เครื่องจักรหรือจะสู้งานฝีมือ?!
ทำความรู้จักกับ William Morris ศิลปินผู้บุกเบิกทางสายคราฟต์

เครื่องจักรหรือจะสู้งานฝีมือ?! ทำความรู้จักกับ William Morris ศิลปินผู้บุกเบิกทางสายคราฟต์

เครื่องจักรหรือจะสู้งานฝีมือ?! ทำความรู้จักกับ William Morris ศิลปินผู้บุกเบิกทางสายคราฟต์

ธรรมชาติ และ ดอกไม้ใบหญ้า เกริ่นมาด้วยสองสิ่งนี้ แน่นอนว่าหากจะมีลวดลายอะไรที่เกิดจากส่วนผสมตามที่ว่ามา กลิ่นอายความวินเทจ หวาน ๆ ในงานฝีมือ หรือที่เรียกกันว่า ‘งานคราฟต์’ (Craft) คงเป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ ที่หลายคนนึกถึงอย่างไม่ต้องสงสัย .. แต่ทำไมงานคราฟต์ถึงเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ และสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?

ย้อนกลับไปถึงช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรมราว ๆ ปี 1800 ‘เครื่องจักร’ กลายเป็นเครื่องมือในการผลิตสิ่งของต่าง ๆ ออกสู่ตลาด จนทำให้เกาะอังกฤษในเวลานั้น เปลี่ยนผ่านจากยุคการทำเกษตร มาสู่สังคมเมืองอย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมาก็คือ เทคนิคการผลิตชิ้นงานแบบดั้งเดิมด้วยแรงงานฝีมือ จึงเริ่มเลือนหายไปเรื่อย ๆ ถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นวิกฤตเลยก็ว่าได้ ‘วิลเลียม มอร์ริส’ (William Morris) ศิลปินผู้มากด้วยความสามารถ และหลงใหลในงานคราฟต์เป็นชีวิตจิตใจ รู้ซึ้งถึงปัญหาใหญ่นี้เป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มลุกขึ้นมาปกป้อง ฟื้นฟูเทคนิคงานฝีมือขึ้น โดยเริ่มจากสิ่งที่เขาถนัดอย่างการพิมพ์ด้วยวิธีแกะสลักไม้ และการออกแบบลวดลายสิ่งทอ

หนึ่งความจริงที่ชวนให้รู้สึกอิจฉาตาร้อนก็คือ การที่มอร์ริสก้าวข้ามขั้นมาเป็นหนึ่งในหัวแรงสำคัญของขบวนการ Arts & Crafts หรือ ศิลปะงานฝีมือ ได้นั้น เป็นเพราะว่า มอร์ริสมีชีวิตที่กินดีอยู่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้เขามีเวลาว่าทำงานที่ตัวเองรักได้อย่างสะดวกสบายใจ ซึ่งอาจต่างจากศิลปินคนอื่นที่เราเคยรู้จักมักคุ้นกันมา

วิลเลียม มอร์ริส เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางที่มั่งคั่งในเมือง Walthamstow ทางตะวันออกของลอนดอน ปี 1834 เขาใช้ชีวิตในวัยเด็กอย่างมีความสุขไปกับการวาดรูป อ่านหนังสือ เดินทางเที่ยวชมป่าไม้ และสำรวจความงามของอาคารอันโดดเด่นหลายต่อหลายแห่ง ประสบการณ์ที่มอร์ริสได้รับโดยเฉพาะจากภูมิทัศน์ทางธรรมชาติ และสถาปัตยกรรม กระตุ้นให้เขาเกิดความสงสัยใคร่รู้ และเดินตามความฝันของตัวเอง โดยเริ่มจากการปรับแต่งบ้านใหม่ในแบบที่ตัวเขาต้องการ

มอร์ริสตระหนักได้ว่า การจะสร้างสิ่งของสักอย่างให้ถูกใจ เขาจำเป็นต้องลงแรงและออกแบบทุกส่วนด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็เริ่มขลุกตัวอยู่กับงานปัก, การทำพรม, การเขียนบทกวี และวรรณกรรม อีกทั้งยังใช้เวลาไปกับการฝึกพิมพ์แกะสลักไม้ รวมถึงสร้างลวดลายสิ่งทอ จนเรียกได้ว่า มอร์ริส กลายมาเป็นหนึ่งในคนที่บุกเบิกทางสายคราฟต์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในศตวรรษที่ 19!

เมื่อมอร์ริสกลับจากการดื่มด่ำชมสวนที่บ้านหรือในแถบชนบท เขาจะเริ่มหยิบเอาแรงบันดาลใจจากธรรมชาติระหว่างทาง มาสร้างเป็นผลงานอันประณีตโดยละทิ้งรูปแบบเสมือนจริงตามตาเห็น และเริ่มร่างภาพด้วยลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว งานของเขามักจะแสดงให้เห็นถึงใบไม้ที่หมุนวนเป็นเกลียวตามเถาวัลย์ และกิ่งดอกไม้ที่แตกหน่อสวยงาม เมื่อได้ไอเดียในการทำงาน มอร์ริสจึงเริ่มพิมพ์ภาพวอลเปเปอร์ ด้วยการใช้บล็อกไม้แพร์ที่ถูกแกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรบรรจง แต่งเติมสีที่ย้อมด้วยวิธีธรรมชาติ จากนั้นจึงกดภาพพิมพ์โดยใช้เท้าลงน้ำหนักเพื่อให้สีติดทนนาน การทำงานซ้ำ ๆ ด้วยความตั้งใจ ส่งผลให้ผลของเขาสวยงามไร้ที่ติ และยืนอยู่เหนือกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน

แม้ว่าในทุกวันนี้มอร์ริสจะจากไปแล้ว แต่ภาพวอลเปเปอร์สุดคราฟต์ที่พิมพ์ด้วยบล็อกดั้งเดิมตามกรรมวิธีของเขาในนาม Morris & Co. ยังคงมีให้เหล่าผู้รักงานทำมือ ได้หาเก็บเป็นของสะสมอยู่ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่างานที่ต้องลงแรงกายและใจ ย่อมพ่วงมากับราคาที่สูงถึง 327$ ต่อม้วน ซึ่งก็น่าเสียดายที่ในทางกลับกัน คอลเลคชั่นงานของเขาที่ถูกพิมพ์ออกมาด้วยเครื่องจักร มีราคาเพียง 50$ ซึ่งถือได้ว่าต่ำกว่าราคางานคราฟต์หลายเท่าตัวเลยทีเดียว

อ้างอิง : The Revival of the Arts and Crafts Movement and the Artisans Behind It