เปิดประวัติศาสตร์รองเท้า ‘หน้ายิ้ม’ รันวงการ Street Culture!

เปิดประวัติศาสตร์รองเท้า ‘หน้ายิ้ม’ รันวงการ Street Culture!

เปิดประวัติศาสตร์รองเท้า ‘หน้ายิ้ม’ รันวงการ Street Culture!

เชื่อว่าถ้าไปรื้อกรุคอลเลกชั่นรองเท้าคู่โปรดของเหล่าสาย Street Style ทั้งหลาย ย่อมต้องมีรองเท้าผ้าใบรูปทรงสุดคลาสสิกที่มีเอกลักษณ์เป็นเส้นโค้งเหมือนรอยยิ้มประดับไว้ที่หัวรองเท้าอยู่ติดตู่กันทุกบ้าน...

ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงรองเท้า ‘Converse Jack Purcell’ รองเท้าผ้าใบใส่ทน รุ่นในตำนานจาก Converse ที่สวมใส่กันได้ทุกเพศทุกวัย จนกลายเป็นรอยยิ้มที่พบเห็นได้ทั่วไปตั้งแต่บนท้องถนนไปจนถึงบนเวทีคอนเสิร์ต เพราะนอกจากมีการออกแบบให้สวมใส่สบายเท้าแล้ว ยังมีรูปทรงที่เข้ากับเสื้อผ้าได้ง่าย แมทช์สไตล์แบบไหนก็ดูเข้ากัน

ว่าแต่.. เห็นชื่อกันมานาน แล้ว Jack Purcell นี่คือใครกันล่ะ!? เหตุใดชื่อนี้จึงได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของรองเท้าผ้าใบสุดคลาสสิกที่ใครๆ ก็สวมใส่ตั้งแต่ในกลุ่มเด็กสเก็ต ไปจนถึงเหล่าศิลปินคนดังทั่วโลก ไม่ว่าจะ Steve McQueen, James Dean, Kurt Cobain, The Beatles หรือแม้กระทั่งขวัญใจวัยเราอย่างคูมอิ้งค์-วรันธร !

GroundControl จะขอพาทุกคนนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปทำความรู้จักชายที่ชื่อว่า ‘Jack Purcell’ ผู้ให้กำเนิดรอยยิ้มบนหัวรองเท้า Converse รุ่นพิเศษนี้

ที่สำคัญ ไปค้นหาคำตอบกันว่า เหตุใด ‘รอยยิ้ม’ บนรองเท้าผ้าใบรุ่นนี้ถึงเป็นรอยยิ้มสุดป็อปที่เห็นได้ทุกที่ แล้วทำไมคนที่เป็นตัวเองแบบมั่นใจสุด ๆ ถึงได้เลือกที่จะสวมรองเท้ารุ่นนี้ ไปค้นหารอยยิ้มในทุกจังหวะชีวิตด้วยกันเลยย

สอบถามรายละเอียดรุ่น Jack Purcell เพิ่มเติมได้ที่ LINE Official Converse TH

• LINE ID : @conversethai

หรือสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ • Lazada : https://bit.ly/3sr13uP

Who is Jack?

John Edward "Jack" Purcell เกิดเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 1903 ที่เมืองออนตาริโอ ประเทศแคนาดา พร้อมกับพรสวรรค์ในด้านกีฬา โดยเฉพาะกีฬากอล์ฟและแบดมินตัน ซี่งย้อนกลับไปในแถบอเมริกาและแคนาดาช่วงนั้น กีฬาแบดมินตันก็เป็นอะไรที่ฮิตสุด เรียกได้ว่าตีกันในบ้านคนชนชั้นกลางแทบทุกครัวเรือน ซึ่ง Purcell เองก็เริ่มเล่นกีฬาชนิดนี้ในปี 1924 และเพียงไม่นาน เขาก็หวดลูกขนไก่พาตัวเองขยับขึ้นจากระดับผู้เล่นท้องถิ่นไปสู่ระดับชาติ จนเป็นตัวแทนของแคนาดาไปลงแข่งที่ประเทศอังกฤษในปี 1931 แถมคว้าชัยกลับมาได้ด้วย

เมื่อ Purcell กลับมายังบ้านเกิด เขาก็พบว่าตัวเองถูกถอดออกจากทำเนียบมือสมัครเล่นเสียแล้ว เพราะหลังจากที่ Purcell เข้าสู่วงการแบดมินตันอาชีพได้เพียงปีเดียว เขาก็ ‘หวด’ นักกีฬาแบดมินตันตัวแทนจากชาติอื่น ๆ ไปจนสิ้น กระทั่งในปี 1933 Jack Purcell ก็ถูกประกาศให้เป็นแชมป์โลกแบดมินตันคนใหม่ที่ฟาดผู้เล่นจากแคนาดา อเมริกา และสหราชอาณาจักรคนอื่น ๆ ไปจนสิ้น และกระทั่งถึงวันที่เขาแขวนไม้ในปี 1945 ก็ไม่มีใครสามารถล้มแชมป์ของเขาได้ ความสำเร็จและชัยชนะอันยิ่งใหญ่นี้ก็ได้ส่งผลให้ Jack Purcell กลายเป็นซูเปอร์สตาร์และตำนานของวงการแบดมินตันแห่งศตวรรษที่ 20...

...ก่อนที่ในเวลาต่อมา ชื่อของเขาจะกลายเป็นตำนานในอีกบทหนึ่ง

BF Goodrich จากวงการล้อยาง ก้าวสู้สมรภูมิรองเท้ากีฬา

ในขณะเดียวกันฟากฝั่งโลกของ Sportwear ยุคนั้น นับได้ว่าเป็นสมรภูมิย่อม ๆ ของเหล่าบริษัทผลิตยางรถยนต์ที่ล้วนอยากกระโจนเข้ามาเป็นผู้เล่นในการชิงชัยเจ้าแห่งรองเท้ากีฬา โดยในตอนนั้นก็มีผู้เล่นตัวสำคัญอย่าง Firestone ที่มีสายการผลิตรองเท้าเป็นของตัวเอง หรือ Dunlop เองก็สามารถขายรองเท้ากีฬารุ่น ‘Sandshoes’ ในสหรัฐอเมริกาได้ถึงปีละ 2.2 ล้านคู่ ในตอนนั้นจึงเหลือเพียงแบรนด์ยางรถยนต์อีกหนึ่งเจ้าที่กำลังมองหาลู่ทางเพื่อกระโจนเข้ามาในตลาด ซึ่งแบรนด์นั้นก็คือ BF Goodrich

แม้จะเข้ามาทีหลัง แต่ตอนนั้น BF Goodrich ก็มีภาพในใจที่ชัดเจน ทางแบรนด์ต้องการที่จะเจาะกลุ่มตลาดรองเท้าแบดมินตัน และพวกเขาก็มองหาคนที่จะสามารถมาช่วยออกแบบรองเท้าแบดมินตันที่มีไอเดียความสร้างสรรค์ใหม่ ๆ และที่สำคัญคือต้องเป็นวงในที่รู้จริงหรือมีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับรองเท้าแบดมินตัน… ซึ่งผู้ที่จะเข้ามารับหน้าที่นี้ในตอนนั้นก็คงไม่มีใครอื่น นอกจากแชมป์โลกแบดมินตันดาวรุ่งที่ชื่อว่า Jack Purcell

Converse Jack Purcell รองเท้าคู่ใจมืออาชีพและสมัครเล่น

ในปี 1935 รองเท้า BFGoodrich Jack Purcell ก็ได้เปิดตัวและกลายเป็นของต้องมีของเหล่านักแบดมินตันในเวลานั้น โดยจุดเด่นของรองเท้าแบดมินตันรุ่น Jack Purcell ก็คือพื้นรองเท้ายางและตัวซัพพอร์ตที่เป็นแกนเหล็กซึ่งสอดอยู่ใต้พื้นรองเท้า ทำให้สามารถรองรับการกระแทกจากการวิ่งบนคอร์ตแบดมินตันได้เป็นอย่างดี เสริมด้วยอีกหนึ่งลูกเล่นที่จะกลายมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรองเท้ารุ่นนี้ นั่นก็คือ ‘รอยยิ้ม’ ยางสีน้ำเงินที่อยู่ตรงโค้งบริเวณนิ้วเท้า ชายตามองนิดเดียวก็รู้ทันทีว่านี่แหละ คือรองเท้ารุ่น Jack Purcell

และแม้ว่าความตั้งใจแรกคือการออกแบบรองเท้าเพื่อการสวมวิ่งบนคอร์ตแบดมินตันโดยเฉพาะ แต่ผู้คนในยุคนั้นก็พากันสวมใส่เจ้ารองเท้าดีไซน์เก๋และแสนทนทานคู่นี้ไปหวดลูกขนไก่กันบนคอร์ตทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นพื้นหญ้า หรือพื้นดิน และใส่กันตั้งแต่มือสมัครเล่น ไปจนถึงนักกีฬามืออาชีพระดับโลกของยุคนั้น

และก็ใช้เวลาเพียงไม่นานเลยก่อนที่รองเท้ารุ่น Jack Purcell จะถูกนำไปใส่เดินบนท้องถนน กลายเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่น Street Style ใส่ทั้งในชุดลำลอง หรือจะผสมกับชุดทางการก็เท่ไปอีกแบบ กระทั่งในปี 1972 ที่ Converse ได้เข้ามาซื้อกิจการของ BFGoodrich ซึ่งทำให้รองเท้า Jack Purcell ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Converse เป็นที่รู้จักในฐานะ Converse Jack Purcell นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

‘Converse’ รองเท้ากีฬาคุณภาพจากการออกแบบเพื่อทุกคน

สำหรับบ้านหลังใหม่ของ Jack Purcell ที่ชื่อว่า ‘Converse’ นั้นก็คือแบรนด์รองเท้าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอายุไม่แพ้ Jack Purcell โดย Converse ก่อตั้งขึ้นในปี 1908 ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา จากไอเดียริเริ่มของ Marquis Mills Converse ผู้จัดการโรงงานผลิตรองเท้าทำจากยางสำหรับคนทุกเพศทุกวัย สะสมความรู้จนมาตั้งบริษัทผลิตรองเท้าของตัวเอง กระทั่งในปี 1915 Converse ก็ได้เล็งเห็นช่องทางทำธุรกิจใหม่ นั่นก็คือรองเท้าสำหรับเล่นกีฬาโดยเฉพาะ

ในปี 1917 รองเท้าบาสเก็ตบอลที่ชื่อว่า Converse All-Star รุ่นแรกก็ได้ออกวางขายในตลาด แต่ตำนานของรองเท้าบาสเก็ตบอล Converse นั้นกลับเริ่มต้นจริง ๆ ในปี 1923 เมื่อนักบาสเก็ตบอลนามว่า Charles H. "Chuck" Taylor หิ้วรองเท้าบาสที่เขาซื้อจากที่อื่นเข้ามาในร้านของ Converse แล้วบ่นถึงการออกแบบที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางจนทำให้คนใส่ปวดเท้า และนั่นเองที่ Converse ได้จ้าง Taylor ให้มาช่วยออกแบบรองเท้าบาสเก็ตบอลให้กับแบรนด์ จนกระทั่งกลายเป็นรองเท้า Converse รุ่น Chuck Taylor All Star ที่โด่งดังทั้งในหมู่นักบาสเก็ตบอลไปจนถึงคนหนุ่มสาวตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Converse ได้เปลี่ยนโรงงานของตัวเองเป็นสายการผลิตรองเท้า เครื่องแบบ และอุปกรณ์ที่ใช้ในสนามรบสำหรับเหล่าทหารอเมริกัน จนกระทั่งไฟสงครามสิ้นสุดลง Converse จึงได้กลับมารันวงการรองเท้ากีฬาอีกครั้ง อันนำมาสู่การซื้อกิจการแบรนด์รองเท้าที่ดังที่สุดในยุคนั้นอย่าง Jack Purcell ของ BFGoofrich นั่นเอง

The Smile รอยยิ้มพิมพ์ใจไปกับทุกก้าวเดิน

เมื่อได้มาอยู่ภายใต้หนึ่งในแบรนด์รองเท้าสตรีทแวร์ที่ฮอตฮิตที่สุดแห่งยุค Converse Jack Purcell ก็ได้กลายเป็นรองเท้าสุดฮิตอีกรุ่นหนึ่งจาก Converse ที่เราจะเห็นได้ทั่วไปไล่ตั้งแต่บนท้องถนนไปถึงบนเวทีคอนเสิร์ต

กระแสความฮิตของรองเท้าผ้าใบที่มีเอกลักษณ์เป็นเส้นโค้งที่หัวรองเท้าคล้ายรอยยิ้มซี่งถูกสวมใส่โดยแฟชั่นไอคอนแห่งยุคไม่ว่าจะเป็น The Beatles, Kurt Cobain ไปจนถึง วงร็อก-ฮาร์ดคอร์พังก์ระดับตำนานอย่าง Fugazi ก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์รอยยิ้มเบ่งบานไปทั่วถนนทุกแห่งหน บรรดาวัยรุ่นในยุคนั้นต่างก็พากันสวมใส่รองเท้าหน้ายิ้มนี้ตามเหล่าคนดัง ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ Converse Jack Purcell ก็กลายเป็นรองเท้าผ้าใบรุ่นคลาสสิกที่แค่เห็นรอยยิ้มบนหัวรองเท้าปุ๊บก็รู้ว่า นี่คือ Converse Jack Purcell

ยิ้มในจังหวะของเรา

จากความ ‘ปัง’ เมื่อครั้งแรกผลิต สู่รองเท้าผ้าใบในตำนานที่สวมใส่โดยเหล่าคนดังมาทุกยุค Converse Jack Purcell ได้กลายเป็นมากกว่ารองเท้าผ้าใบ เพราะแค่เห็นรอยยิ้มบนหัวรองเท้า ก็พอจะเดาได้เลยว่าเจ้าของรองเท้าคู่นี้ต้องมีสปิริตของการ ‘กล้า’ ทลายกรอบเพื่อที่จะเป็นตัวเองแบบสุด ๆ เหมือนกับผู้ให้กำเนิดรอยยิ้มบนหัวรองเท้า และเหล่าตัวพ่อตัวแม่ผู้นำแฟชั่นแต่ละยุคที่เคยสวมรองเท้าผ้าใบรุ่นนี้ไปเฉิดฉายมาแล้วมากมาย

และในปีนี้ ใครที่มี Converse Jack Purcell เป็นของตัวเอง ก็ขอให้หยิบเจ้ารองเท้าหน้ายิ้มมาสวม ผูกเชือกรองเท้าให้กระชับ เพราะ Converse เขาจะชวนให้เราออกไปค้นหาจังหวะของ ‘รอยยิ้ม’ ในแบบของเราเองกัน! แบบที่ศิลปินสาวเจ้าของรอยยิ้มโลกสดใสอย่าง ‘อิ้งค์-วรันธร เปานิล’ เขาค้นพบรอยยิ้มของตัวเองในทุกจังหวะการก้าวเดินของชีวิต ทั้งในเสียงดนตรี เมื่อมองลงมาจากเวทีแล้วเห็นรอยยิ้มของคนดู ระหว่างทำเพลงในห้องอัดที่ควรจะเครียดสุด ๆ แต่เธอกลับยิ้มออกมาได้กว้างที่สุด เพราะเป็นการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก หรือแม้กระทั่งแค่ก้าวออกจากบ้านในตอนเช้าแล้วเจอความสดใสของเจ้าหมาลูกรักกระโดดทักทาย ซึ่งเจ้าตัวก็ได้เผยถึงเคล็ดลับในการสร้างรอยยิ้มในแบบของตัวเองว่า แค่ค้นหาความเป็นตัวของตัวเองแบบที่ไม่ต้องไปก้าวตามใคร หาจ้งหวะการใช้ชีวิตและลงมือทำในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขที่สุด และที่สำคัญ ใส่ความเป็นตัวเองไปในทุก ๆ ที่ที่เราไป เราก็จะยิ้มในแบบของตัวเองได้สดใสที่สุด

...เพราะแค่รู้ว่าวันนี้จะได้ออกไปทำอะไรที่ตัวเองชอบ ได้ใช้ชีวิตในจังหวะของตัวเอง และได้เป็นตัวเองแบบสุด ๆ คูมอิ้งค์ก็ยิ้มได้ทั้งวันเลยล่ะ 🙂