เจ้าพ่อแห่งวงการ Pop Art และศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 เราอาจจะรู้จักเขาผ่านภาพซิลค์สกรีนอันโด่งดังระดับโลก ผู้คลั่งไคล้ในเรื่องของคนดัง วงการบันเทิง และสังคมบริโภคนิยม

เจ้าพ่อแห่งวงการ Pop Art และศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 เราอาจจะรู้จักเขาผ่านภาพซิลค์สกรีนอันโด่งดังระดับโลก ผู้คลั่งไคล้ในเรื่องของคนดัง วงการบันเทิง และสังคมบริโภคนิยม

92 ปี Andy Warhol ศิลปินผู้เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว

เจ้าพ่อแห่งวงการ Pop Art และศิลปินที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 เราอาจจะรู้จักเขาผ่านภาพซิลค์สกรีนอันโด่งดังระดับโลก ผู้คลั่งไคล้ในเรื่องของคนดัง วงการบันเทิง และสังคมบริโภคนิยม 

แต่ถ้าจะต้องบอกว่า Warhol เป็นศิลปินด้านไหนกันแน่ ก็คงยากอยู่ เพราะเขาเคยทำมาแทบจะหมดแล้วทั้งสิ้น ในวาระวันเกิดของ Andy Warhol ครบรอบ 92 ปีนี้ GroundControl ขอพาคุณให้รู้จักตัวตนของ Warhol ผ่านสารพัดงานศิลปะหลากแขนง และผลงานโดดเด่นที่เขาสร้างจนกลายเป็นตำนานในทุกวันนี้

Andy Warhol is a Painter

Andy Warhol เริ่มพัฒนาศักยภาพด้านศิลปะมาตั้งแต่วัยเด็ก ในช่วงที่เขาป่วยเป็นโรค Sydenham’s chorea (อาการเคลื่อนไหวผิดปกติ) ที่ทำให้มีบางช่วงต้องรักษาตัวติดเตียง และในระหว่างช่วงนี้นี่เองที่เขาใช้เวลาฝึกฝนฝีมือ ฟังเพลงป๊อปจากวิทยุ และเริ่มสะสมภาพเหล่าดาราจากในนิตยสาร สั่งสมให้ Warhol ได้เป็นแบบที่เราเห็นในทุกวันนี้

พอถึงวัยมหาลัยก็เรียนต่อในสายด้าน Pictorial Design และเริ่มต้นเข้าวงการด้วยการเป็นนักวาดภาพประกอบให้กับนิตยสารและโฆษณา ผลงานสร้างชื่อในช่วงนั้น เริ่มจากการวาดรูปรองเท้าให้กับ Glamour Magazine ในช่วงปี 1940 ด้วยลายหมึกไม่เหมือนใคร สร้างชีวิตชีวาให้กับรองเท้า ก็ไปเตะตาผู้ผลิตรองเท้า Israel Miller เข้าให้ และได้ไปรับหน้าที่เป็นคนออกแบบรองเท้าให้กับ Miller ในที่สุด 

ผลงานการวาดรองเท้าของเขาเรียกว่าสะเทือนทั้งวงการออกแบบและศิลปะ เปิดทางให้เขาได้เริ่มเข้าสู่วงการศิลปะอย่างเต็มตัวและมีผลงานจัดแสดงในนิทรรศการต่างๆ 

หลังจากใช้การวาดสร้างงานมาได้ซักพัก Warhol ก็เริ่มหันมาใช้ซิล์คสกรีนเป็นตัวช่วยในการสร้างสรรค์ผลงาน ประเดิมชิ้นแรกด้วยภาพที่เราล้วนคุ้นตา Campbell’s Soup Cans และ Coca-Cola bottles 

และด้วยวิธีการทำซ้ำแบบซิล์คสกรีนนี่แหละที่โดนใจ Warhol สุดๆ ด้วยกระบวนการที่สามารถผลิตได้จำนวนมากแบบเดียวกับโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้การทำงานศิลปะแบบซิล์คสกรีนถ่ายทอดวัฒนธรรมบริโภคนิยมในแบบที่เขาต้องการ ขยี้การทำซ้ำจนสิ่งของหรือบุคคลเหล่านั้นกลายเป็นผลิตภัณฑ์สุดแมส

 

Andy Warhol is a Photographer

Andy Warhol เริ่มหลงเสน่ห์กล้องถ่ายภาพในยุค 70s ถึง 80s และพกกล้องโพลารอยด์ SX-70 Polaroid camera ติดตัวอยู่เสมอ เขาถ่ายรูปเพื่อบันทึกผู้คน เรื่องราวในชีวิตประจำวันเหมือนเป็นไดอารี่อีกรูปแบบนึง ทั้งสำหรับความทรงจำส่วนตัวและเพื่อศึกษาเป็นต้นแบบก่อนทำภาพซิล์คสกรีน 

 

เพิ่มเติมด้วยความสนิทสนมในวงการร่วมกับเหล่าศิลปินดาราเซเล็บมากมาย ภาพถ่ายโพลารอยด์ของ Warhol กลายเป็นเหมือนๆ กับบันทึกจดหมายเหตุประจำยุค เปิดเผยมุมส่วนตัวแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ถ่ายทอดออกมาในภาพโพลารอยด์เหล่านี้

 

Andy Warhol is a Band Manager

จะเป็นนักดนตรีคงไม่ใช่ แต่ Andy Warhol ก็เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันวงร็อคในตำนานอย่าง The Velvet Underground ให้มีชื่อเสียงค้าฟ้าอย่างทุกวันนี้

จริงๆ วง The Velvet Underground เริ่มต้นกันมาตั้งแต่ช่วง 1964 แต่บุพเพสันนิวาสนำพาให้ Warhol ได้มาเจอเข้ากับวงในปี 1966 ผันตัวมาเป็นผู้จัดการวง และพ่วงตำแหน่งโปรดิวเซอร์ไปด้วย (แต่ก็ทำแค่ในนามเท่านั้นนะ เพราะในฝั่งครีเอทีฟ Warhol ก็ปล่อยอิสรภาพให้วงทำเพลงอย่างเต็มที่ โดยมีตัวเองคอยปะทะกับนายทุนให้เอง)

ด้วยชื่อเสียงของ Warhol เอง ก็เป็นแรงเสริมที่ทำให้วงนี้เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น จนได้เซ็นสัญญากับ MGM’s Verve Records ในที่สุด แถมยังชักชวน Nico นางแบบนักแสดงสาวชาวเยอรมัน มาเป็นนักร้องนำ กลายเป็นอัลบั้ม “The Velvet Underground & Nico” ด้วยส่วนผสมสำเนียงการร้องเพี้ยนๆ ของ Nico การทดลองเสียงดนตรีแบบ avant-garde ผสม psychedelic ทำให้อัลบั้มนี้ขึ้นหิ้งระดับท้อปๆ อัลบั้มเพลงที่ดีที่สุดตลอดกาล

ส่วนผลงานการออกแบบปกนั้นไม่พูดถึงเป็นไม่ได้ เพราะนี่คือการออกแบบโดย Warhol เอง เป็นรูปกล้วยที่ติดสติ๊กเกอร์ไว้ว่า PEEL SLOWLY AND SEE (แปลว่าลอกช้าๆ แล้วดูสิ) ตรงด้านบน และใครก็ตามที่ปลอกเปลือกกล้วยนั้นจริงๆ ก็จะพบว่าด้านในมีเนื้อกล้วยสีชมพูซ่อนอยู่

น่าเสียดายที่ Warhol อยู่กับ The Velvet Underground ได้ไม่นานก็ต้องแยกทางจากกันอันด้วยความคิดเห็นไม่ลงตัว รวมไปถึงตัว Nico เองก็ลาจากวง ไปทำผลงานเพลงของเธอเองด้วยเช่นกัน 

 

Andy Warhol is a Filmmaker

"I've stopped painting. I'm now making movies."
Andy Warhol ขอพักการวาดภาพชั่วคราว และเริ่มกระโดดลงมาทำหนังของตัวเองหลักๆ จะอยู่ในช่วงปี 1963 - 1968 รวมๆ แล้วกว่า 60 เรื่อง แต่จะทำหนังทั้งทีในสไตล์แบบ Warhol ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ตั้งแต่ “Sleep” ที่ถ่ายนักกวี John Giorno นอนหลับตลอดทั้งเรื่องรวม 6 ชั่วโมง และที่พีคมาก (ความจริงแอดมินชอบส่วนตัว) คือเรื่อง “Blow Job” หนังช็อตเดียว ไม่เห็นอะไรมาก แค่หน้าของ DeVeren Bookwalter ตอนกำลังได้รับออรัลเซ็กซ์ ! / ยอมแล้วในความไม่ธรรมดานี้ 
 

หนังที่สร้างชื่อที่สุดในฐานะผู้กำกับของ Warhol ก็คือ “The Chelsea Girls” ในปี 1966 ซึ่งรวบรวมเหล่าคนมีชื่อเสียงปั้นโดย Andy Warhol เอง เกี่ยวกับชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ใน Chelsea Hotel ใจกลางนิวยอร์ค ดำเนินเรื่อง (แบบไม่มีเรื่อง) ด้วยการนำสองจอมาวางข้างขนานกัน โดยทั้งสองจอไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กันเลย 

ในสมัยนั้นที่ทุกอย่างยังคง manual มากๆ การจะฉายหนังเรื่องนี้ของ Warhol ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เครื่องฉายสองเครื่องวางข้างๆ กันแล้วต้องจัดการให้มันฉายพร้อมๆ กันซึ่งจะให้เป๊ะนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นการดูหนังเรื่องนี้ในโรงแต่ละครั้งจึงพิเศษมากๆ เพราะไม่มีครั้งไหนๆ จะเหมือนกันเลย