คุยกับ Hayd ศิลปินอินดี้ป็อปขวัญใจคนรุ่นใหม่ในวันที่เขายังคงหลงทางอยู่ท่ามกลางก้อนเมฆ
นอกจากจะมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกแล้ว ศิลปินอินดี้ป็อปจากมิชิแกนอย่าง Hayd ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะได้พบปะแฟน ๆ ชาวไทยใน Lost In Bangkok where Music Meets Art งานอีเวนต์แสนอบอุ่นที่ควบรวมทั้งโชว์เคสอะคูสติกสุดพิเศษจาก Hayd และศิลปะจัดวางในแนวคิด Head In The Clouds ตามชื่อเพลงฮิตของเจ้าตัว ณ ชั้น 3 Palette Artspace ทองหล่อ
งานนี้ GroundControl ไม่เพียงเอาภาพบรรยากาศงานมาแบ่งปันให้ทุกคนได้รับชมเท่านั้น แต่เรายังถือโอกาสไปจับเข่าคุยแบบสบาย ๆ กับ Hayd ถึง Lost ซิงเกิลใหม่ล่าสุดของเขา รวมไปถึงชีวิตและผลงานของเขา ที่แม้จะหลงทางในบางครั้ง แต่ก็ยังคงสวยงามเสมอ
📍 Lost ซิงเกิลใหม่ในวันที่ยังหลงทางในแดนไกล
“ผมมาจากมิชิแกน แต่เมื่อช่วงปีที่แล้ว ผมต้องย้ายจากครอบครัวและเพื่อน ๆ มาทำงานที่ลอสแองเจลีสเพียงลำพัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโอกาสดีมาก ๆ ที่ผมได้มาอยู่ที่นี่ และมันก็ทำให้ผมมีความสุขกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในช่วง 2-3 เดือนแรก มันทำให้ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเศร้าสุด ๆ เพราะผมยังต้องปรับตัวกับทั้งสถานที่และความเหงา ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเล่นเปียโนและแต่งเพลง Lost ขึ้นมา ซึ่งมันก็กลายมาเป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่มีความหมายกับผมมาก ด้วยเนื้อเพลงที่ตรงไปตรงมา พูดถึงความรู้สึกหลงทาง รู้สึกคิดถึงบ้านและครอบครัว ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ที่นี่ ไม่แน่ใจแม้แต่ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตกันแน่ ผมคิดว่า มันถือเป็นช่วงจังหวะชีวิตที่ยากลำบากสำหรับผมเลยทีเดียว”
📍 ครอบครัวผู้อยู่เบื้องหลังในทุกก้าวความสำเร็จ (ตั้งแต่คลิป TikTok ยันเนื้อเพลง)
“ผมสนิทกับครอบครัวมาก พวกเขาคือผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่คอยช่วยผลักดันผมตั้งแต่วันที่ผมยังไม่มีอะไร ตอนนั้นผมน่าจะอายุสัก 14-15 ปีได้มั้งที่พ่อแม่เริ่มซื้อเปียโนและพาผมไปเรียนร้องเพลง พวกเขาเชื่อมั่นว่าผมจะไปได้ดีกับการทำเพลงตั้งแต่ก่อนที่ผมจะแต่งเพลง ๆ แรกได้ซะด้วยซ้ำ ผมคงไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีพวกเขา แม้แต่ตอนนี้พวกเราก็ยังคงพูดคุยและเฟซไทม์กันอยู่ตลอดเวลา ส่วนน้องชายของผมก็ชอบส่งข้อความมาให้ผมส่งเพลงใหม่ที่ผมกำลังทำอยู่ไปให้ฟังเสมอ ๆ
“ผมโตขึ้นมากับการเล่นเปียโน อ่านหนังสือ และเขียนบทกวี ที่ถือเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการเขียนเพลง แต่ผมเพิ่งมาเริ่มแต่งเพลงแรกจริง ๆ ก็หลังจากอกหักช่วงเรียนมัธยม ซึ่งมันก็เหมือนกับเป็นช่วงเวลาที่ผมได้รู้จักกับความรู้สึกเศร้าแบบลึกซึ้งเป็นครั้งแรก ดังนั้น ดนตรีจึงเป็นเหมือนที่ระบายอารมณ์ของผมในตอนนั้น ผมอยู่ในห้องเขียนเพลงทุกวัน โดยไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ทำเพราะมันสนุกดีก็เท่านั้น หลังจากนั้นผมถึงเริ่มโพสต์มันลงในอินเตอร์เน็ต และมันก็เริ่มไปได้ดี คนรอบ ๆ ตัวก็เริ่มให้กำลังใจให้ผมทำมันต่อไป แต่ถ้าจะนับว่าเริ่มทำเพลงจริงจังก็น่าจะเป็นช่วง 18-19 ปีแล้ว ซึ่งถ้านับจนถึงตอนนี้ ผมก็ทำเพลงแบบเต็มเวลามากว่า 2 ปีแล้ว”
📍 ดนตรีบรรเทาความทุกข์
“ตามธรรมชาติแล้ว เวลาที่คนส่วนใหญ่เจอกับความยากลำบากในชีวิตก็คงอยากจะปลีกตัวออกจากผู้คนมาอยู่เพียงลำพัง แต่นั่นอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่ เพราะการที่เราจดจ่ออยู่กับตัวเองมากเกินไปในช่วงเวลาแบบนั้นก็จะอาจจะทำให้ปัญหามันบานปลายยิ่งขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ผมคิดว่า การที่เราซื่อตรงและเปิดรับคนรอบข้างสามารถช่วยได้เยอะมากจริง ๆ เพราะมันทำให้เราได้พบว่า เราไม่ได้กำลังเผชิญมันเพียงลำพัง คนอื่น ๆ ก็ต้องเจอกับความยากลำบากในชีวิตไม่ต่างกัน
“กับดนตรีก็เหมือนกัน ผมต้องเขียนระบายความรู้สึกเหล่านั้นออกมา และแปลงมันให้กลายเป็นรูปเป็นร่าง เพื่อที่ผมจะได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น ผมคิดว่า มันเจ๋งมากที่บางคนที่เจอเรื่องคล้าย ๆ กัน แต่กลัวที่จะพูดความรู้สึกของตัวเองออกมา สามารถรับฟังบทเพลงเหล่านี้แล้วรู้สึกว่า ‘ว้าว ฉันคงไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้สินะ’ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันสร้างกำลังใจและความหวังได้ดีมาก แม้ว่ามันจะเป็นเพลงเศร้า หรือเพลงอกหักก็ตาม ดังนั้น ดนตรีจึงเป็นเหมือนการบำบัดสำหรับผม ที่นอกจากมันจะทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นแล้ว มันยังช่วยคนอื่นได้ด้วย”
📍 3 บทเพลงที่มีความหมายที่สุดในชีวิต
“จากเพลงที่ผมเคยแต่งมาทั้งหมด มีอยู่ 3 เพลงด้วยกันที่มีความหมายต่อผมมาก เพลงแรกคือ Lost อย่างที่ผมบอกไป มันบอกเล่าถึงความรู้สึกของผมอย่างตรงไปตรงมา และผมก็ภูมิใจกับมันมาก ๆ
“เพลงที่ 2 คือ Changes ซึ่งก็ตามตัวเลย มันเป็นเพลงที่เปลี่ยนชีวิตของผมไปเลย ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีวันนี้ไหม ถ้าผมไม่ได้แต่งเพลงนี้ขึ้นมา หรือถ้าผู้คนไม่ฟังมันมากเท่าที่เป็นแบบในทุกวันนี้ ดังนั้น Changes ถึงมีที่พิเศษในใจของผมอยู่เสมอ ซึ่งเวลาที่ผมต้องร้องเพลงนี้สด ๆ มันจะเป็นเพลงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากที่สุดทุกครั้ง
“ส่วนเพลงสุดท้ายที่ผมเลือกคือ Suffocate ซึ่งเป็นเพลงที่ค่อนข้างเก่า แต่ผมรู้สึกภูมิใจกับมันมาก ๆ ในหลาย ๆ ครั้งเวลาศิลปินต้องกลับไปฟังผลงานเก่า ๆ ของตัวเองก็จะรู้สึกว่า มันน่าอายหรือยังไม่ดีพอ ผมเองก็เป็นกับหลาย ๆ เพลงของตัวเองเหมือนกัน แต่กับ Suffocate มันไม่ใช่เลย ผมยังสามารถกลับไปฟังมันซ้ำ ๆ และภูมิใจได้เสมอ อีกอย่างคือ มันเป็นเพลงแรกที่ผมแต่งหลังจากอกหักเป็นครั้งแรก ดังนั้น มันถึงมีความหมายกับผมมาก ๆ”
ก่อนจะรอต้อนรับอัลบั้มใหม่ที่เขาแอบประซิบมาว่า เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว และน่าจะปล่อยออกมาให้แฟน ๆ ได้ฟังกันในช่วงต้นปีหน้า (แถมอาจจะมีทัวร์ในเอเชียตามมาด้วย 🫢) ก็อย่าลืมไปอุ่นเครื่อง ฟังเพลง Lost กันก่อนได้ที่: