art of_olafur.jpg

Olafur Eliasson ศิลปินผู้ยกน้ำแข็งจากกรีนแลนด์และสร้างดวงอาทิตย์ในมิวเซียม

Post on 17 March

“ผมเติบโตท่ามกลางศิลปะที่โอบรับนามธรรม ตำนาน และอนุญาตให้มีพื้นที่สำหรับจินตนาการ”

Olafur Eliasson คือศิลปินชาวเดนมาร์กผู้ใช้แสง อากาศ อุณหภูมิ น้ำ และสารพัดองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติสร้างสรรค์ประติมากรรมและงานอินสตอลเลชั่นขนาดใหญ่ ความตั้งใจของเขาคือการสร้างงานศิลปะที่สื่อสารและสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก การเคลื่อนไหว และมุมมองที่แตกต่างของผู้ชมต่อศิลปะ

แรกเริ่มเดิมทีการเข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะของ Eliasson เป็นไปเพื่อหลบหนีปัญหาทางครอบครัวที่เขาเผชิญอยู่และต้องการให้พ่อประทับใจในความเป็นศิลปินของเขา แต่นับจากวันแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปยังโรงเรียนศิลปะจนวันนี้ Eliasson อยู่ในวงการศิลปะมากว่า 3 ทศวรรษแล้ว ทั้งยังสร้างสรรค์งานแสดงเดี่ยวกว่า 165 รายการ การแสดงกลุ่มกว่า 735 รายการ เคยเข้าร่วมงานแสดงศิลปะมาแล้วไม่น้อยกว่า 36 งานและร่วมจัดแสดงงานในนิทรรศการทุก ๆ สองปีกว่า 40 งาน อีกทั้งผลงานศิลปะของเขายังอยู่ในคอลเล็กชั่นพิพิธภัณฑ์อย่างน้อย 76 แห่ง

Eliasson สร้างสรรค์ผลงานที่มากขนาดนี้ด้วยความเชื่อว่าศิลปะเปลี่ยนแปลงสังคม สิ่งแวดล้อม และจิตใจของคนได้ เขายังเป็นศิลปินผู้มาก่อนกาลที่ใส่ใจเรื่องผลกระทบของมนุษย์ที่มีต่อโลก ทั้งยังเป็นศิลปินผู้ลงทุนลงแรงกับทุกสิ่งเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงศิลปะและสารที่จะสื่อ เช่นว่านำน้ำแข็งจากกรีนด์แลนด์ 100 ตันมาตั้งที่กลางเมืองสำคัญ ๆ ให้คนได้สัมผัส หรือสร้างดวงอาทิตย์จำลองขนาดมหึมาในพิพิธภัณฑ์

GroundControl จึงอยากชวนทุกคนลงลึกถึงชีวิตและผลงานของศิลปินผู้นี้ เผื่อว่าจะเข้าใจแก่นแกนงานของเขาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

Olafur Eliasson กับธรรมชาติวัยเด็กและครอบครัวศิลปิน

Olafur Eliasson เกิดที่โคเปนเฮเกน เมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ก เมื่อปี 1967 แต่ชีวิตวัยเด็กส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่ไอซ์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศบ้านเกิดของพ่อแม่มากกว่า กิจกรรมของ Eliasson ในวัยเด็กจึงมักเป็นการพกอุปกรณ์ศิลปะไปวาดภาพขณะพักจากการเดินป่าเขา ธรรมชาติที่สวยงามและระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ในประเทศที่อาศัยนี้เองที่มีผลต่องานของ Eliasson ในอนาคต

<p>Olafur Eliasson จะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของพ่อแม่อย่าง Iceland ทุกปีเพื่อบันทึกธรรมชาติเก็บไว้ ส่วนภาพนี้คือภาพการเดินทางของเขาเมื่อปี 2015</p>

Olafur Eliasson จะเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของพ่อแม่อย่าง Iceland ทุกปีเพื่อบันทึกธรรมชาติเก็บไว้ ส่วนภาพนี้คือภาพการเดินทางของเขาเมื่อปี 2015

ครอบครัวของเขาก็มีผลต่อการเป็นศิลปินชื่อดังไม่แพ้กัน แม่ของเขาทำงานเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่เกิดและเติบโตในหมู่บ้านชาวประมงซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ส่วนพ่อของเขาเป็นศิลปินสมัครเล่นที่ทำงานเป็นพ่อครัวในเรือประมง ครอบครัวฝ่ายพ่อของ Eliasson ยังเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนศิลปะเล็ก ๆ ในเมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ โดยมีปู่เป็นผู้จัดพิมพ์วรรณกรรมแนวหน้า ส่วนยายก็เป็นช่างภาพหญิง จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หาก Eliasson จะมีความเป็นศิลปินตั้งแต่เด็กชนิดที่สามารถวาดทุกส่วนของโครงกระดูกมนุษย์ได้อย่างหมดจดตั้งแต่อายุเพียง 14 ปี และยังได้แสดงภาพวาดทิวทัศน์ของตนเองในแกลลอรี่ทางเลือกขนาดเล็กในเดนมาร์กตั้งแต่อายุ 15 ปี

แต่เชื่อไหมว่า Eliasson ในช่วงอายุนั้นหาได้อยากเป็นศิลปินไม่ กลับกลายเป็นว่าการเต้นแบรกแดนซ์ร่วมกับกลุ่มเพื่อน Harlem Gun Crew ถือเป็นงานศิลปะชิ้นแรก ๆ ของเขามากกว่า ความชอบนี้ผลักดันให้เขาและเพื่อน ๆ ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับสแกนดิเนเวีย!

สู่การเป็นศิลปินที่สนใจเรื่องวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และมุมมองของผู้คน

จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Eliasson จริงจังกับการสร้างสรรค์ผลงานในฐานะศิลปินเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1987 จากการที่ปู่ของเขาฆ่าตัวตาย ส่วนพ่อก็ติดเหล้าจนต้องรักษาอาการในโรงพยาบาล Eliasson จึงต้องย้ายกลับไปยังไอซ์แลนด์เพื่อดูแลน้องสาวต่างมารดาผู้มีอายุได้เพียง 2 ขวบเท่านั้น (พ่อกับแม่ของเขาหย่าร้างกันตั้งแต่เขาอายุได้เพียง 4 ปี)

Eliasson ที่เบื่อหน่ายกับชีวิตและอยากหลบหนีจากหลายปัญหา ทั้งอยากให้พ่อชื่นชมในความเป็นศิลปินของเขาจึงตัดสินใจสมัครเรียนที่โรงเรียนศิลปะ Royal Danish Academy of Art โดยไม่ได้คิดว่าจะเป็นศิลปินจริงจังขนาดนี้

การสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะเป็นวิธีตัดการเชื่อมโยงจากหลาย ๆ สิ่ง แต่เมื่อได้เข้าไปเรียนแล้ว ผมก็ได้ตระหนักว่าศิลปะนั้นเกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยง แทนที่จะก้าวออกจากโลก ผมกำลังก้าวเข้าสู่ใจกลางของมันมากกว่า

จากแค่คิดจะเรียนเพื่อหนีปัญหากลายเป็นว่าเขาได้รับทุนไปเป็นผู้ช่วยในสตูดิโอให้กับ Christian Eckart จิตรกรแนวมินิมอล ในปี 1990 ที่บรูคลิน ซึ่งนอกจากช่วยงาน Eckart แล้ว สิ่งที่เขาหมกมุ่นเป็นพิเศษคือการศึกษาตำราทางปรัชญาและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์จนทำให้เขาทึ่งกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและปรากฏการณ์วิทยาซึ่งขึ้นกับประสบการณ์จริงและการตีความมุมมองที่แตกต่างของแต่ละคน ผลงานของเขาโดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ จึงเกี่ยวเนื่องกับประเด็นเหล่านี้เสมอ

อย่าง Beauty ผลงานช่วงแรกเริ่มในปี 1993 ก็เป็นผลงานตัวอย่างที่พูดถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เขาสนใจได้ดี Eliasson ใช้สปอตไลต์ 1 ตัว ส่องเฉียงจากด้านบนไปยังท่อน้ำที่มีรูพรุนเล็ก ๆ หลายพันรู เมื่อระบบของผลงานชิ้นนี้เริ่มสูบน้ำเมื่อไหร่ หยดน้ำหลายพันหยดจะพรั่งพรูออกมา เกิดเป็นม่านหมอกที่ตกกระทบกับแสงจนเกิดเป็นสายรุ้งซึ่งจะทำงานกับผู้ชมแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ระยะห่างระหว่างผู้ชมและม่าน รวมถึงระดับสายตาของผู้ชมด้วย

ส่วนผลงานที่ไม่พูดถึงไม่ได้หากกล่าวถึงความสนใจของ Eliasson ที่มีต่อมุมมองและประสบการณ์เของผู้คนคือผลงาน The Weather Project ในปี 2003 ที่ Tate Modern ในลอนดอน ซึ่งถือเป็นผลงานประติมากรรมและจัดวางขนาดใหญ่ชิ้นแรก ๆ ของเขา

ผลงานชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘ความเป็นอังกฤษ’ ที่ไม่ว่าจะเวลาไหนของวัน บทสนทนาระหว่างผู้คนก็มักเป็นเรื่องราวของดินฟ้าอากาศ ในครั้งนั้น เขาจึงไม่เพียงสร้างงานศิลปะขึ้นมา 1 ชิ้น แต่สร้าง ‘สภาพแวดล้อม’ ที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่เสมือนจริงขึ้นมากกว่า นั่นคือ เขาใช้โคมไฟกว่า 200 ดวง สร้างเป็นดวงอาทิตย์ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 เมตร ส่องสว่างไปยังทุกอณูของพื้นที่แต่กลับไม่ร้อนเช่นที่เราคิดว่าดวงอาทิตย์ควรเป็น ทั้งยังมีอุปกรณ์สร้างหมอกให้ผู้คนในอังกฤษรู้สึกเชื่อมโยงกับสภาพอากาศของตนได้ง่าย และมีกระจกบานใหญ่ติดไว้บนเพดานห้องเพื่อให้ผู้คนที่เข้ามาได้เห็นภาพสะท้อนและเห็นตัวเองในมุมต่าง ๆ

ระหว่างการติดตั้ง 5 เดือน งานชิ้นนี้มีผู้เข้าชมกว่า 2 ล้านคน โดยมีผู้ชมหน้าเก่าแวะเวียนเข้ามาซ้ำ ๆ จำนวนมาก ถือเป็นผลงานการจัดแสดงที่ได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาดจน Tate Modern ต้องการให้ขยายการจัดแสดงออกไปอีก แต่เพราะ Eliasson ไม่อยากให้ผลงานของเขาหลุดออกจากความเป็นศิลปะไปเป็นผลงานที่สร้างเพื่อความบันเทิง การจัดแสดงครั้งนี้จึงจบลงตามเป้าประสงค์ที่ 5 เดือน

การดึงผู้คนให้มีส่วนร่วมกับผลงานเช่นนี้ทำให้ผลงานของเขามีหลากหลายแง่มุมและอุดมด้วยประสบการณ์ที่แตกต่าง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของเขาที่อยากสำรวจความหมายของศิลปะเพื่อทำให้ผู้คนได้กลับมาอยู่กับตัวเองและสภาวะแวดล้อมมากขึ้นนั่นเอง

ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติในผลงานของ Olafur Eliasson

หลังเรียนจบในปี 1995 ไม่นาน ชื่อของ Eliasson ก็ได้รับความสนใจและการยอมรับในระดับนานาชาติ ในปีเดียวกันนี้ เขายังก่อตั้ง Studio Olafur Eliasson ที่เบอร์ลินในฐานะ "ห้องปฏิบัติการเพื่อการวิจัยเชิงพื้นที่" ที่ซึ่ง Eliasson จะทำงานร่วมกับสถาปนิก วิศวกร ช่างฝีมือ และผู้ประสานงานต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่รวมความสนใจเรื่องการเคลื่อนไหว ประสบการณ์ ตัวตน และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ

ผลงานชิ้นแรก ๆ ในนาม Studio Olafur Eliasson คือผลงาน 8900054 ในปี 1996 ซึ่งร่วมมือกับสถาปนิกและผู้เชี่ยวชาญด้านเรขาคณิต Einar Thorsteinn สร้างโดมสแตนเลสกว้าง 30 ฟุต สูง 7 ฟุตที่เสมือนผุดขึ้นจากผืนดินเพื่อให้ผู้ชมตระหนักรู้ถึงสิ่งมีชีวิตที่กำลังเติบโตอย่างช้า ๆ ใต้ผืนดินที่เราไม่อาจมองเห็น ซึ่งเป็นผลงานแรก ๆ ที่แสดงให้เห็นว่านอกจากประเด็นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ Eliasson สร้าง เขายังต้องการให้ผลงานศิลปะของเขาสร้างความตระหนักรู้เรื่องธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่กำลังได้รับผลกระทบจากน้ำมือของมนุษย์ด้วย เรียกได้ว่า Eliasson คือผู้ที่ตระหนักเรื่องมนุษย์และสิ่งแวดล้อมก่อนที่ประเด็น Climate Change จะได้รับการพูดถึงในวงกว้าง

<p>8900054 (1996)</p>

8900054 (1996)

แต่นอกจากผลงานชิ้นแรกชิ้นนี้ ยังมีอีกหลายผลงานที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม เช่น Ice Watch ในปี 2014 ที่เขาได้รับความช่วยเหลือจาก Minik Rosing ผู้ร่วมงานและนักธรณีวิทยาให้ส่งน้ำแข็ง 100 ตันจากฟยอร์ดในกรีนแลนด์ไปติดตั้งยังจัตุรัสกลางเมืองของโคเปนเฮเกน

จากน้ำแข็งก้อนมหึหา 100 ตัน เขาตั้งใจแบ่งน้ำแข็งออกเป็น 12 ก้อนในรูปแบบของนาฬิกาเพื่อนับถอยหลังให้อุณหภูมิโลกและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ขณะที่น้ำแข็งก้อนใหญ่เหล่านี้กำลังละลายอย่างช้า ๆ ผู้คนก็จะได้สัมผัสความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างเป็นรูปธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่ ‘รายงานการวิจัย กราฟ และข้อมูลไม่สามารถทำได้’ และทำอะไรสักอย่างโดยเร็วที่สุดเพื่อไม่ให้หายนะทางธรรมชาติเลวร้ายกว่านี้

การมีประสบการณ์คือการมีส่วนร่วมกับโลก การมีส่วนร่วมกับโลกคือการแบ่งปันความรับผิดชอบ

ความสำเร็จของผลงานชิ้นนี้ทำให้ Eliasson ได้นำ Ice Watch ไปจัดแสดงที่ปารีสและลอนดอนด้วย

ศิลปินผู้ไม่จำกัดสไตล์การสร้างงานและพื้นที่การสร้างสรรค์

ในช่วงแรก ๆ ผลงานของ Eliasson มักจัดแสดงในแกลลอรี่หรือพิพิธภัณฑ์ศิลปะ แต่เมื่อเข้าสู่การเป็นศิลปินอย่างจริงจัง เขาเริ่มขยายขอบเขตจากงานประติมากรรมในพื้นที่ปิดเป็นสถาปัตยกรรม ศิลปะภาพถ่าย และสารพัดรูปแบบที่จัดแสดงในพื้นที่สาธารณะเพื่อให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของงานศิลปะและเพื่อให้ผลงานศิลปะเชื่อมโยงคนกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ผลงานแรก ๆ ที่จัดแสดงนอกอาคารคือ Green River ในปี 1998-2001 ที่เขาใช้สีย้อมสีเขียวที่ไม่เป็นอันตรายซึ่งนักชีววิทยาใช้ติดตามกระแสน้ำหยดใส่ในแม่น้ำในเมือง Bremen, Stockholm, Los Angeles และ Tokyo เพื่อให้ผู้คนได้เห็นว่าแท้จริงแล้วธรรมชาตินั้นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

เรามักจะมองเมืองและพื้นที่ต่าง ๆ เป็นภาพนิ่ง แต่ในความเป็นจริง มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางครั้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทำให้เราตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้

เขาอธิบายถึงไอเดียของผลงานซึ่งทำให้ผู้คนในสตอล์กโฮมที่เดินผ่านแม่น้ำต่างตกใจและกลับมาสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ในปี 2008 เขายังได้รับมอบหมายจากกองทุนศิลปะสาธารณะให้ติดตั้งผลงานศิลปะชั่วคราว เขาจึงเลือกสร้างน้ำตกขนาดใหญ่ในนิวยอร์ก 4 แห่ง ในชื่อ The New York City Waterfalls Eliasson เพราะน้ำตกเป็นสัญลักษณ์ของความผ่อนคลายทั้งยังทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของตัวเองในเมืองขนาดใหญ่อย่างนิวยอร์กที่ซึ่งเต็มไปด้วยอาคารขนาดมหึมา

นอกจากนั้น ผลงานชิ้นนี้ยังได้ปรับแปลงไปติดตั้ง ณ สถานที่มีชื่อเสียงอย่างพระราชวังแวร์ซายในปารีสเมื่อปี 2016 อย่างในภาพทางขวาด้วย

กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ผลงานที่ปังจะสร้างสรรค์ขึ้นได้ด้วยอาหารที่ดี

นอกจากธรรมชาติจะเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงาน อาหารก็ยังเป็นแหล่งพลังงานทางร่างกายและทางความคิดชั้นเยี่ยมที่ Eliasson ให้ความสำคัญ

ตั้งแต่ปี 2005 เขาจึงสร้างห้องครัวในสตูดิโอและมีเชฟประจำนำวัตถุดิบท้องถิ่นออร์แกนิกมารังสรรค์เป็นมื้ออาหารมังสวิรัติแสนอร่อยให้ทุกคนในสตูดิโอได้ทาน นอกจากนั้น ในปี 2016 Eliasson ยังตีพิมพ์หนังสือ The Kitchen ที่รวมตำราอาหารกว่า 100 สูตรที่เสิร์ฟในสตูดิโอของเขาวางขายด้วย

<p>Eliasson นั่งทานอาหารร่วมกับสตาฟในสตูดิโอที่เบอร์ลิน</p>

Eliasson นั่งทานอาหารร่วมกับสตาฟในสตูดิโอที่เบอร์ลิน

อาหารที่อุดมด้วยประโยชน์มากมีและยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในงานนิทรรศการของเขาเช่นกัน อย่าง Eliasson In Real Life ที่ Tate Modern ในปี 2019 หัวหน้าเชฟของสตูดิโอและหัวหน้าเชฟแห่งร้านอาหารของก็ได้พัฒนาเมนูพิเศษสำหรับ Tate's Terrace Bar ด้วย

ศิลปินนักเคลื่อนไหวผู้เชื่อในศิลปะเพื่อสังคม

หลังจาก Eliasson ได้แต่งงานกับ Marianne Krogh Jensen นักประวัติศาสตร์ศิลป์ชาวเดนมาร์กในปี 2003 พวกเขาก็รับเด็กชายและเด็กหญิงจากเอธิโอเปีย 2 คนเป็นบุตรบุญธรรม แต่การใช้ชื่อเสียงและความสามารถของตนเองเพื่อสังคมเช่นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงชีวิตคู่ของเขาเท่านั้น เขายังพัฒนาเป็นโปรเจกต์ศิลปะที่ช่วยพัฒนาสังคมและชีวิตความเป็นอยู่ของเพื่อนมนุษย์อีกจำนวนมากจนนอกจากเขาจะเป็นศิลปินที่เคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว เราก็อาจเรียกได้ว่า Eliasson เป็นศิลปินเพื่อสังคมอีกคนหนึ่ง

ในปี 2012 เขาได้สร้างโปรเจกต์ Little Suns โคมไฟพลังงานแสงอาทิตย์แบบพกพาให้ชุมชนยากจนได้ใช้ ทั้งยังนำเงินที่ได้จากการขายงานศิลปะสร้างมูลนิธิ 121 เอธิโอเปียกับภรรยาเพื่อให้ทุนแก่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในแอฟริกาด้วย นอกจากนั้น เมื่อมีโอกาสได้เดินทางไปหารือยังประเทศต่าง ๆ เขายังยกประเด็นศิลปะเพื่อสังคมมาประชุมกับองค์กรต่าง ๆ เพื่อหาวิธีทางที่ศิลปะจะส่งผลดีและสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้แก่มนุษยชาติอยู่เสมอ

ผมกำลังพูดคุยกับผู้คนที่เข้าใจถึงขอบเขตที่ศิลปะจะทำได้ในจำนวนที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งผู้คนจากสหภาพยุโรป จากมุมต่าง ๆ ของสหประชาชาติ ผู้คนที่ทำงานในพื้นที่ห่างไกลของเอธิโอเปีย ประเทศเนปาล แม้แต่ในเวทีเศรษฐกิจโลกอย่าง DAVOS ศิลปะก็ค่อย ๆ ถอยห่างจากความบันเทิงและเข้ามามีบทบาทโดดเด่นยิ่งขึ้น เช่น ผู้คนต่างตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการใช้พลังงานที่ไม่เท่าเทียมกันจะแก้ไขได้ด้วยพลังบางอย่างของศิลปะ

ปัจจุบัน Olafur Eliasson ยังคงสร้างสรรค์ผลงานศิลปะหลากแขนงที่ผสมผสานเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ และยังคงเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อเป้าประสงค์ของเขาที่จะทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกับพื้นที่เพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงประเด็นปัญหาที่เขาต้องการสื่อสาร นั่นก็คือศิลปะที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจตัวเองและโลกใบนี้

อ้างอิง : 

britannica
dw
wepresent.wetransfer
designboom
artfacts
theartstory
brightonfestival
britannica
phaidon