ปล่อยใจ ปล่อยจอย ชวนปลูกดอกไม้ตามพ่อแห่งลัทธิประทับใจ Claude Monet
สวนของฉันเป็นงานศิลปะชิ้นเอกที่งดงามที่สุด
ถ้าใครรู้จักภาพวาดและนิสัยของพ่อแห่งลัทธิประทับใจฝรั่งเศสอย่าง Claude Monet คงจะรู้ว่านอกจากการวาดภาพแล้ว การทำสวก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เขาหลงใหลและลงเงินลงแรงไปมาก แถมภาพวาดหลายร้อยชิ้นของเขาก็ได้รับแรงบันดาลใจจากสวนขนาดกลางแห่งนี้ด้วย
Monet จริงจังกับการทำสวนมากชนิดที่ออกแบบวางแปลนด้วยตนเองว่าตรงไหนจะปลูกอะไร ฤดูไหนต้องมีไม้พันธุ์อะไร เขายังขยันหาพันธุ์ไม้แปลก ๆ มาให้คนสวนทั้ง 7 คน (เวอร์มากกก) มาดูแลให้สวนของเขาสวยงามอยู่เสมอ ทั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ชาวบ้านรอบข้างหนีไปอาศัยที่อื่น เขาก็ยังยืนยันจะอยู่ที่สวนแห่งนี้
เพราะมากกว่าสวนดอกไม้ สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนผืนผ้าใบอันเป็นรูปธรรมที่เขาจะแต่งแต้มให้เป็นสีสันต่าง ๆ ตามดอกไม้ที่เลือกสรร และปล่อยให้มันได้เติบโตงอกงามตามธรรมชาติ มากกว่าสวนดอกไม้ นี่คือชีวิตและดวงใจของ Monet ไม่ต่างจากภาพวาดที่เขารังสรรค์
แม้เราจะไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมสวนของเขาถึงที่กันง่าย ๆ แต่ถ้าใครอยากปลูกดอกไม้ตาม Monet ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ก่อนอื่น ทำความเข้าใจไว้ว่าสวนของ Monet แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือสวนดอกไม้แบบฝรั่งเศสที่ชื่อว่า Clos Normand บริเวณหน้าบ้าน และสวนน้ำหรือสระบัวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพพิมพ์ญี่ปุ่นซึ่งอยู่อีกฟากฝั่งถนน
ซุ้มโค้ง Grand Allée แสนงดงามกับกุหลาบเลื้อย
Clos Normand เป็นสวนขนาด 1 เฮกตาร์ที่อยู่ลาดลงจากบ้านไปยังถนน สวนแห่งนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูงซึ่งมีไม้ผลยืนต้นเป็นสง่า กลางสวนจะมีทางเดินทอดยาวจากประตูบ้านซึ่งด้านบนนั้นโอบล้อมด้วยซุ้มโค้ง 6 ซุ้ม
ซุ้มเหล็กของโมเนต์ปกคลุมด้วยกุหลาบสีแดงที่ลัดเลื้อยไปตามส่วนโค้งเว้าต่าง ๆ ส่วนราวบันไดข้างบ้านในช่วงปลายฤดูร้อนก็ไม่แพ้ซุมโค้งเหล็ก เพราะโมเนต์สรรหากุหลาบพันธุ์อื่นมาปลูกด้วย
เนสเตอร์เตียมที่ตรอกกลาง
ใต้ซุมโค้งเหล็กคือทางเดินที่ทอดยาวจากประตูบ้าน ข้างทางเดินนั้นอุดมด้วยเนสเตอร์เตียมซึ่งเป็นพืชเลื้อยที่หลงรักแดดจัด น้ำแล้ง เรียกว่าปล่อยทิ้งปล่อยขว้างก็ยังเติบโตงอกงามได้ กลเม็ดเคล็ดลับให้ดอกสะพรั่งและเลื้อยยาวไปจนถึงใต้ซุ้มโค้งแบบโมเนต์คืออย่าบำรุงมากเกินไปและอย่าปลูกในร่ม เพราะไม่อย่างนั้นใบจะดกมากกว่าดอกนั่นเอง
ถัดจากพรมเนสเตอร์เตียม โมเนต์จะปลูกไม้ยืนต้นสูง อย่างดอกแอสเตอร์และดอกทานตะวันยืนเรียงเป็นแนวด้านข้างเพื่อสร้างอุโมงค์ดอกไม้ให้สมบูรณ์งดงาม
ดอกไม้โทนร้อนเล่นแสงกับดวงอาทิตย์
สวนของโมเนต์ไม่ได้เป็นเพียงสวนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองการใช้สีของเขาในภาพวาดด้วย เพราะในพื้นที่หนึ่งจะแสดงสีโทนร้อนและเย็นที่หลากหลาย
ในสีโทนร้อนก็จะไม่ได้มีเพียงดอกไม้สีแดงเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยสีชมพู สีส้ม สีเหลืองซึ่งจะเล่นกับแสงอาทิตย์ได้หลากหลายแบบตามที่สายตาของเขาต้องการ ซึ่งไม้ดอกเหล่านี้ก็จะสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนไปในแต่ละช่วงฤดูด้วย
ดอกไม้โทนเย็นสร้างเอฟเฟกต์หมอก
นอกจากดอกไม้สีสด ๆ เขายังปลูกดอกไม้สีโทนเย็นอย่างสีน้ำเงิน สีเทา หรือสีเขียวประปรายเพื่อสร้างเอฟเฟกต์คล้ายหมอกยามเช้าที่เขาหลงใหล
ทั้งลาเวนเดอร์สีน้ำเงิน ฟอร์เก็ตมีนอตสีน้ำเงิน อกาแพนทัส ต้นควันสีม่วง (Smoke Tree) ที่มีดอกเป็นพวงฟุ้งคลายควันหรือเขม่า และโดยดอกไอริสสีม่วง ซึ่งจริง ๆ มีหากหลายสีสันมากเพราะ Monet ชอบดอกไอริสสุด ๆ ไม่แพ้กับ Vincent Van Gogh เลยทีเดียว
ดอกไม้สีขาวกระจายทั้งสวน
นอกจากเฉดสีที่หลากหลายเพื่อให้อารมณ์เหมือนเดินอยู่ในสวนตั้งแต่ยามเช้าหมอกลงจนยามบ่ายแดดจ้าแล้ว เขายังสร้างไดนามิกและสร้างความแวววาวระยิบระยับให้สวนตัวเองด้วยการกระจายดอกไม้สีขาวหรือดอกไม้ที่มีส่วนของสีขาวทั่วทั้งสวนด้วย เช่น ยิปโซฟิล่าและฟอร์เก็ตมีนอท
ไม้ยืนต้นโอบล้อมม้านั่ง
ส่วนหนึ่งของสวนจะมีม้านั่งระแนงสีเขียวหลายตัววางตั้งอยู่ ซึ่งเขาไม่ได้จัดวางพวกมันอย่างละเลย แต่กลับตั้งใจให้พวกมั้นตั้งอยู่ตรงนั้นเลียนแบบ Le Petit Hameau ในบริเวณพระราชวัง Versailles ที่เขาเคยไปวาดภาพกับเพื่อนอย่าง Renoir
ไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาเก้าอี้ให้ผู้คนได้พบปะพูดคุยเหล่านี้มีทั้งซากุระญี่ปุ่น ต้นแอปเปิ้ลญี่ปุ่น ต้นเมเปิลญี่ปุ่น ต้นเมเปิ้ลไซคามอร์ ต้นเกาลัด และต้นมะนาว ส่วนใหญ่เป็นสกุลพรุนญี่ปุ่นที่เขาปลูกแทนต้นแอปเปิ้ลเก่าแก่ที่ติดมากับบ้าน
ดอกบัว ต้นหลิว และดอกไม้สีฉูดฉาดในสวนน้ำญี่ปุ่น
ในปี 1893 หรือ 10 ปีหลังจากที่ Monet ตั้งรกรากที่ Giverny เขาได้ซื้อที่ดินใที่อีกด้านหนึ่งของทางรถไฟ ที่ดินตรงนั้นมีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน และใช่แล้ว นี่คือสวนน้ำที่เต็มไปด้วยดอกบัวหลากหลายสายพันธุ์อันเป็นต้นแบบให้ภาพวาดดอกบัวของเขาหลายรอยภาพ
แรกเริ่มเดิมที ลำธารที่ไหลผ่านพื้นที่แห่งนี้เป็นเพียงลำธารเล็ก ๆ เท่านั้น โมเนต์จึงจ้างขุดบ่อน้ำเพื่อให้ลำธารแห่งนั้นขยายใหญ่ขึ้น ช่วงแรก ชาวนาระแวกใกล้เคียงต่อต้านการทำสวนน้ำของเขาเพราะกลัวต้นไม้ต่างถิ่นจะทำให้น้ำเป็นพิเษ แต่เมื่อทางการไม่ได้ว่าอะไร ลำธารของเขาจึงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสวนน้ำของเขามีรูปทรงโค้งไปมาและไม่สมดุลเพราะ Monet ได้รับแรงบันดาลใจจากสวนญี่ปุ่นที่เขาเห็นจากภาพพิมพ์และหลงใหลเป็นอย่างมาก ชนิดที่ภาพวาดอื่น ๆ ของเขาก็ได้แรงบันดาลใจจากภาพพิมพ์ญี่ปุ่นเช่นกัน
ในสวนน้ำแห่งนี้ Monet ยังสร้างสะพานแบบญี่ปุ่นขนาดย่อมตามใจต้องการ ด้านบนสะพานปกคลุมด้วยต้นวิสทีเรียขนาดใหญ่ 2 ต้น ต้นหนึ่งมีสีขาว อีกต้นเป็นสีม่วงลาเวนเดอร์งดงาม รอบ ๆ สวนแหงนี้รายล้อมไปด้วยโบตั๋นญี่ปุ่น วิสทีเรียญี่ปุ่น ต้นเมเปิลญี่ปุ่น ไอริสญี่ปุ่น ไผ่ และหลิวญี่ปุ่นที่นำเข้าจากญี่ปุ่นมายุโปรตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
แน่นอนว่าสำหรับ Monet พระเอกของสวนแห่งนี้ คือดอกบัวพันธุ์ท้องถิ่นและพันธุ์นำเข้าที่เขาบรรจงปลูกในสระ ทั้งยังมีดอกบัวไฮบริดสีสันสดใสที่เขาเห็นและรู้จักครั้งแรกที่งาน Paris World's Fair 1899 เพราะเขาได้วาดภาพดอกบัวเหล่านี้มากถึง 250 ชิ้นตามสีสันที่เปลี่ยนไปในแต่ละฤดูกาล ส่วนภาพที่เห็นสะพานจากมุมนี้ก็มีถึง 18 ภาพทีเดียว
แต่เพราะเขาคือเจ้าพ่อแห่งการเล่นสี นอกจากดอกบัวผสมข้ามสายพันธุ์ที่แผ่กระจายเป็นกลุ่มก้อนตามส่วนต่าง ๆ ของผืนน้ำแล้ว รอบ ๆ สระยังเต็มไปด้วยดอกไม้ป่าสีฉูดฉาดอย่างป๊อปปี้สีแดงและสีขาว อ็อกซ์อายเดซี่ และฟ็อกซ์โกลฟสีม่วง
อ้างอิง :
givern
countrylife
bur
royalacademy
wikipedia
wbur
wbur
fondation-monet