ที่ครั้งนี้ไม่ได้กลับมาเล่นในนามวง Radiohead แต่ถือโอกาสเปิดตัวโปรเจ็ควงใหม่ The Smile ที่ไปดึงตัวมือกลองแจ๊สมากฝีมืออย่าง Tom Skinner มาร่วมทัพด้วย โดยนอกจากจะเปิดโชว์ด้วยเพลง unreleased ของ Radiohead อย่าง ‘Skirting On The Surface’ แล้ว ทั้งสามคนยังจัดเพลงใหม่ของ The Smile ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนถึง 7 เพลงรวด คอเพลงโพสต์พังค์รอฟังอัลบั้มเต็มกันได้เลย เด็ดแน่นอน
Coldplay debut new song ‘Human Heart’
อีกหนึ่งขาประจำของเทศกาล Glastonbury อย่างวง Coldplay ที่ยังคงรักษามาตรฐานโชว์ลีลาอลังการทั้งแสง สี เสียงได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง ครั้งนี้ พวกเขาเนรมิตเวที Pyramid Stage ให้กลายเป็นจักรวาลดวงดาวระยิบระยับที่ยิ่งใหญ่จนแอบนึกว่าเป็นพิธีเปิดงานโอลิมปิกกันเลยทีเดียว แค่วิชวลอลังการอย่างเดียวคงไม่พอ Coldplay ยังจัดเซ็ทลิสต์รวมฮิตเพลงอย่าง ‘The Scientist’, ‘Viva La Vida’, ‘Fix You’, ‘Clocks’ และ ‘A Sky Full of Stars’ มาไม่ยั้ง แต่ก็ยังไม่ลืมโปรโมทซิงเกิ้ลล่าสุด ‘Higer Power’ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน นอกจากนั้น วงยังแอบเดบิวเพลงใหม่ที่ไม่เคยเล่นที่ไหนมาก่อนอย่าง ‘Human Heart’ ที่ไปคอลแลบกับวงอาร์แอนด์บี KING ด้วย
ถึงแม้เราจะไม่มีการแสดง ‘Human Heart’ ให้ดู แต่เราก็มีตัวอย่างความอลังการดาวล้านดวงจากโชว์ของ Coldplay ในครั้งนี้ให้ดูจากเพลง ‘Higher Power’ คลิกที่นี่เพื่อรับพลังจากยานพ่อ
Wolf Alice debut new song 'How Can I Make It OK?'
ไปต่อกันที่เวที Stone Circle กับการแสดงของวง Wolf Alice วงอัลเทอร์เนทีฟร็อคสี่ชิ้นจากเกาะอังกฤษที่เหล่าคอเพลงอินดี้เป็นต้องหลงไหลกับเสียงเท่ ๆ ของ Ellie Rowsell นักร้องนำคนสวยของวง ในครั้งนี้ นอกจาก Wolf Alice จะขนเพลงเก่าอย่าง ‘Don’t Delete the Kisses’, ‘Formidable Cool’ และ ‘Giant Peach’ มาเล่นแล้ว ยังหยิบเอาเพลงจากซิงเกิ้ลใหม่ล่าสุดอย่าง ‘Smile’ และ ‘The Last Man on Earth’ มาเล่นด้วย แต่ที่พิเศษสุดคือการเปิดตัว 'How Can I Make It OK?' เพลงจากอัลบั้มใหม่ที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนอัลบั้มเต็ม 'Blue Weekend' จะถูกปล่อยในวันที่ 4 มิถุนายนที่จะถึงนี้ได้อย่างน่าตื่นเต้นสุด ๆ
The Walk With Amal Project
คำว่า Amal แปลว่า “ความหวัง” ในภาษาอารบิก
ในโปรเจ็ค The Walk With Amal นี้ ได้มีการสร้าง Little Amal หุ่นเชิดสูงกว่า 3.5 เมตร ที่เป็นตัวแทนของเด็กหญิงผู้ลี้ภัย โดย Little Amal เริ่มต้นออกเดินทางตั้งแต่เขตชายแดนซีเรีย-ตุรกีจนมาถึงอังกฤษ เพื่อเป็นการสร้างการตระหนักรู้ของชาวโลกต่อวิกฤตสงครามและผู้ลี้ภัยในหลาย ๆ ประเทศขณะนี้ ซึ่งเมื่อมาถึงเทศกาล Glastonbury แล้ว Little Amal ก็ไม่ได้มามือเปล่า แต่ยังพาเหล่าเพื่อนตัวน้อยมาร่วมขับขานบทกวี ‘No One Knows My Name’ ซึ่งพูดถึงความทรงจำของ Little Amal ที่มีต่อบ้านและครอบครัวที่เธอต้องจากมา ฟังไปก็น้ำตาไหลไป เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของ Little Amal เพียงคนเดียว แต่ยังเป็นสิ่งที่ผู้ลี้ภัยนับล้านทั่วโลกกำลังเผชิญไม่ต่างกัน
HAIM play ‘Women In Music Pt. III’ for the first time with a full band
แม้ว่าสามพี่น้องตระกูล HAIM จะปล่อยอัลบั้มเต็มลำดับที่สาม ‘Women In Music Pt. III’ ออกมาตั้งแต่ปีที่แล้ว พร้อมด้วยคำชมที่ท่วมท้นจากเหล่านักวิจารณ์ทั่วสารทิศ แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ทำให้ทั้งสามสาวยังไม่มีโอกาสได้ออกทัวร์แสดงเพลงจากอัลบั้มนี้ได้เต็ม ๆ สักที แฟน ๆ ก็ได้แต่ตั้งตารอวันที่จะได้ฟังหลาย ๆ เพลงในอัลบั้มที่ยังไม่เคยถูกนำมาเล่นสดสักที แต่แน่นอนว่าระดับ Glastonbury แล้ว ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้! ครั้งนี้ HAIM กลับมาพร้อมกับบทเพลงจากอัลบั้มล่าสุดที่เสิร์ฟมาให้เราได้ดื่มด่ำกันถึง 6 เพลงเต็ม ทั้ง ‘Summer Girl’, ‘Don’t Wanna’, ‘The Steps’, ‘Gasoline’, ‘I’ve Been Down’, ‘Now I’m In It’ และ ‘I Know Alone’ ใครที่พลาดไปเสียดายแย่
Damon Albarn and his mullet
ปิดท้ายกันที่นักร้องรุ่นใหญ่แต่หัวใจยังเปรี้ยวเสมออย่าง Damon Albarn ฟรอนท์แมนของวงบริทป็อปในตำนาน Blur และ Gorillaz ที่คราวนี้เขาไม่ได้เป็นที่พูดถึงจากการเดบิวเพลงใหม่เหมือนใครเขา แต่กลับไวรัลเพราะทรงผมรากไทร Mullet สุดเท่จน Twitter แทบแตกกันไปตาม ๆ กัน ใครเลยจะไม่หลงเสน่ห์หนุ่มฮอตจากยุค 90s คนนี้ ที่แม้ว่าจะเพิ่งอายุครบรอบ 53 ปีไปหมาด ๆ แต่ก็ยังคงหล่อเท่นำเทรนด์ไม่เสื่อมคลาย
ไม่ใช่แค่ทรงผมสุดคูลของคุณเค้า แต่ Damon Albarn ยังจัดเซ็ทลิสต์เอาใจแฟน ๆ จากทุกยุค ไม่ว่าจะเป็น ‘Out of Time’, ‘This Is A Low’’ จาก Blur และ ‘On Melancholy Hill’ จาก Gorillaz หรือจะเป็น ‘The Poison Tree’ จาก The Good, the Bad & the Queen นอกจากนั้น เขายังเล่นเพลงจากโปรเจ็คล่าสุด ‘The Nearer the Fountain, More Pure the Stream Flows’ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภูมิทัศน์ของประเทศไอซ์แลนด์อีกด้วย
อ้างอิง : nme.com, consequence.net, theguardian.com