โลกที่ทันสมัยเดินขนานไปพร้อมกับแสงที่สาดส่องผ่านอาคารบ้านเรือน หยาดฝนที่เกาะตามกิ่งไม้ใบหญ้า องค์ประกอบเหล่านี้ คือส่วนผสมสำคัญในหนังของผู้กำกับที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการอนิเมะยุคดิจิทัลอย่าง ‘มาโกโตะ ชินไค (Makoto Shinkai)’ ความรู้สึกอันโดดเดี่ยวและแตกร้าวภายในถูกเก็บซ่อนไว้อย่างเงียบงัน กับความงดงามของภาพที่สะดุดตา มักจะอยู่คู่กันเสมอในงานของชินไค เป็นจุดเด่นที่เขาใช้เพื่อเชื่อมโยงกับผู้ชม
ในโลกยุค 2000 ที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ภาพยนตร์แอนิเมชันของชินไคเกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาสุดคลาสสิคอย่างเรื่องระยะห่างของมนุษย์ในโลกดิจิทัล ที่เพิ่มระยะของความรู้สึกให้ไกลออกไป ถึงแม้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อเชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ตัวละครของชินไคมักตกอยู่ในความเจ็บปวดจากการที่ไม่สามารถพบเจอกันและกันได้ ความรู้สึกของตัวละครกลายเป็นสิ่งของล้ำค่าที่ถูกเก็บไว้ในใจ พวกเขาดำเนินชีวิตไปตามปกติโดยไม่แสดงอารมณ์ออกมาโดยตรง ปล่อยให้พืชที่ส่องแสงระยิบระยับมากมายในช่วงฤดูฝน พาวันเวลาเปลี่ยนผ่ายสู่แสงแดดจ้าของฤดูร้อน แสดงอารมณ์สุดอ่อนไหวของตัวละครแทน และถึงแม้ว่าภาพยนตร์ของชินไคแทบทุกเรื่อง จะเป็นเรื่องราวความรักวัยหนุ่มสาว แต่กลับมีฉากน้อยมากที่ตัวละครหลักทั้งสองจะปรากฏตัวหรืออยู่ใกล้ ๆ กัน ฉากของเมฆที่เคลื่อนตัวอย่างสวยงามบนท้องฟ้า การเปลี่ยนผ่านของแสงในแต่ละช่วงเวลาของวัน การเดินทางด้วยรถไฟ ในภาพยนตร์อนิเมะสุดคลาสสิคของเขาอย่าง ‘5 Centimeters Per Second’ หรือ ‘The Garden of Words’ ตัวละครของเขาล้วนแต่เฝ้ามองทิวทัศน์รอบ ๆ ด้วยความอาวรณ์ มีแค่ความคิดถึงเท่านั้นที่อยู่ใกล้ชิดติดตัวกว่าสิ่งใด
ชินไคไม่ได้สร้างเพียงแค่ช่วงเวลาและระยะห่างของตัวละครเท่านั้น หากแต่หนังของเขายังเปิดพื้นที่ให้ผู้ชมได้มีอิสระที่จะใส่ความคิดและความรู้สึกของตัวเองเข้าในเรื่องด้วย นั่นคือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์ของเขาเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง และเข้าไปนั่งในใจผู้ชมมากมาย แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ติดตามภาพยนตร์อนิเมะก็ตาม
The Art of Being An Artist สัปดาห์นี้ GroundControl จะพาทุกคนมาสำรวจระยะห่างของความรู้สึก ผ่านพื้นที่และเวลาในหนังของ มาโกโตะ ชินไค ชายผู้สร้างพื้นที่และเวลาในหนัง สู่พื้นที่และเวลาในโรงภาพยนตร์
มาโกโตะ ชินไค เกิดและเติบโตที่จังหวัดนางะโนะ จุดเริ่มต้นของการสร้างภาพยนตร์ของเขา เกิดขึ้นจากความรักในการอ่านหนังสือ ชินไคเปิดเผยว่า สมัยเรียนมัธยม เขามักจะอ่านนิตยสารรายเดือนชื่อ ‘นิวตัน’ ซึ่งเป็นนิตยสารวิทยาศาสตร์ ทุกวันนี้ภาพในนิตยสารวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ตอนนั้น นิตยสารเหล่านั้นวาดขึ้นด้วยฝีมือล้วน ๆ และมันก็สุดยอดมากสำหรับชินไค เขาเริ่มต้นความฝันด้านการวาดภาพจากนิตยสารเหล่านั้น
ชินไคเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยด้านวรรณกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ (Modern Japanese Literature) ความสนใจด้านการอ่าน ทำให้ชินไคได้รับไอเดียในการสร้างภาพยนตร์มากมายจากหนังสือ เขายังเป็นแฟนตัวยงของนักเขียนชื่อดังอย่าง Haruki Murakami ด้วย ชินไคอ่านนิยายของมุราคามิซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้งานของมุราคามิมีอิทธิพลอย่างมากต่อการเล่าเรื่องของชินไค
อีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญ เกิดจากวิวของอพาร์ทเมนต์ขนาดเล็กที่เขาอาศัยอยู่ ซึ่งเต็มไปด้วยเสาคอนกรีตและสายไฟพันระโยงระยาง แม้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวอาจจะพาให้สับสนวุ่นวาย เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์ แต่สิ่งนั้นเองที่ทำให้ชินไคอยากจะค้นหาความงามในสิ่งต่าง ๆ รอบตัว แม้แต่การอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์เล็ก ๆ นี้ด้วยเช่นกัน
หนังของชินไคจึงว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษยกับเทคโนโลยี และวิธีที่สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงและแยกเราออกจากผู้คนรอบตัวเรา ความเหงา ความสับสน หรือความกังวล เติบโตไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วที่ผลักให้ญี่ปุ่นกลายเป็นเมืองร่วมสมัยเต็มรูปแบบ ส่งผลให้งานของชินไคมักจะผลักความสวยงามเหล่านั้นไปพร้อมกับ ‘ความสูญเสียตัวตน’ ของตัวละคร
การเดินทางของห้วงเวลาด้วย ‘รถไฟ’
ความจริงแล้วชินไคไม่ได้มีความสนใจในรถไฟเป็นพิเศษ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘รถไฟ’ เป็นจุดเด่นในภาพยนตร์ของเขา ชินไคอธิบายว่า รถไฟเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่น และเนื่องจากตัวละครหลักในภาพยนตร์ของเขาอยู่ในช่วงวัยรุ่น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าถึงรถยนต์ได้ และถึงแม้ว่าเขาไม่ได้สนใจการวาดรถไฟขนาดนั้น แต่เขาก็สนใจฉากของรถไฟที่เคลื่อนผ่านเมืองหรือชนบท ยานภาหนะในรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยมที่เคลื่อนผ่านเวลาและฉากแต่ละฉาก คนแปลกหน้ามากมายถูกพาไปยังจุดหมายเดียวกันด้วยกล่องใบนี้ บรรยากาศแสงที่เปลี่ยนผ่านเวลาผ่านการเคลื่อนที่ของรถไฟ เป็นช่วงที่ระยะห่างระหว่างตัวละครได้เริ่มต้นขึ้น มวลของบรรยากาศเหล่านี้ ทำห้ชินไคประทับใจเป็นอย่างมาก จนเกิดขึ้นเป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยระยะห่างของความสัมพันธ์ที่เปรียบกับระยะเวลาที่กลีบดอกซากุระร่วงหล่นลงพื้นอย่าง ‘5 Centimeters Per Second’
ดอกซากุระในความหมายของญี่ปุ่น เป็นสัญลักษณ์ของความไม่ยั่งยืนและความเปราะบาง ระยะเวลาที่แสนสั้นของการเผชิญหน้ากันระหว่างตัวละคร ความเปราะบางทางความรู้สึกในสามช่วงอายุผ่านสามเรื่องสั้น ที่ทุกอย่างหมุนรอบ ‘ทาคากิ’ ชายหนุ่มผู้ยังไม่มูฟออนจากรักแรกและรักเดียวของเขา ทาคากิในวัยผู้ใหญ่ที่อาศัยอยู่ในโตเกียว อพาร์ทเมนต์ของเขาเกลื่อนไปด้วยเศษซากแห่งความเหงาและความคิดถึง การแยกจากกันมีมากพอ ๆ กับการไม่มีตัวตน ถึงแม้ ‘อาคาริ’ ผู้ซึ่งเป็นรักแรกของเขาจะอยู่ห่างไกลออกไป แต่อิทธิพลของเธอก็แทรกซึมอยู่ทุกที่บนหน้าจอ
บทบาทของเวลาที่ถ่ายทอดผ่านสามห้วงชีวิตของทาคากิ ไม่ได้ถูกเล่าผ่านมุมมองของทาคากิเท่านั้น ตอนที่สองในโลกของทาคากิ ถูกเล่าผ่านเด็กสาวเซิร์ฟบอร์ดคนหนึ่งที่แอบรักทาคากิ การเฝ้ามองทาคากิเหมือนการมองพระอาทิตย์ที่ใกล้ลับขอบฟ้า แม้อยู่ใกล้ แสงแดดส่องสว่างไสวแค่ไหนก็ไม่สามารถจับต้องได้
ฉากต่าง ๆ ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล ซึ่งได้รับอิทธิพลจากความชื่นชอบในวิทยาศาสตร์ของเขา แสงและทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปตามวิวของรถไฟ พาความรู้สึกอันท้วมท้นของตัวละครแผ่ซ่านออกเต็มพื้นที่ ภาพจำในหนังของชินไคที่สร้างขึ้นด้วยเทคนิคดิจิทัล อย่างแสงจ้าของรุ่งเช้าที่สวยงามและพระอาทิตย์ตก กลายเป็นโมเมนต์ที่หยุดห้วงเวลาของตัวละครไว้ตลอดกาล
เรื่องราวของ 5 Centimeters Per Second ถูกเล่าผ่านบริบทญี่ปุ่นในยุค 90s มีเพลงป็อปมากมายเกิดขึ้นในยุคนั้น แต่เมื่อชินไคได้ยินเพลง ‘One more time, One more chance’ ของ Masayoshi เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเพลงนี้เหมาะสำหรับเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ของเขาที่สุด เหมือนความหมายในเพลง ภาพยนตร์ยนตร์เรื่องนี้คือการขอโอกาสอีกสักครั้งที่จะได้เปิดเผยใจและได้รับความรักแท้นั้นมาครอบครอง
คลิกที่นี่เพื่อฟังเพลงประกอบได้ที่
หาก ‘5 Centimeters Per Second’ เป็นเรื่องของเวลา ‘The Garden of Words’ ก็คงเป็นขั้วตรงข้าม ที่ว่าด้วยพื้นที่และการหยุดเวลา
เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหนุ่มมัธยมและครูสาว เกิดขึ้นจากความรู้สึกในวัยรุ่นแค่อยากจะไปที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลออกไป ทุกส่ิงล้วนเป็นภาพในความคิดที่คลุมเคลือ ภาพด้านหลังคือภาพจินตนาการภูเขาหรือพื้นที่ที่สวยงามกว่าภาพที่เป็นอยู่
หลังจาก 5 Centimeters Per Second บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ผ่านห้วงเวลาแสนยาวนาน ชินไคกลับมาอีกครั้งกับรูปแบบการเล่าเรื่องที่ต่างจากเดิมภาพเด็กหนุ่มในสวนสาธารณะที่เงียบสงบ คือพื้นที่หลบหนีจากความจริงในโลกแสนวุ่นวาย ชินไคเพิ่มความน่าสนใจให้หนังของเขาด้วยการเสนอภาพงานอดิเรกของเด็กหนุ่มที่หมกมุ่นอยู่กับการสเก็ตภาพเท้า ท่ามกลางบรรยากาศของสวนสาธารณะร้างผู้คนในวันฝนตก เด็กหนุ่มเชื่อมโยงโลกของเขาด้วยภาพวาด จุดเริ่มต้นของความคิด เกิดจากความต้องการอยากจะติดต่อกับใครสักคน ภาพเด็กหนุ่มช่างทำรองเท้าที่ยื่นมือไปหาที่พึ่งพิงอย่างหมดหวังจึงเป็นเกิดขึ้น และเข้ากับภาพของครูสาวที่เบื่อสังคมและสูญเสียทิศทางในชีวิตได้เป็นอย่างดี
การเจอกันระหว่างตัวละครสองตัวท่ามกลางฝนตก การใช้เวลาในการสังเกตกันและกันอย่างเชื่องช้า ภาพสเก็ตอย่างตั้งใจท่ามกลางสายฝนที่โปรยลงมาผ่านเวลาที่หยุดนิ่ง พื้นที่ที่ไม่มีอดีตและอนาคต มีแต่ปัจจุบัน คือภาพที่ทำให้รู้สึกว่าเราสามารถสูดหายใจได้อย่างเต็มปอด หลีกหนีจากโลกอันแสนวุ่นวายได้ชั่วขณะ ในช่วงเวลาที่โลกของเราถูก ‘จำกัด’ ให้เราอยู่ในกรอบที่เราไม่ได้สร้าง เรามักจะมองข้ามสิ่งต่าง ๆ รอบตัว และสนใจพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไป การได้พบพื้นที่ที่สร้างความสบายใจสักหนึ่งที่ก็คงช่วยให้มีความหวังมากขึ้น
ภาพดาวเคราะห์น้อยที่กำลังพุ่งลงสู่พื้นโลก แสงสว่างวาบหนึ่งตรงหน้า สวยงามจนแทบหยุดหายใจ ขณะเดียวกันก็สร้างปวดร้าวให้แก่ตัวละครและผู้ชมอย่างแสนสาหัส ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างความงามและความเจ็บปวด มักจะอยู่กับหนังของชินไคเสมอ รวมถึงอยู่คู่กับธรรมชาติของมนุษย์ด้วยเช่นกัน ทุกสิ่งเชื่อมโยงกันอย่างประหลาดและปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพโลกคู่ขนานใน ‘Your Name’ คือการหลอมรวมความสนใจของชินไค นั่นคือ วิทยาศาสตร์ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ธรรมชาติ และเมือง ที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน
Your Name คือการผสมรวมกันของทุกส่ิงที่เขาเคยสร้างมา ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจิตวิญญาณอันไร้เดียงสาของวัยรุ่น ไปจนถึงการจับคู่ดนตรีกับภาพยนตร์ตามจังหวะของเรื่อง และการผสมผสานระหว่างความสวยงามของธรรมชาติ เทคโนโลยี และจินตนาการแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม สะท้อนระยะห่างของมนุษย์โลกดิจิทัล ความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด ขมขื่น แต่ก็สวยงาม ชินไคพยายามปรับการเล่าเรื่องของเขาให้ผู้ชมสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น และแฝงกลิ่นอายของญี่ปุ่นไว้ในหนังของเขามากขึ้นเช่นกัน การสลับร่างกันอย่างประหลาด พาตัวละครตามหาอีกเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่หายไป มีเพียงเส้นด้ายสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของโชคชะตา ที่นำพาตัวละครไปยังพื้นที่ที่ไม่รู้จัก สู่ภาพสุดท้ายตรงหน้า ดาวเคราะห์น้อยสว่างวาบกลางใจของทั้งคู่คือจุดบรรจบของเวลา และจุดที่ทั้งสองได้เผชิญหน้ากัน ด้วยพล็อตที่แตกต่าง และการหลอมรวมศาสตร์หลายแขนงนี้เอง จึงทำให้ Your Name กลายเป็นหนึ่งในแอนิเมชันของชินไค ที่ถูกพูดถึงมากที่สุด
ด้วยลายเส้นที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนโลกยุคใหม่ มีกลิ่นอายของวิทยาศาสตร์ บรรยากาศของเรื่องที่เน้น ภาพแลนสเคปของเมืองและชนบทอันโดดเด่น นำพาตัวละครและคนดูไปสู่ความรู้สึกท่วมท้วนด้วยหลายความรู้สึก ทุกสิ่งล้วนถ่ายทอดผ่านสายตาของชินไคได้อย่างเฉียบคม ส่วนผสมที่ลงตัวนี้เอง ที่ทำให้ภาพยนตร์อนิเมะของ มาโกโตะ ชินไค เข้าไปนั่งในใจผู้ชมมากมาย