Pablo Picasso.jpg

Pablo Picasso ตัวเต็งคิวบิสม์และศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

Post on 24 October

ถ้าพูดถึงศิลปินคนสำคัญในศตวรรษที่ 20 ชื่อของ Pablo Picasso ศิลปินชาวสเปนที่ทำงานศิลปะหลากหลายรูปแบบคนนี้จะต้องติดอันดับศิลปินในดวงใจใครหลายคน เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผลงานตลอดช่วงชีวิตของเขาล้วนแต่เป็นที่รู้จักทั้งนั้น โดยเฉพาะผลงานในช่วง Blue Period และผลงานการพัฒนาลัทธิบาศกนิยมหรือ Cubism 

ไม่เพียงแต่ความสามารถทางศิลปะเท่านั้น แต่ประเด็นที่เขามักจะหยิบมานำเสนอในผลงานก็ยังเป็นที่พูดถึงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนชายขอบ โสเภณี หรือสงคราม จนเขาน่าจะเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20 ในแง่ของศิลปะและการเคลื่อนไหวทางศิลปะ

แต่ถึงอย่างนั้น ในอีกแง่มุมหนึ่ง เขาก็ได้รับการขนานนามและได้รับกระแสต่อต้านเพราะเมื่อถอดความเป็นศิลปินออกแล้ว เขาคือชายคนหนึ่งที่นอกใจคนรัก กักขังหน่วงเหนี่ยว นิยมสาวแรกรุ่น และดูถูกผู้หญิงมากมาย เรียกว่าตลอดชีวิตของเขา ผู้หญิงเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนทั้งทางกาย จิตใจ และการทำงาน

วันนี้ เราจึงอยากพาทุกคนไปทำสำรวจ 7 ความจริงเกี่ยวกับปิกัสโซ ว่าข้างหลังภาพของเขาแฝงเรื่องราวอะไรไว้บ้าง

ปิกัสโซเป็นลูกชายของครูศิลปะ

ขณะที่พ่อของศิลปินหลายคนกีดกันลูกจากศิลปะ แต่เพราะเขาเป็นลูกชายของจิตรกรและศาสตราจารย์ด้านศิลปะที่ประทับใจกับภาพวาดของลูกชายตั้งแต่อายุยังน้อย เขาจึงได้ฝึกฝนศิลปะอย่างจริงจังตั้งแต่อายุได้เพียง 7 ขวบเท่านั้น และแน่นอนว่าพ่อของเขาเป็นครูคนแรก นอกจากนั้น พ่อของเขายังพาเขาไปเยือนมาดริดเพื่อชมผลงานของศิลปินระดับตำนานของสเปนด้วย 

เพราะพรสวรรค์ พรแสวง และแรงสนับสนุน ว่ากันว่าเมื่อปิกัสโซอายุได้ 13 ขวบ พ่อของเขาก็ประกาศว่าจะเลิกสร้างงานศิลปะไปเลยเพราะความสามารถทางศิลปะของลูกชายนั้นล้นเหลือเกินต้าน และเมื่ออายุได้ 16 ปี ปิกัสโซก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะชั้นนำของสเปนในกรุงมาดริดอย่าง Royal Academy of San Fernando แต่เพราะไม่ชอบการเรียนที่ทางการจ๋า เขาเลยเลิกเรียนไป

เรียกว่าในช่วงแรกของการตั้งไข่ในวงการศิลปะ เขามีพื้นฐานด้านศิลปะแบบเรียลลิสม์แบบเต็มๆ จากพ่อและการศึกษาที่ดี ก่อนจะพัฒนาฝีมือของตนเองซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงชีวิตที่ฝรั่งเศส ดินแดนที่เขาสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมากที่สุด

ช่วงแรกของชีวิตศิลปิน เขาซึมเศร้าและไม่มีจะกินในยุค Blue Period

Blue Period นั้นลากยาว 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 1900-1904 เมื่อภาพวาดของเขานั้นเล่าเกี่ยวกับความยากจน โสเภณี คนแก่ คนขอทาน แม่และลูก ความผอมแห้ง คนตาบอด นอกจากนั้น ภาพของเขาในช่วงนี้ยังเต็มไปด้วยสีฟ้าและสีน้ำเงินซึ่งสื่อถึงความเศร้าโศก ความซึมเศร้าและสื่อถึงคนชายขอบที่โดนมองข้าม ซึ่งก็สอดคล้องกับชีวิตช่วงนั้นของเขาในฐานะศิลปินรุ่นใหม่ที่พยายามดิ้นรนหาที่ทางของตัวเอง  

ว่ากันว่าชนวนเริ่มต้นของยุคนี้เกิดขึ้นเมื่อ Carlos Casegemas เพื่อนที่เขาพบในบาร์เซโลนาฆ่าตัวตาย แต่เชื้อเพลิงสำคัญคือการย้ายมาอยู่อาศัยที่ปารีสแบบศิลปินจนๆ คนไม่มีงานกับ Max Jacob และยังหมายรวมถึงการที่เขาได้ไปเยือนเรือนจำหญิง St. Lazare ด้วย แต่ถึงอย่างนั้น นักประวัติศาสตร์ศิลปะก็บอกว่าแนวทางการวาดภาพของเขาก็อาจได้รับอิทธิพลจากศิลปะรอบตัวในขณะนั้นด้วย ไม่ว่าจะนิทรรศการผลงานแนว Fauvism โดยเฉพาะงานของ Henri Matisse 

ภาพที่มาร์กจุดสำคัญว่าเขาจะเบนไปสร้างภาพที่สดใสขึ้นแล้วนั่นคือ La Vie ซึ่งวาดในปี 1903 แต่ภาวะซึมเศร้าของเขาที่สื่อผ่านสีและเรื่องราวไม่ได้จบลงตรงนี้แต่ลากยาวไปจนถึงยุค cubusim เลยทีเดียว

แต่ความรักก็ช่วยให้โลกสดใสขึ้นในยุค Rose Period

แม้ว่า Blue Period ของเขาจะถูกพูดถึงอยู่เสมอ แต่ Rose Period นั้นสำคัญต่อวงการศิลปะและประวัติศาสตร์มากกว่า เพราะลักษณะการทำงานในช่วงนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของสไตล์ปิกัสโซจนทำให้เขาเป็นศิลปินที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20 

Rose Period ที่ว่านั้นเกิดขึ้นในปี 1904-1906 หลังจากเขาเริ่มเปลี่ยนจานสีของตัวเองเป็นโทนสีแดง สีส้ม สีชมพู และสีเอิร์ธโทนสดใสจนคนนิยามว่า Rose Period ว่ากันว่ายุคนี้อาจเริ่มขึ้นเพราะเขาได้แฮปปี้กับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับศิลปินและโมเดลชาวฝรั่งเศส Fernande Olivier ซึ่งพบกันในปี 1904 และน่าจะได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมปารีส เพราะภาพวาดของเขามักนำเสนอเรื่องราวของนักกายกรรม นักแสดง หุ่นละครสัตว์ในงานคาร์นิวัล

ช่วงนี้ เขาเริ่มมีเงินจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นเพราะอดีตนักแสดงตลก Clovis Savigot ได้ก่อตั้งหอศิลป์ในปารีสและนำเสนอผลงานของปิกัสโซซึ่งมักนำเสนอเรื่องราวของนักแสดงตลกในงาน การนำเสนอผลงานครั้งนี้ทำให้ปิกัสโซได้ Leo และ Gertrude Stein เป็นนักสะสมผลงานคนสำคัญของเขา

ภาพวาดโสเภณีของเขาทลายโลกศิลปะและถูกวิจารณ์อย่างแรง 

หลังจากยุคสีน้ำเงินกระทั่งยุคสีชมพู เขายังมียุคสีดำหรือยุคที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะแอฟริกา ยุคนี้ เขาหยิบเอาสุนทรียภาพแบบศิลปะแอฟริกันมาใช้ในงานศิลปะ รวมถึงยังได้รับอิทธิพลจาก Tahiti Journal ของ Paul Gauguin ที่ไปศึกษาตำนานท้องถิ่นต่างๆ ที่ Tahiti เกาะเล็กๆ ของฝรั่งเศส นอกจากนั้น ว่ากันว่าปิกัสโซน่าจะได้รับอิทธิพลจากนิทรรศการของ Paul Cézanne ด้วย ปิกัสโซจึงเริ่มผสมผสานศิลปะแบบแอฟริกัน ศิลปะแบบอียิปต์โบราณ ประติมากรรมไอบีเรีย เข้ากับงานโพสต์อิมเพรสชั่นนิสต์ของ Cezanne และ Gauguin

ภาพในช่วงนี้ของปิกัสโซจึงกลับมาหม่นอีกครั้งและมีลายเส้นที่หนักแน่นแข็งแรง ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อที่ทำให้เขาได้ทดลองงานไปสู่งานแบบคิวบิสม์ในยุคต่อไป ในยุคนี้เองที่เขาได้วาดผลงานชิ้นเอกอย่าง Les Demoiselles d'Avignon ขึ้นมา ภาพวาดนี้คือภาพหญิงเปลือยกาย 5 คนที่มีใบหน้าแบบประติมากรรมไอบีเรีย หน้ากากแอฟริกัน และเค้าโครงแบบภาพ The Large Bathers ของ Cezanne ซึ่งว่ากันว่ามันเป็นเพราะพ่อของเขาพาเขาไปที่ซ่องในสเปนตั้งแต่อายุ 13 

ที่ว่าชิ้นเอกเพราะ Les Demoiselles d'Avignon ที่เขาใช้เวลามากกว่า 9 เดือนนั้นเต็มไปด้วยการบิดเบือนและการนำรูปทรงเรขาคณิตมานำเสนอความงามของหญิงที่แตกต่างออกไปจากโลกศิลปะฝรั่งเศสและศิลปะคลาสสิก จนภาพนี้ถือเป็นภาพที่ล้ำสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะสมัยใหม่ 

ไม่ใช่เพราะความแปลกในเชิงศิลปะเท่านั้นที่ทำให้ภาพนี้ได้รับคำด่ามากกว่าคำชมในช่วงแรก แต่เพราะแรกเริ่ม ภาพนี้ชื่อว่า Le Bordel d'Avignon ซึ่งคำว่า Bordel แปลว่าซ่อง ส่วน Avignon ก็ไม่ใช่สถานที่ในฝรั่งเศสที่คนรู้จักแต่กลับเป็นย่านค่าประเวณีในสเปน หลายคนจึงบอกว่าภาพนี้เป็นภาพที่ผิดศีลธรรม แต่เดชะบุญ นักวิจารณ์ศิลปะ Andre Salmon ผู้ดูแลนิทรรศการครั้งแรกได้เปลี่ยนชื่อเป็น Les Demoiselles d'Avignon ที่สื่อถึงหญิงสาวแห่งอาวิญงแทน เพื่อลดคำวิจารณ์ในเชิงลบ

ศิลปินผู้บุกเบิก Cubism 

มาถึงสิ่งสำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้นั่นคือ ‘Cubism’ หรือศิลปะลัทธิบาศกนิยมที่เขาและ ‘Georges Braque’ ร่วมกันพัฒนาขึ้น 

ทั้งคู่ใช้รูปทรงเรขาคณิตแสดงภาพมนุษย์และสิ่งต่างๆ และใช้สีน้ำตาลโมโนโครมในงาน แต่ภายหลังก็เริ่มใช้สีที่หลากหลายขึ้นและเริ่มหยิบจับเอาวัตถุอื่นๆ เช่น กระดาษหนังสือพิมพ์มาตัดแปะลงไปในงานด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อตั้งคำถามถึงความจริงและภาพลวงตา

Neoclassicism และ Surrealism ในภาพวาดที่ดังที่สุด

ช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง Picasso เดินทางไปอิตาลีครั้งแรกในปี 1917 ที่นี่ เขาได้พบกับประติมากรรมโบราณในวาติกันและพิพิธภัณฑ์โบราณคดีในเนเปิลส์ ภาพวาดและภาพโมเสกของชาวโรมันในเมืองปอมเปอี ศิลปะยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาในฟลอเรนซ์และโรม 

ประกอบกับในปี 1918 Olga และ Picasso แต่งงานกัน จากชีวิตแสนวุ่นวายของกลุ่มศิลปิน ความเป็นอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยาจึงทำให้ชีวิตของปิกัสโซค่อยๆ สงบเงียบขึ้น มุมมองและอิทธิพลจากศิลปะตรงนี้เองที่ทำให้เขาหันมาสร้างสรรค์ภาพวาดสไตล์นีโอคลาสสิกที่หยิบเอาองค์ประกอบของศิลปะยุคดั้งเดิมอย่างเรเนอร์ซองส์ กรีก โรมัน มาสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นภาพ Two Women Running on the Beach, Large Bather และ Two Nudes

แต่ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน เขาก็เริ่มผสมผสานแนวคิดสมัยใหม่เข้ากับสไตล์ของตนเองจนสร้างผลงานชิ้นเอกแนวเซอร์เรียลลิสต์อย่าง Guernica (1937) ที่เขาวาดขึ้นเพื่อต่อต้านสงครามทั้งปวง หลังเกิดสงครามกลางเมืองสเปนและการทิ้งระเบิดในเมือง Basque ตัวละครสำคัญในภาพนี้คือมิโนทอร์ ตัวละครในตำนานที่ว่ากันว่าคือสัญลักษณ์แทนอัตตาของปิกัสโซ่ซึ่งเขาเลือกที่จะใช้สัญลักษณ์หลังได้รู้จักกับกลุ่มศิลปินเซอร์เรียลลิสม์

แม้ผลงานชิ้นนี้จะเป็นจุดสนใจของบูธจัดแสดงของสเปนที่งาน Paris World's Fair ในปีนั้น แต่เผด็จการทหารก็ห้ามไม่ให้ภาพของเขาจัดแสดงในสเปนเลย ถือเป็นภาพทางการเมืองที่ทรงอานุภาพในศิลปะสมัยใหม่ 

ขนาดช่วงสุดท้ายของชีวิต ยังเป็นศิลปินผู้บุกเบิกขบวนการ Neo-Expressionism

ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ปิกัสโซหันมาทำงานประติมากรรมขนาดใหญ่อย่าง Chicago Picasso ประติมากรรมสาธารณะสูง 50 ฟุต (15 ม.) ที่ถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กที่คนจดจำได้มากที่สุดในตัวเมืองชิคาโก งานที่ว่านี้ไม่บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นรูปปั้นของอะไร อาจเป็นนก ม้า ผู้หญิง หรือรูปร่างนามธรรม สำหรับงานนี้ เขาปฏิเสธที่จะรับเงินจำนวน 100,000 ดอลลาร์แล้วนำไปบริจาคให้กับผู้คนในเมืองแทน

เขายังผลิตวาดจำนวนมากและแกะสลักแผ่นทองแดงหลายร้อยชิ้น โดยเน้นผสมผสานสไตล์การสร้างงานหลายแบบเข้าไว้ด้วยกัน งานวาดท้ายๆ ของเขายังสร้างงานจิตรกรรมที่มีสีสันและการแสดงออกมากกว่าเดิม นอกจากนั้น เขายังสนุกกับการหยิบจับผลงานคลาสสิกของศิลปินในตำนานมาตีความสร้างสรรค์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผลงานของ Rembrandt, Diego Velazquez และ Edouard Manet ซึ่งภาพวาดที่เกิดขึ้นในช่วงนี้นี่แหละที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการ Neo-Expressionism

ถือว่าตลอดระยะเวลาการเป็นศิลปินของเขา ชื่อของปิกัสโซนั้นสำคัญต่อวงการศิลปะเกือบทุกยุคทุกสมัย ผลงานที่เขาสร้างสรรค์ไม่เพียงแต่น่าทึ่งแต่ยังเป็นตัวชี้นำขบวนการศิลปะหลายรูปแบบ 

ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ VS ชายเป็นใหญ่ที่ดูแคลนผู้หญิง

แม้จะเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะอย่างมหาศาล แต่ปิกัสโซก็ถือเป็นชายและคนรักที่ไม่ดีนัก เพราะเขาเคยกล่าวว่าถ้าผู้หญิงไม่เป็น ‘เทพธิดานางฟ้า’ เธอก็เป็นเพียง ‘พรมเช็ดเท้า’ เท่านั้นล่ะ

ในฐานะคนรัก เขาทั้งนอกใจ กัดขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายจิตใจคนรักและภรรยามาตลอดวีรกรรมหนึ่งที่โด่งดังคือในช่วงวัยรุ่น เขาเคยล็อกประตูคนรักไม่ให้เธอออกจากห้องเพราะหึงเธอ เขายังวาดภาพนู้ดลูกสาวบุญธรรมวัย 13 ปี จนเธอต้องถูกส่งกลับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นอกจากนั้น ในช่วงวัย 60-70 ปี เขายังมีเมียเด็กที่อายุห่างกันถึง 40 ปี! 

วีรกรรมยอดแย่ในด้านความรักของเขายังมีมากกว่านั้น เพราะเขายังปั้นไข่จิ๋วของตัวเองต่อหน้าภรรยาคนที่สองเพื่อมอบให้กับหญิงสาวที่เขาชื่นชอบ และหากหญิงคนไหนได้รับมอบเป็นของขวัญ เธอก็จะไม่ได้กลับบ้านในคืนนั้น และถ้าคนรักของเขาเริ่มป่วยไข้ หรือเขาเริ่มเบื่อเธอแล้ว เขาก็จะเริ่มล่าเหยื่อใหม่ทันทีโดยที่ไม่ได้สนใจใยดีหัวใจของพวกเธอ จนอดีตคนรักของเขาบางคนถึงกับเป็นบ้า และบางคนก็เลือกจะฆ่าตัวตายตามเขาไปหลังจากที่เขาเสียชีวิต

เรียกว่าคนหนึ่งคนมีบทบาทและตัวตนที่หลากหลายเกินกว่าเราจะคาดเดา

อ้างอิง

pablopicasso
ranke
focusonpicasso