ความกราดเกรี้ยวที่ถูกเคี่ยวกลั่นออกมาเป็นลำนำด่ากราดความอยุติธรรมบัดซบต่าง ๆ ในสังคม คือกระดูกสันหลังของดนตรีประเภทเพลง Rap & Hip Hop ที่มีต้นกำเนิดมาจากสังคมของคนผิวสี ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มชายขอบที่ใช้ชีวิตเตรเตร่อยู่บนท้องถนนในอเมริกา และยังคงต้องเผชิญกับอคติด้านสีผิวในรูปแบบต่าง ๆ ที่นำมาซึ่งการถูกกดขี่ด้วยความอยุติธรรมจากสังคม การถูกใช้ความรุนแรง ไปจนถึงความตาย
Rap & Hip Hop จึงไม่ได้เป็นเพียงดนตรีเฉพาะกลุ่มของกลุ่มคนผิวสีอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นบทเพลงของเหล่าผู้ต้องเผชิญกับความไม่ยุติธรรมและการถูกกดขี่จากผู้มีอำนาจในทุกถิ่นที่ จนกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของศิลปะในการสะท้อนปัญหาสังคม เพิ่อส่งเสียงของผู้ถูกกดขี่ให้เหล่าผู้มีอำนาจได้ยิน
แล้วมีบทเพลง Rap & Hip Hop ใดบ้างที่สะท้อนความคุกรุ่นของเหล่าชาวประชาจนกลายเป็นตำนานแห่งยุค เทคออฟไปสำรวจกับเรากัน
Childish Gambino - This Is America
หนึ่งในเพลง Rap ร่วมสมัยที่กลายเป็นตำนานบทใหม่ของประวัติศาสตร์เพลง Rap ความแรงของ MV ที่นำเสนอความรุนแรงต่าง ๆ ที่ตำรวจและผู้มีอำนาจในสังคมกระทำต่อคนผิวสี รวมไปถึงการที่เพลงนี้ถูกปล่อยออกมาหลังเหตุการณ์กราดยิงในสหรัฐอเมริกา นี่จึงเป็นบทเพลงที่ตบหน้าคนอเมริกันทั้งชาติได้อย่างเจ็บแสบและขมขื่น
YG ft. Nipsey Hussle - FDT
ความพิเศษของเพลงนี้ก็คือ การถ่ายทอดความสับสนงุนงงของเหล่าประชาชนชาวอเมริกันต่อสถานการณ์ภายในประเทศ นี่ไม่ใช่บทเพลงสั่งสอนหรือพาคนฟังไปสำรวจที่มาที่ไปของความเส็งเคร็งในสังคม แต่เป็นการนำเสนอความเป็นไปในสังคมอเมริกันแบบตลกร้าย โดยเฉพาะท่อนที่ว่า “..I thought all that Donald Trump bullshit was a joke..” ซึ่งคนทั่วโลกก็คงคิดอย่างนั้นเช่นกัน
Christopher Jackson, Daveed Diggs, Lin-Manuel Miranda, and Okieriete Onaodowan - Cabinet Battle #1
บทเพลงแสนแสบสันจากละครเวที ที่เขาคัดบทตอนใน ‘คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา’ มาจิกกัดแสนแสบสัน ไหนล่ะอิสระที่ว่า? ไหนกันความสุขที่สัญญาว่าจะคืนให้? เป็นบทเพลงที่ Alexander Hamilton หนึ่งในบิดาผู้สร้างชาติอเมริกามาได้ฟังต้องหลั่งน้ำตา
Killer Mike - Reagan
ความจิกกัดของเพลงนี้โผล่มาตั้งแต่ท่อนแรกที่ Killer Mike ยกถ้อยคำของอดีตประธานาธิบดี Ronald Reagan ที่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขายอาวุธสงครามให้กับรัฐบาลอิหร่านที่คลั่งศาสนาสุดโต่ง เพื่อนำมาใช้ปราบปรามประชาชนในเวลานั้น แต่ที่จี๊ดที่สุดก็คือการที่ Killer Mike ยก Reagan มาเปรียบเทียบกับ Barack Obama แล้วบอกว่า ที่จริงแล้ว สองคนนี้ก็เป็นแค่หุ่นเชิดของอเมริกันเท่านั้นแหละ (“actor[s], not at all a factor, just an employee of the country’s real masters”)
Eminem - White America
บทเพลงจากใจแรปเปอร์ผิวขาวเพื่อชุมชนคนผิวสี Eminem ใช้บทเพลงนี้ในการสาดความกราดเกรี้ยวใส่เหล่าอเมริกันชนคนผิวขาวที่มองเหยียดเพลง Rap &Hip Hop ว่าเป็นเพลงชั้นต่ำ แถมยังด่ากราดพวกที่คิดจะมารุมเกาะกระแสแรปเปอร์ผิวขาวอย่างเขา อารมณ์ว่า ถ้าข้าเป็นคนดำ พวกเอ็งคงไม่สนใจข้าด้วยซ้ำไป (“Let’s do the math, if I was black, I would’ve sold half”)
Immortal Technique, Saigon, Dead Prez - Impeach the President
ก่อนที่อเมริกาจะมี Donald Trump อเมริกาเคยมี George W. Bush มาก่อน และเพลงนี้ก็ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อสดุดีความเส็งเคร็งของอดีตประธานาธิบดีคนนี้โดยเฉพาะ เช่น ท่อนที่บอกว่า เอ็งสงสัยเหรอว่าทำไมคนดำกับคนละตินถึงเหม็นหน้าเอ็ง ก็เอ็งยกศาสนามาเป็นข้ออ้างทางการเมือง (“You wonder why the Black and Latin people don’t love ya. Well I’m first, we can start with the church. You’re politicizing religion, you and your father’s the worst”) และ เอ็งหักเงินประกันสังคมเราไป ทำให้เราป่วย แล้วมีหน้ามาทวงหนี้ค่ารักษา (“And um, next: Ya’ll took welfare cheques. Give us diseases and then collect health care debts?”)
KRS-One - Sound of da Police
อย่างที่รู้กันดีว่าตำรวจกับคนอเมริกันผิวสีนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน นั่นก็เพราะประวัติศาสตร์ความรุนแรงที่ชาวผิวสีมนอเมริกันถูกกระทำจากตำรวจอย่างไม่เป็นธรรม การยิงหรือทำให้เสียชีวิตก่อนจะได้พิสูจน์ความผิดของคนคนหนี่ง เพียงเพราะเขาเป็นคนผิวสี บทเพลงนี่คือบทเพลงจากใจคนผิวสีที่ขอมอบให้ตำรวจอเมริกัน เล่าเรื่องราวการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมอย่างเห็นภาพ เช่น ตำรวจมา เราเลยไล่ออกไป ข้ารู้ดีว่าเอ็งไม่ชอบหน้าข้า หาว่าข้าขายยา ทั้งที่พวกเอ็งนั่นแหละที่ขาย (“Police man come, we bust him out the park. I know this for a fact, you don’t like how I act. You claim I’m sellin’ crack. But you be doin’ that”)
Alright - Kendrick Lamar
บทเพลงอันทรงพลังที่สาธยายความลำบากและชีวิตที่ต้องดิ้นรนของเหล่าคนที่เกิดมาเป็นคนผิวสี จนต้องขอความเมตตาจากพระเจ้าเท่านั้น (“Alls my life I has to fight, nigga. Alls my life I Hard times like, yah! Bad trips like, yah! Nazareth, I'm fucked up. Homie, you fucked up. But if God got us then we gon' be alright”)
2Pac - Changes
หากเอ่ยถึง King of Rap ไม่มีใครที่จะเป็นตำนานไปกว่า Tupac Shakur หรือ 2Pac ที่แม้ว่าจะเสียชีวิตไปในวัยแค่ 25 ปี แต่เขาก็ได้ฝากมรดกไว้กับวงการ Rap & Hip Hop ด้วยบทเพลงที่เป็นดั่งบทกวีร่ายความเส็งเคร็งและการเลือกปฏิบัติของปผู้มีอำนาจในสังคม “ความเปลี่ยนแปลงยังไม่ปรากฏ ข้าขอเพียงคงามสงบสุขก็ไม่ได้หรือ สงครามมีให้เห็นทุกที่ ตั้งแต่หัวถนนไปจนถึงตะวันออกกลาง แทนที่จะต่อสู้กับความยากจน ดันมาต่อสู้กับยาเสพติดฃ เพื่อหาข้ออ้างยัดความผิดให้ข้า” (“And still I see no changes. Can’t a brother get a little peace? It’s war on the streets and a war in the Middle East. Instead of war on poverty, they got a war on drugs so the police can bother me”)
Rap Against Dictatorship - ประเทศกูมี
Rap Against Dictatorship คือเหล่าแรปเปอร์ไทยที่มารวมตัวกันเพื่อแสดงพลังแห่งความกราดเกรี้ยวต่อสภาพสังคมไทยผ่านเพลง Rap โดยมี Liberate P, Hockhacker, Jacoboi, ET และ K-Aglet เป็นหัวหอกของกลุ่ม โดยจุดเริ่มต้นของเพลง ประเทศกูมี นั้นเริ่มมาจากแค่ความเซ็งที่ประเทศไทยยังไม่มีเพลง Rap วิพากษ์วิจารณ์สังคม ซึ่งการสะท้อนสังคมก็เป็นหนึ่งในดีเอ็นเอหลักของเพลงตระกูลนี้ บวกกับการที่พวกเขาเองก็สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ไทย และเบื่อหน่ายเต็มทีกับสภาพสังคมไทยที่เป็นอยู่ ประเทศกูมี จึงได้ถูกคลอดออกมาเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2561 เพื่อเป็นบทเพลงที่ ‘เปล่งเสียง’ แทนใจผู้ฟังชาวไทยที่กำลังอัดอั้นกับสภาพสังคมบ้านเมืองเต็มที โดยเอ็มวีเป็นการนำเสนอภาพเหตุการณ์สังหารหมู่นักศึกษาเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แล้วในตอนท้ายก็มีการขึ้นข้อความว่า “การแบ่งแยกประชาชนออกเป็นฝักฝ่ายคือไม้ตายของอำนาจรัฐที่ฝักใฝ่เผด็จการ เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น อำนาจทั้งหมดของประชาชนจะถูกพรากจากไป ด้วยความระลึกถึง ทุกชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อจากอาชญากรรมโดยรัฐ ทุกเหตุการณ์”
นอกจากจะทำปรากฏการณ์ยอดวิว 3 แสนครั้งภายในวันแรกที่เปิดตัว หลังปล่อยเพลงออกมาได้เพียง 3 วัน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็ได้ออกมาบอกว่าเตรียมเรียกกลุ่มแรปเปอร์เข้ามาสอบปากคำ เพราะต้องสงสัยว่า อาจมีเจตนาที่จะก่อความวุ่นวายและขัดคำสั่ง คสช. แต่สุดท้ายก็ไม่พบหลักฐานที่จะเอาผิดศิลปินได้ จนกระทั่งล่วงเลยมาถึงวันนี้ที่ Hockhacker เดชาธร บำรุงเมือง หนึ่งในศิลปินกลุ่ม Rap Against Dictatorship ถูกควบคุมตัวหลังจากที่ได้ไปขึ้นร้องเพลงในงานชุมนุมกลุ่มเยาวชนปลดแอก เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ผ่านมา
“ประเทศที่รัฐบาลไม่มีใครกล้าลบหลู่ ประเทศที่มีกฎหมายไว้ให้ตำรวจข่มขู่ ประเทศที่คนมีความคิดต้องแสร้งว่าหลับอยู่ และถ้ามึงไม่อยากอยู่ถ้าเกิดเขาบังคับมึงก็ต้องอยู่ ประเทศที่คนไม่อ่านหนังสือโดยเฉพาะผู้นำ ประเทศที่บอกให้อยู่เฉย ๆ ถ้าไม่อยากนอนเรือนจำ ประเทศที่คนมียศทุจริตแค่ไหนก็รอดทั้งวัน ประเทศกูมี ประเทศกูมี”
บทเพลงจากที่ทำให้พวกเขาได้บินลัดฟ้าไปรับรางวัลด้านสิทธิมนุษยชนระดับโลก จากประเทศนอร์เวย์ เมื่อปีที่ผ่านมา แต่วันนี้บทเพลงนี้ได้สะท้อนความจริง… สิ่งที่วันนี้ได้ช่วยตอกย้ำว่า ท่อนด้านบนนั้นมัน ‘จริง’ เพียงใด