‘ฉันไม่ได้สร้างภาพยนตร์เพราะฉันต้องการอยู่ในธุรกิจภาพยนตร์ฉันกำลังทำให้พวกเขา เพราะฉันอยากจะพูดอะไรบางอย่าง’ - Woody Allen
ผู้กำกับภาพยนตร์, นักเขียนบท ,นักแสดงตลก และนักดนตรี เมื่อพูดถึงความสามารถอันรอบด้านและประสบการณ์อย่างยาวนานบนเส้นทางสายบันเทิงแล้ว ชื่อที่ปรากฏขึ้นมาเป็นอันดับแรกคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Woody Allen (วูดดี อัลเลน) ผู้กำกับระดับตำนานของฮอลลีวูดที่ฝากผลงานอันโดดเด่นว่าด้วยความสัมพันธ์อันซับซ้อน ความตาย และความหมายของชีวิต
บทกวีรักหวานขมผ่านมุมมองของชายร่างเล็กที่มักตั้งข้อสังเกตเชิงปรัชญากับทุกสิ่งรอบตัวแต่เก็บงำความทุกข์ไว้ภายในจิตใจ ขัดกับการใช้ชีวิตโลดแล่นท่ามกลางแสงสีและเสียงดนตรีแห่งมหานครนิวยอร์ก คือนิยามที่ชัดเจนและครอบคลุมผลงานภาพยนตร์ในสไตล์แบบ วูดดี อัลเลน ผู้เต็มเปี่ยมด้วยคารมชวนหลงไหลได้เป็นอย่างดี
อาจพูดได้ว่าอัลเลนคือนักสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ความโดดเด่นหาตัวจับยากในงานของเขาล้วนเกิดจากความแน่วแน่ที่จะสร้างภาพยนตร์ซึ่งมีเนื้อหาอิงจากมุมมองและความสนใจส่วนตัวเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้คือผลจากประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสนใจในมายากล พรสวรรค์ด้านการเขียน ความเจ็บปวดที่ได้รับในวัยเด็ก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้หญิงที่เขาเคยร่วมงานด้วย ทำให้ผลงานทุกชิ้นของอัลเลนสามารถบ่งบอกตัวตนของเขาได้อย่างตรงไปตรงมา จนกลายมาเป็นภาพจำที่สร้างความรู้สึกร่วมให้แก่ผู้ชมในฐานะตัวแทนของความซับซ้อนที่ขยายกว้างขึ้นไปตามยุคสมัย
ก่อนที่เราจะไปตามรอยหนังดังอย่าง Midnight in Paris กับ Self-Quarantour ตอนต่อไปในวันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน เวลา 19:30 น. นี้ เราขอชวนทุกคนย้อนทามไลน์ไปรู้จักกับชีวิตเบื้องลึกของ ‘วูดดี อัลเลน’ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันหลากหลายมิติ ไม่แน่ว่าภาพยนตร์ที่เราเห็น อาจคือประวัติส่วนตัวขนาดย่อของเขาก็เป็นได้
Self-Quarantour EP. 5 Midnight in Paris
Allen Stewart Konigsberg เกิดวันที่ 1 ธันวาคม 1935 ในครอบครัวชาวยิวที่อาศัยอยู่แถบบรูคลิน มหานครนิวยอร์ก บรรพบุรษของเขาอพยพมาจากรัสเซียและออสเตรีย มาร์ติน ซึ่งเป็นพ่อ มีอาชีพเป็นช่างแกะสลัก ขณะเดียวกันก็ทำงานหลายอย่างพ่วงด้วย รวมถึงการเป็นบาร์เทนเดอร์ ส่วนแม่ของเขา เน็ตตี้ ทำงานเป็นพนักงานบัญชี อัลเลนมีน้องสาวเพียงคนเดียวชื่อ เล็ตตี้ ซึ่งจะมาเป็นผู้อำนวยการสร้างให้กับภาพยนตร์ของเขาในภายหลัง
ด้วยความที่พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็ก ทำให้อัลเลนเติบโตมาในเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่คิด นิสัยช่างบงการของแม่ส่งผลต่อจิตใจของเขาเป็นอย่างมาก ความรุนแรงสั่งสมขึ้นในตัวอัลเลนเรื่อยมาเนื่องจากตอนเด็กเขามักถูกส่งไปยังค่ายศาสนาในช่วงฤดูร้อน ที่ซึ่งเขาโดนรังแกจากกลุ่มเด็กต่างเชื้อชาติ เขายังเข้าเรียนในโรงเรียนฮิบรูนานกว่า 8 ปี ก่อนจะเริ่มเรียนในโรงเรียนทั่วไป อัลเลนไม่ค่อยสุงสิงกับกลุ่มเพื่อนมากนัก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องนอนเพื่อฝึกซ้อมมายากลจนเป็นที่ยอมรับให้หมู่เพื่อนนักเรียน
และเมื่ออัลเลนอายุ 17 ปี เขาก็ได้เปลี่ยนชื่อจาก Allen Stewart Konigsberg มาเป็น Woody Allen เพื่อชุบตัวเองขึ้นจากความเจ็บปวดในอดีต เขาเริ่มส่งเรื่องตลกไปยังสำนักพิมพ์ท้องถิ่นจนได้รับการว่าจ้างให้เขียนมุขตลกลงคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ อัลเลนเลือกเรียนสาขาภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์กหลังจากจบชั้นมัธยม เขาเรียนต่อภาคกลางคืนที่ City College ด้วยเช่นกัน แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีความสุขในการเรียน จึงลาออกจากมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งเพื่อมุ่งสู่เส้นทางอาชีพนักเขียนเรื่องตลก
ความสามารถของอัลเลนเริ่มเด่นชัดมากขึ้นจนทำให้เขาเป็นที่รู้จักในหมู่คนรุ่นเดียวกัน งานของเขาเปิดกว้างและเข้าได้กับทุกสถานการณ์ และในช่วงเกือบอายุครบ 20 ปี เขาก็สามารถขายมุขตลกให้กับสำนักพิมพ์ New Yorker ได้มากกว่า 20,000 เรื่อง!
และก่อนที่อัลเลนจะเริ่มมีชื่อเสียง เขาในวัย 19 ปี ได้แต่งงานกับเด็กสาวอายุ 16 ปีที่เคยเล่นเปียโนในวงดนตรีแจ๊สของเขาชื่อ Harlene Rosen แต่ก็หย่าร้างกันในปี 1962
ด้วยความสามารถอันล้นเปี่ยม ส่งผลให้อัลเลนมีโอกาสได้เขียนบทให้กับ Sid Caesar ดาราตลกที่มีชื่อเสียงในจอโทรทัศน์ และได้เซ็นสัญญากับผู้จัดการมากความสามารถอย่าง Jack Rollins และ Charles Joffe ผู้ซึ่งจะมีส่วนร่วมในภาพยนตร์ของอัลเลนในเวลาต่อมา เขายังจ้างครูสอนพิเศษจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียเพื่อสอนวรรณคดีและปรัชญาให้เขาที่บ้านเพื่อต่อยอดความรู้ของตัวเองอีกด้วย
การสนับสนุนของผู้จัดการส่วนตัว ทำให้ในปี 1960 อัลเลนได้แสดงตลกจากบทละครของตัวเองที่ไนต์คลับแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก การทำงานถึงหกคืนต่อสัปดาห์ ส่งผลให้เขาเริ่มจับทางของผู้ชมได้ อัลเลนเรียนรู้และพัฒนาบทตลกจากปฏิกิริยาของผู้ชมจนชื่อเสียงของเขาเริ่มก้าวเข้าสู่จอโทรทัศน์
อัลเลนมักแต่งการ์ตูนตลกโดยอิงจากชีวิตส่วนตัว และสร้างตัวละครสมมติอย่างชายร่างเล็กผู้ทนทุกข์กับปรัชญาอันยิ่งใหญ่และความสัมพันธ์กับผู้หญิง ความสำเร็จในการแสดงที่ไนต์คลับและบนจอโทรทัศน์ ทำให้เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอย่าง Grammy Award ในสาขาตลก และในที่สุด ความหลงใหลด้านภาพยนตร์ก็ได้จุดประกายให้เขาเริ่มเขียนบทและสวมบทบาทในภาพยนตร์เรื่องแรกของตัวเองอย่าง What's New, Pussycat? (1965) ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหนุ่มสาวยุค 60s สุดฮิปปี้ (Hippie) ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับทุนสร้างมหาศาลและผู้คนมากมายก็เล็งเห็นถึงความสามารถในการกำกับหนัง ทว่าสิ่งนี้กลับสร้างประสบการณ์อันเลวร้ายให้กับเขา อัลเลนเปิดเผยว่าการทำงานครั้งนี้เหมือนการต่อสู้กับผู้คนอยู่ตลอดเวลา จนเขาถึงกับตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะไม่ทำภาพยนตร์ที่เขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีก
ภาพยนตร์เรื่องต่อมาของอัลเลนซึ่งเป็นเรื่องแรกที่เขาได้มีโอกาสกำกับภาพยนตร์คือ Tiger Lily ถูกปล่อยออกมาในปี 1966 ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำรายได้ไม่เท่าภาพยนตร์เรื่องแรก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ทำให้เขาได้พบกับ Louise Lasser ภรรยาคนที่สองของเขา ซึ่งเป็นหนึ่งในนักพากษ์ให้แก่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว หลังจากนั้นอัลเลนก็มีผลงานออกมาสู่สายตาผู้ชมมากมายไม่ว่าจะเป็นการกำกับภาพยนตร์ ไปจนถึงละครบรอดเวย์
คอมเมดียุคแรกของอัลเลน เป็นผลงานที่อยู่ภายใต้สังกัด United Artists ทำให้งานส่วนใหญ่ของเขาเป็นไปในทิศทางตามแบบฉบับของภาพยนตร์ตลกคลาสสิคแบบอเมริกา เขายังคงรับงานการแสดงควบคู่กับการกำกับภาพยนตร์ไปพร้อมกัน จนได้พบกับ Diane Keaton จากภาพยนตร์เรื่อง Play It Again, Sam (1972) ซึ่งกำกับโดย Herbert Ross ความสนิทสนมระหว่างคีตันและอัลเลน ทำให้เธอได้มีโอกาสเล่นภาพยนตร์ของเขา 2 เรื่อง คือ Sleeper (1973) และ Love and Death (1975) ซึ่งกลายมาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับอัลเลน เขาค้นพบว่าหนังที่ตลกที่สุดของตัวเองคือการหยิบยกเอาธีมที่เสียดสีด้วยแนวทางแบบวรรณกรรมมาใช้ในผลงานภาพยนตร์
Annie Hall (1977)
ความสามารถของคีตันในฐานะนักแสดงหญิง ได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้อัลเลนสร้างภาพยนตร์จริงจังเรื่องแรกที่ชื่อ Annie Hall (1977) ซึ่งเป็นหนังตลกรสขมที่สำรวจเรื่องราวความรักผ่านเลนส์แห่งความทรงจำว่าด้วยเรื่องราวความรักอันล้มเหลวระหว่าง Alvy นักแสดงตลกชาวยิวผู้ซึ่งอัดแน่นด้วยความรู้สึกเหงาและทุกข์ใจ รับบทโดยตัวอัลเลนเองและ Annie Hall นักร้องไนต์คลับอดีตคนรักของเขา เรียกได้ว่า Annie Hall คือความรู้สึกของอัลเลนที่คิดถึงและใฝ่หาความสัมพันธ์อันโรแมนติกแม้ว่าภาพนั้นจะเลือนหายไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม นอกจากแรงบันดาลใจจากนักแสดงสาวแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังได้รับอิทธิพลจากสไตล์หนังของผู้กำกับระดับตำนานชาวอิตาลีอย่าง Federico Fellini อีกด้วย
ภาพยนตร์เรื่องนี้คือก้าวกระโดดครั้งสำคัญของอัลเลน เป็นข้อพิสูจน์ว่าพรสวรรค์ของเขาไปได้ไกลแค่ไหน อัลเลนได้พิสูจน์ตัวเองในฐานะนักแสดง นักเล่าเรื่อง และผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีความความสามารถอันเหนือชั้น ความรักชั่วครั้งชั่วคราวของปัญญาชนผู้ตกอยู่ในความวิตกเกินจริงชวนขบขัน กลับทำให้ชีวิตของเขาดูโหดร้ายขึ้นมา
อัลเลนแสดงให้เห็นถึงภูมิหลังที่เขาเป็นชาวยิวในเมืองใหญ่อย่างมหานครนิวยอร์ก ความไม่เชื่อในพระเจ้า การคลุกคลีอยู่กับปรัชญาชีวิตและศึกษาสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเองอย่างเสรี คือผลจากความรู้สึกเบื่อหน่ายกับมนุษยชาติที่กำลังนำพาตัวเองก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความตกต่ำ ทำให้ อัลวี ตัวเอกในเรื่อง มักเกิดความรู้สึกสับสนกับวิถีชีวิตอันแปลกประหลาดของตัวเองราวกับเป็นตลกร้ายบทหนึ่ง ความไม่มั่นคงทางเพศและอาการกลัวความตายที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย และเมื่ออาการนี้ถูกใส่ไว้เป็นขั้วตรงข้ามกับการชื่นชมในชีวิตรักโรแมนติกอันหอมหวาน โครงสร้างอันคลุมเครือนี้เองที่ส่งผลให้อัลเลนในฐานะผู้กำกับ สามารถสำรวจขีดจำกัดของภาพยนตร์ได้อย่างครบถ้วนและใช้มันอย่างมีชั้นเชิง
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ขึ้นหิ้งในตำนาน คือวิธีการของอัลเลนในการทำให้ผู้คนมากมายตกหลุมรัก ไดแอน คีตัน การคงอารมณ์ขบขันและความคิดแปลก ๆ ของเธอ เป็นจุดเด่นที่ดึงดูดใจผู้ชมให้หลงมนต์เสน่ห์ที่เธอได้มอบให้ชนิดถอนตัวไม่ขึ้นกันเลยทีเดียว
อาจพูดได้ว่า Annie Hall เปรียบเปรยความรักเป็นเหมือนคำตอบของการมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะเป็นความสุขในช่วงเวลาสั้น ๆ ในขณะเดียวกันก็สร้างความไร้เหตุผลในบางครั้ง แต่การได้แสวงหาความรักนี้ ก็มอบช่วงเวลาอันเป็นนิรันดร์ให้กับเราถึงแม้ความสัมพันธ์จะจบลงแล้วก็ตาม ความสัมพันธ์ของอัลเลนและคีตันก็ได้จบลงไปพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องนี้เช่นกัน
สายตาอันเฉียบคมในการจับเอาวัตถุดิบในภาพยนตร์อย่างเป็นอิสระและมีไหวพริบนี้เองที่ทำให้เขาสามารถสร้างเนื้อหาซับซ้อนจนสำเร็จออกมาเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง การันตีด้วยรางวัลออสการ์ครั้งที่ 50 มากกว่า 4 สาขา ได้แก่ ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และรางวัลสูงสุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม กลายมาเป็นม้ามืดแซง Star Wars ซึ่งเป็นภาพยนตร์ตัวเต็งในปีนั้นได้สำเร็จ ชัยชนะดังกล่าวกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นในเส้นทางสายภาพยนตร์ และทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นแท่นเป็นภาพยนตร์คลาสสิคที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมมากมายจนถึงปัจจุบัน
Stardust Memories (1980)
อัลเลนยังคงตั้งคำถามกับการมีตัวตนที่ดำเนินไปพร้อมกับความสัมพันธ์อันชัดเจนในอดีตซึ่งส่งผลกระทบต่อปัจจุบันและอนาคต สองสิ่งนี้เหมือนเป็นแรงขับสำคัญให้ตัวละครในภาพยนตร์หลายเรื่องของเขาก้าวเข้าสู่การแสวงหาความรักและพยายามเชื่อมต่อกับบุคคลอื่นรอบข้าง เป็นองค์ประกอบสำคัญที่เกิดจากความเป็นศิลปินเจ้าบทเจ้ากลอน บวกกับประสบการณ์ส่วนตัว
ภาพยนตร์ตลก-ดราม่า Stardust Memories ว่าด้วยเรื่องราวของผู้กำกับชื่อดังที่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาเมื่อหนังของเขาก้าวข้ามขั้นความเป็นศิลปะ ขณะที่แฟน ๆ เรียกร้องให้เขากลับมาทำหนังตลกแบบเดิม แน่นอนว่าอัลเลนไม่ลืมใส่เส้นเรื่องสะท้อนความสัมพันธ์ในอดีตที่ผิดพลาด ซึ่งเป็นลายเซ็นต์สำคัญในภาพยนตร์ของเขาที่มักพูดถึงความพยายามหาความสุขกับคู่ครองใหม่ ถึงแม้จะยังเจ็บช้ำจากอดีตอยู่ก็ตาม
อิทธิพลของ Federico Fellini ส่งผ่านงานของเขาเรื่อยมาโดยเฉพาะในภาพยนตร์เรื่องนี้ อัลเลนเปิดเผยว่าเขาตั้งใจจะล้อเลียน 8½ ของเฟลลินี ที่ติดตามชีวิตของผู้กำกับคนหนึ่งในกองถ่ายภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์โดยเล่าคาบเกี่ยวกันกับความทรงจำในอดีตและชีวิตที่ผ่านมา ราวกับภาพยนตร์เป็นผลงานรีเมคที่อัลเลนถ่ายทอดออกมาในแบบฉบับของตัวเอง ความสัมพันธ์ที่ไม่เที่ยงแท้และตัวตนที่ปนเปอยู่กับความตายซากล้วนเกิดขึ้นพร้อมกันในความคิดของเขา.
ภาพยนตร์เรื่องนี้คือการทดลองกับสไตล์ของอัลเลนอย่างแท้จริง โดยปกติแล้วภาพยนตร์ของเขามักจะมุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์เหนือสิ่งอื่นใด ทว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือเรื่องแรกที่เป็นไปในทิศทางการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่าง ๆ อย่างเปิดเผย มีการเปรียบเทียบกับเรื่องเหนือจริงที่เขาได้รับแรงบันดาลใจจากความฝัน อย่างมนุษย์ต่างดาวที่ปรากฏขึ้นด้วยเหตุผลบางประการ และภาพบนผนังที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ของตัวละคร เมื่อเขาเริ่มสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เขารู้ในทันทีว่าจะต้องมีอะไรสดใหม่เกิดขึ้นมากมาย
อัลเลนยังท้าทายผู้ชมด้วยการตั้งคำถามถึงความเป็นคนดังและเวทีรางวัลด้วยเช่นกัน Stardust Memories เกิดขึ้นก่อนที่จอห์น เลนนอน จะถูกยิง อัลเลนคิดว่าภาพยนตร์ของเขาคือความรู้สึกเดียวกันกับเหตุการณ์ดังกล่าว คือมีความสับสนเกิดขึ้นจากการที่ผู้ชมบูชาคนดัง ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะได้รับการวิจารณ์อย่างหนักในหลายแง่มุมซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเชิงลบ แต่ในทางกลับกันก็มีผู้ชมบางกลุ่มที่ชื่นชอบประเด็นที่คนดังถูกลบหลู่เหยียดหยามเป็นอย่างมาก อัลเลนเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาในหลายปีต่อจากนั้นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ‘ผลงานที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยทำ’
Husbands and Wives (1992)
จากภาพยนตร์เรื่องแรกในสตูดิโอใหม่ที่ชื่อ Orion Pictures อย่าง A Midsummer Night's Sex Comedy ทำให้อัลเลนและ Mia Farrow ได้มีโอกาสร่วมงานกัน พวกเขาสร้างผูกพันอันแน่นแฟ้นมากขึ้นจนตัดสินใจคบหาและร่วมงานกันมาอย่างยาวนานเกือบ 10 ปี ที่สุดแล้วความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองก็มาถึงทางตันใน Husbands and Wives ซึ่งว่าด้วยเรื่องของการตรวจสอบชีวิตการแต่งงานของคนยุคใหม่ เมื่อเพื่อนสนิทของคู่สามีภรรยาประกาศหย่าร้างกัน เหตุการณ์นี้จึงนำมาสู่การค้นหาแง่มุมในชีวิตจนทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปตลอดกาล
อัลเลนถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ในนครนิวยอร์กอันเป็นที่รักของเขา โดยมีเจตนาในการทำลายกฎแนวคิดดั้งเดิมทั้งตัวบทและวิธีการทางภาพยนตร์ เนื้อเรื่องหลักซึ่งอิงถึงคนที่มีปัญหาทางระบบประสาท คือแกนหลักที่เขาตั้งขึ้นเพื่อเชื่อมโยงองค์ประกอบต่าง ๆ
ภาพยนตร์เรื่องนี้มุ่งเน้นไปที่การจับเนื้อหาสำคัญของเรื่องมากกว่าการให้ความสำคัญกับเทคนิคกล้อง อัลเลนปฏิเสธการตั้งกล้องนิ่งและทำให้ภาพยนตร์ของเขาเคลื่อนไหวอย่างอิสระตามแบบฉบับหนังสารคดีเพื่อทวีความรุนแรงของเนื้อหาภาพยนตร์ ไม่สนว่านักแสดงจะหันหน้าไปทางเดียวกันหรือไม่ เขาละทิ้งแม้กระทั่งกฎทางภาพยนตร์ที่เรียกว่าแกนสมมาตร 180 องศา ที่มีไว้เพื่อช่วยให้ตำแหน่งของตัวละครไม่ดูแปลกเกินจริง เรื่องราวทั้งหมดเป็นไปตามแบบฉบับที่คล้ายคลึงกับสไตล์ผู้กำกับสาย French New Wave ระดับตำนานอย่าง Jean-Luc Godard.
อัลเลนเพิ่มความท้าทายให้ผู้ชมยิ่งขึ้นด้วยการใส่เนื้อหาที่รุนแรงและถ่ายทอดเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้ง สิ่งนี้กลายมาเป็นความอึดอัดที่ไม่ได้ส่งผลแค่กับผู้ชมเท่านั้น แต่นักแสดงซึ่งทำงานร่วมกับเขาก็ได้รับผลไปด้วยเช่นกัน ถึงขั้นที่หนึ่งในนักแสดงของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าง Lysette Anthony เคยให้สัมภาษณ์ว่า อัลเลนถ่ายทำฉากใหม่เพื่อให้เธอดูน่าเวทนา ฉากในหนังเรื่องนี้ทำให้เธอถึงกับนอนไม่หลับกว่าสามวัน
ถึงแม้เนื้อหาของเรื่องจะดูเยือกเย็น และระหว่างถ่ายทำต่างมีปัญหาเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็อาจพูดได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของอัลเลนซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคิดอันเหนือชั้น สร้างความแตกต่างให้กับวงการภาพยนตร์ อีกทั้งยังเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างอัลเลนและฟาร์โรวซึ่งถูกบันทึกไว้ในช่วงของการผลิตภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นในเมื่อเดือนพฤษจิกายน ปี 1991 ถึงเดือนมกราคม ปี 1992 ก่อนที่พวกเขาจะกลายมาเป็นศัตรูกันตลอดกาลจากเรื่องราวสุดอื้อฉาวและรุนแรงที่อัลเลนได้กระทำกับลูกบุญธรรมของฟาร์โรว์จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์และอยู่ในขั้นคดีความมาอย่างยาวนาน
Midnight in Paris (2011)
‘ปารีส’ เมื่อพูดชื่อเมืองนี้ ความรื่นรมย์ใจในบรรยากาศอันแสนสบายที่มาพร้อมกับกลิ่นอายของศิลปะในหลากหลายแขนงก็ลอยคลุ้งเป็นมวลรวมมาอยู่ตรงหน้าอย่างไม่คาดคิด แน่นอนว่าเมืองที่เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งนี้ปรากฏอยู่ในฉากหลังของภาพยนตร์รักโรแมนติกหลายต่อหลายเรื่อง ภาพยนตร์ของชายที่ชื่อ วูดดี อัลเลน เองก็เช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Midnight in Paris กลายมาเป็นภาพยนตร์โรแมนติกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่ได้เป็นเพราะการหยิบยกความรักแบบคู่รักมาไว้กับปรัชญา เสียงเพลง และศิลปะเท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรยากาศของสถานที่อันแสนจรรโลงใจในปารีสและฝรั่งเศสมากมายมารวมไว้ในภาพยนตร์เรื่องเดียว เป็นภาพแทนมวลแห่งความคิดถึงที่อัลเลนมีต่อเมืองแห่งนี้ หากจะมีหนึ่งเมืองที่เขาเลือกรองจากมหานครนิวยอร์ก เมืองบ้านเกิดที่เขารัก เขาคงเลือกปารีสเป็นอันดับแรกอย่างไม่ต้องสงสัย
‘ฉันชอบบรรยากาศที่ราบสีเทาและสีเหลือง, เบจน้ำตาล, แทน, ทอง และสีแดงเข้มของฤดูใบไม้ร่วง ร้านอาหารซึ่งภายในประดับด้วยวอลเปเปอร์สีแดงและโคมไฟในยุคที่แตกต่างกัน หากคุณได้ไปสถานที่นี้กับคนรัก คุณจะค้นพบว่าทุกสิ่งช่างสวยงาม’
เช่นเดียวกับอัลเลน เรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์ของ กิล นักเขียนบทภาพยนตร์ผู้ผิดหวังจากหน้าที่การงานในฮอลลีวูด เกิดขึ้นจากความประทับใจที่ชายหนุ่มมีต่อเมืองอันชวนหลงใหลที่ชื่อปารีส เขาตัดสินใจเดินทางมาที่นี่พร้อมกับว่าที่คู่มั่นและครอบครัวของเธอ การมาเยือนครั้งนี้ไม่ใช่แค่การพักร้อนเท่านั้น หากแต่ความปราถนาอันแท้จริงของเขาคือการทิ้งทุกอย่างในเบเวอร์ลีฮิลล์เพื่อย้ายมาเขียนนิยายในปารีสอย่างถาวร
คืนหนึ่งขณะที่เขาออกมาเดินเล่นบนถนนอันเงียบสงบที่ Rue Montagne St. Genevieve นาฬิกาก็ตีบอกเวลาเที่ยงคืน ทุกสิ่งเปลี่ยนผันเพียงชั่วขณะ จู่ ๆ ความใฝ่ฝันที่อยากจะใช้ชีวิตในปารีสในช่วงปี 1920 ก็เกิดเป็นจริงขึ้นมา การเดินทางในห้วงเวลาแห่งความประทับใจที่บรรยากาศโดยรอบดูไร้ที่ติ นำพากิลให้ได้พบกับุคคลไอคอนมากมายเช่น F. Scott Fitzgerald, Ernest Hemingway, Gertrude Stein, Cole Porter และ Pablo Picasso
ปฏิสัมพันธ์อันแสนอุดมคติระหว่างกิลกับผู้คนที่เขาหลงใหลดำเนินไปท่ามกลาง ศิลปะและบทกวีที่หยั่งรากลึกในตัวของอัลเลน ในฐานะผู้กำกับ และกิล ตัวละครเอกในเรื่อง อย่างเห็นได้ชัด เสียงเพลงแจ๊สที่เค้าคลอไปตามจังหวะภาพยนตร์ยิ่งชวนให้ผู้ชมปล่อยตัวปล่อยใจเคลิบเคลิ้มไปกับสถานการณ์อย่างยากจะอธิบาย ‘ฉันเล่นละครแนวรัก ๆ ใคร่ ๆ ไม่ได้อีกแล้ว’ อัลเลนกล่าวคร่ำครวญในงานแถลงข่าวที่นิวยอร์กสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Midnight in Paris ของเขา หากเขายังหนุ่มและมีพลังในการแสดงล้นเปี่ยมกว่านี้ อัลเลนคงตัดสินใจเล่นภาพยนร์อันแสนตราตรึงใจนี้เองในทันที อย่างไรก็ตาม กิลที่นำแสดงโดย Owen Wilson ก็ได้ถ่ายทอดบทบาทของตัวเองออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ
ในขณะที่ภาพยนตร์ดำเนินไป อัลเลนก็ได้ใช้ทรัพยากรและทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างการผจญภัยที่คาบเกี่ยวระหว่างปัจจุบันและอดีต ซึ่งกำลังจะนำเราไปสู่อนาคต ดนตรี เครื่องแต่งกาย ภาษา และฉากทั้งหมด มีส่วนในการสร้างภาพลวงตาที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ในหน้าจอที่เกิดขึ้นราวกับความฝัน กลับกลายมาสู่ความเป็นจริง กล่าวคือหนังรักของอัลเลนเรื่องนี้ทำให้อดีตอันสวยงามเป็นจริงขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง สิ่งนี้กลายเป็นเรื่องอันแสนโรแมนติกที่ใครหลายคนต้องการ แต่เมื่อความฝันเกิดขึ้นสวนทางกับความเป็นจริง ช่วงเวลาดังกล่าวจึงชวนหม่นหมองใจได้ไม่น้อย ด้วยความหวานอมขมกลืน กึ่งฝันกึ่งจริงนี้เอง ที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าไปนั่งในหัวใจผู้ชมทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
Allen v. Farrow
ภาพความรักร้าวแต่ยังคงตราตรึงใจ และบทกวีเชิงปรัชญาอันว่าด้วยชีวิตหวานขมในหนังของอัลเลน ถูกมองในแง่มุมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อปัญหาความรุนแรงภายในครอบครัวของอัลเลนและฟาร์โรลกลายมาเป็นเรื่องราวที่ถูกพูดถึงในหน้าสาธารณะอย่างกว้างขวาง
ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างอัลเลนและลูกบุญธรรมของฟาร์โรลที่ชื่อ Soon‑Yi Previn และคดีการล่วงละเมิดทางเพศลูกบุญธรรมอีกคนที่ชื่อ Dylan นำมาสู่ซีรีส์ที่ตามเสาะหาหลักฐาน ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยอิงจากโฮมวิดีโอซึ่งถ่ายโดยดีแลนและบทสัมภาษณ์ของสมาชิกในครอบครัวเป็นหลัก ถึงแม้จะมีคนบางกลุ่มให้ความเห็นว่าซีรีส์ดังกล่าวเปิดเผยความจริงเพียงด้านเดียว และอัลเลนเองก็ออกมาประณามซีรีส์ชุดนี้เพราะเนื้อหามีการบิดเบือนจากความเป็นจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า การกระทำดังกล่าว ทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกผิดหวังในตัวเขาและตั้งข้อสังเกตจากมุมมองที่เขาถ่ายทอดออกมาผ่านภาพยนตร์จนสร้างชื่อเสียงในด้านลบให้กับอัลเลนเป็นอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้คนจะเกลียดชังอัลเลนมากน้อยเพียงใดจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจริงอย่างชัดเจนก็คือความสามารถอันเปี่ยมล้นที่พิสูจน์ได้จากภาพยนตร์ของเขากว่า 50 เรื่อง อัลเลนถ่ายทอดความคิดและและวิธีการอันแปลกใหม่ผ่านภาพยนตร์ของเขาเรื่อยมา จนทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในกำกับที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในวงการภาพยนตร์