ผลเชอร์รี่ ช้อนกินข้าว ลูกขนไก่ ไม้หนีบผ้า เลื่อยไม้... เหล่านี้คือข้าวของเครื่องใช้บ้าน ๆ ที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อวัตถุที่ดูธรรมด๊า ธรรมดาเหล่านี้ตกอยู่ในมือของสองคู่รักศิลปินอย่าง Claes Oldenburg และ Coosje van Bruggen แล้ว มันกลับดูสนุกและน่าสนใจขึ้นมาซะอย่างนั้น

ผลเชอร์รี่ ช้อนกินข้าว ลูกขนไก่ ไม้หนีบผ้า เลื่อยไม้... เหล่านี้คือข้าวของเครื่องใช้บ้าน ๆ ที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อวัตถุที่ดูธรรมด๊า ธรรมดาเหล่านี้ตกอยู่ในมือของสองคู่รักศิลปินอย่าง Claes Oldenburg และ Coosje van Bruggen แล้ว มันกลับดูสนุกและน่าสนใจขึ้นมาซะอย่างนั้น

ส่องประติมากรรมไซส์ใหญ่เบิ้มโดย Claes & Coosje คู่รักศิลปินป็อปอาร์ตผู้โด่งดัง

ผลเชอร์รี่ ช้อนกินข้าว ลูกขนไก่ ไม้หนีบผ้า เลื่อยไม้... เหล่านี้คือข้าวของเครื่องใช้บ้าน ๆ ที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อวัตถุที่ดูธรรมด๊า ธรรมดาเหล่านี้ตกอยู่ในมือของสองคู่รักศิลปินอย่าง Claes Oldenburg และ Coosje van Bruggen แล้ว มันกลับดูสนุกและน่าสนใจขึ้นมาซะอย่างนั้น 

ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงานกันในปี 1977 Claes Oldenburg ศิลปินสวีดิช-อเมริกันผู้เป็นสามีก็ได้เริ่มสร้างชื่อเสียงในวงการศิลปะของสหรัฐอเมริกาช่วงยุค 1950-60s ด้วยผลงานประติมากรรมแหกขนบชวนตั้งคำถามมากมายที่เขาได้สร้างสรรค์และจัดแสดงในมหานครนิวยอร์ค ผลงานของเขาในเวลานั้นมักจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากการโฆษณาและวัฒนธรรมการบริโภคของสังคมทุนนิยม นำมาตีความและถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาผ่านการใช้รูปทรงสุดป็อปราวกับหลุดมาจากโลกการ์ตูน และด้วยผลงานอย่าง ‘The Store (1961)’ และ ‘Giant Soft Fan (1966-67)’ นี้เอง ก็ช่วยทำให้ชื่อของเขายิ่งขจรไกลจนได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในศิลปินผู้บุกเบิกของศิลปะแบบป็อปอาร์ตจนเป็นที่นิยมในวงกว้าง

อย่างไรก็ดี ผลงานของ Claes ในเวลานั้นก็ยังคงวนเวียนจัดแสดงอยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ของแกลเลอรี่เท่านั้น โดยมีผลงานศิลปะสาธารณะชิ้นแรกเกิดขึ้นในปี 1967 จาก ‘Placid Civic Monument’ ผลงานคอนเซ็ปต์ชวลเพอร์ฟอร์มแมนซ์อาร์ตที่ปัจจุบันหลงเหลือไว้เพียงรูปถ่ายและภาพยนตร์ขนาดสั้นเท่านั้น และถึงแม้ในเวลาต่อมาเขาจะผลิตงานประติมากรรมนอกสถานที่ออกมาอีกหลายชิ้น แต่ก็เป็นหลังจากที่เขาได้ทำงานร่วมกับภรรยา Coosje van Bruggen ศิลปิน และนักวิจารณ์ศิลปะชาวดัตช์-อเมริกัน ที่ทำให้สไตล์ศิลปะเหล่านี้ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น ทั้งคู่ได้พบกันในปี 1971 ในขณะที่ Coosje ยังทำงานเป็นภัณฑารักษ์สาวหน้าใหม่ไฟแรงของพิพิธภัณฑ์ Stedelijk Museum ในอัมสเตอร์ดัม โดยภายหลังจากที่ทั้งคู่ได้แต่งงานกันในปี 1977 จึงถือเป็นจุดกำเนิดของผลงานศิลปะสาธารณะขนาดใหญ่ยักษ์ ที่ใครผ่านไปผ่านมาก็เป็นต้องเหลียวตามอง

ผลงานของ Claes & Coosje โดดเด่นด้วยความสนุกสนาน ขี้เล่น ชวนขบขัน ผ่านการจำลองอาหารหรือสิ่งของเครื่องใช้สุดแสนธรรมดา และนำมาขยายขนาดจนใหญ่ยักษ์จนไม่ว่าใครก็ต้องมองเห็น อีกทั้งยังเน้นใช้สีสันสดใสชวนแตะตาตามแบบของศิลปะป็อปอาร์ตมาเป็นจุดดึงดูดสายตา โดยมักจะมีลักษณะเป็นผลงานศิลปะสาธารณะที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพื้นที่นั้น ๆ (Site-Specific Art) ทำให้ผลงานของทั้งคู่ไม่เพียงโดดเด่นเป็นจุดสนใจและสร้างสีสันให้กับบริเวณนั้น ๆ เท่านั้น แต่ยังมีการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้คนและบริบทโดยรอบด้วย

ถึงแม้ในปัจจุบัน Coosje จะจากโลกใบนี้ไปตั้งแต่ปี 2009 แต่ผลงานศิลปะสาธารณะของทั้งคู่ก็ยังคงจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังปรากฏให้เราได้เห็นทั่วไปตามพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ ๆ ในสหรัฐอเมริกาอย่างนิวยอร์ค ซานฟรานซิสโก และชิคาโก ใครที่สนใจอยากตามรอยเก็บผลงานของทั้งคู่ก็สามารถเข้าไปปักหมุดกันได้

อ้างอิง: oldenburgvanbruggen.com, Claes & Coosje A Timeline of Large-Scale Projects , The dynamic duet of Claes Oldenburg and Coosje van Bruggen, Claes Oldenburg and Coosje van Bruggen’s Shared History , 7 Claes Oldenburg and Coosje van Bruggen Artworks To See Around the World