รวม 20 หนังสือ ‘ศิลปะและวัฒนธรรม’ ที่เราว่าน่าเก็บเข้ากองดอง ในงานสัปดาห์หนังสือ 2566

Post on 30 March

วอร์มขาให้พร้อม เพราะวันนี้เราจะชวนทุกคนไปตะลุย ‘งานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 51’ กันแบบไม่มีพัก และเข้าไปจับจองหนังสือแสนรักกันให้เต็มกระเป๋า โดยความพิเศษของปีนี้ คือทางผู้จัดเขาได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้ช้อปหนังสือกันยาว ๆ จนถึงเวลา 24.00 น. ในช่วง 3 วันแรก เรียกว่าถ้าใครเลิกงานช้า ก็ไม่ต้องกังวล เพราะสามารถเดินทางมาเลือกหนังสือทันแน่นอน

และในฐานะหนอนหนังสือตัวยง เราเชื่อว่าเพื่อน ๆ ทุกคนน่าจะเตรียมลิสต์หนังสือดี ๆ เอาไว้ในใจกันมากมาย และกำลังจะออกไปช้อปให้ล้มละลายกันไปข้างหนึ่งเป็นแน่ ซึ่งพวกเราชาว GroundControl เองก็มีเหมือนกัน แต่จะให้เก็บของดีไว้คนเดียวก็กระไรอยู่ เลยขอเอารายชื่อหนังสือหมวด ‘ศิลปะและวัฒนธรรม’ ที่น่าซื้อมาดอง เอ้ย! มาอ่าน มาแบ่งปันให้เพื่อน ๆ ลองตามไปเก็บกันแบบจุก ๆ ถึง 20 เล่ม ทุกคนจะได้มุ่งตรงไปซื้อได้ทันทีโดยไม่เสียเวลาเลือกนาน

แม่ง โคตรโฟนี่เลย : การเมือง วรรณกรรมในยุคที่สุนัขไม่ใช่หมาเสมอไป แต่ประชาชนยังเป็นควายเหมือนเดิม

สำนักพิมพ์: Bookscape

เราจะพูด เราจะบอก เราจะเขียน อย่างคนธรรมดา... เราจะทำให้พวกเขาเห็นว่า พลังของปลายปากกา อยู่ที่สัจจะของความเป็นคนสามัญ ไม่ใช่การแอบอยู่หลังหรือแอบอ้างลายเซ็นใคร และถ้าหากจะวัดกันที่ลายเซ็นขึ้นมา ก็ให้รู้ไว้ว่า ลายเซ็นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือลายเซ็นจากปลายปากกาในคูหาเลือกตั้ง

ถ้าปากกาจะ "อยู่ที่มัน" เพราะมันถือดีว่าเป็นผู้มีเกียรติเหนือใคร ก็ขอให้รู้ไว้เถิดว่า เกียรตินั้นพิสูจน์กันได้ที่ความโปร่งใส ไม่ใช่ที่การห้ามวิจารณ์ ห้ามทำให้เสื่อมเสีย และถ้ามันจะคิดว่าปากกา "อยู่ที่มัน" เพราะมันมีอำนาจอันละเมิดมิได้ ก็ขอให้รู้ไว้เถิดว่า อำนาจเยี่ยงนั้นหาใช่อะไร นอกจากอำนาจอย่างลูกแหง่ อำนาจของคนแหย

ปากกาอยู่ที่มัน แต่ปากกาก็อยู่ที่เรา บอกพวกเขา บอกพวกเรา ว่าความสามัญคือความสำคัญ ไม่ว่าจะเรียกมันว่า เศียรข้าพเจ้า ศีรษะดิฉัน หรือหัวกู พิเคราะห์แล้วจึงเห็นว่า พลังจากปลายปากกา คนธรรมดาก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้

ญี่ปุ่นป็อป: จากประดิษฐกรรมแห่งฝันสู่มหาอำนาจทางจินตนาการ

สำนักพิมพ์: Bookscape

“ญี่ปุ่นร่ำรวยขึ้นโดยการขายสิ่งที่ จำเป็น สำหรับพวกเรา แต่ญี่ปุ่นเป็นที่รักของทุกคนโดยการขายสิ่งที่พวกเรา อยากได้”

แมตต์ ออลต์ ผู้เชี่ยวชาญสื่อญี่ปุ่น จะพาไปถอดรหัสวัฒนธรรมป็อปที่ครองใจคนทั่วโลก ผ่านประดิษฐกรรมญี่ปุ่นที่เราหลงรัก ไม่ว่าจะเป็น เฮลโลคิตตี้ ที่ผงาดขึ้นในโลกชายเป็นใหญ่ด้วยความคาวาอี้, เครื่องคาราโอเกะ ที่ทำให้แม้แต่ซาลารี่แมนธรรมดาๆ ก็เป็นดาราได้, เกมนินเทนโด ที่เป็นสนามเด็กเล่นของเด็กรุ่นใหม่ และหลุมหลบภัยจากพิษเศรษฐกิจของวัยทำงาน, มังงะ ที่วิวัฒนาการจากสื่อบันเทิงสู่สัญลักษณ์ความขบถของวัยรุ่นรอบโลก และอีกสารพัดสารพัน!

ไม่ว่าโลกจะเลวร้ายแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่าญี่ปุ่นจะเตรียมจินตนาการใหม่ๆ ไว้ให้เราประหลาดใจอยู่เสมอ ร่วมหาคำตอบว่าญี่ปุ่นผงาดขึ้นจากประเทศแพ้สงครามสู่มหาอำนาจทางจินตนาการได้อย่างไร และประดิษฐกรรมแห่งฝันของญี่ปุ่นมีส่วนขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ชาติ พลิกโฉมวัฒนธรรมโลก กระทั่งประกอบสร้างวิถีชีวิตยุคใหม่ที่เราคุ้นเคยอย่างไรบ้าง

แล้วคุณจะมองสารพัดข้าวของญี่ปุ่นรอบตัวไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะในทุกความ “ป็อป” คือจิตวิญญาณเปี่ยมสีสันฉบับเมดอินเจแปน

The Science of Storytelling

ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่องให้ตรึงใจด้วยวิทยาศาสตร์สมอง

สำนักพิมพ์: Bookscape

เหตุใดเราจึงเห็นใจวีรชนผู้ต่ำต้อยอย่างโอลิเวอร์ ทวิสต์
อะไรคือเบื้องหลังอัจฉริยภาพของเชกสเปียร์ที่เล่นกับจิตวิทยาของมนุษย์
การวางโครงเรื่องห้าองก์ใน The Godfather ทรงประสิทธิภาพอย่างไร
ทำไมบทสารภาพรักสุดคลาสสิกใน Notting Hill จึงติดตรึงใจคนทั่วโลก

เรื่องเล่าอยู่คู่กับมนุษย์เรามาหลายชั่วคน เราตื่นตาเมื่อฟังตำนานปรัมปรา เสพติดเรื่องซุบซิบคนดัง ตื่นเต้นกับนิยายสุดเข้มข้น หรือตื้นตันยามเห็นฉากหวานซึ้งบนจอภาพยนตร์ แต่ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังมนตร์ขลังของเรื่องเล่าอันตรึงใจนั้นมีวิทยาศาสตร์ซ่อนอยู่!

วิล สตอร์ นักเขียนและนักเล่าเรื่องมากประสบการณ์ สกัดแก่นความรู้จากหลักสูตรพัฒนาการเล่าเรื่อง ผสมผสานกับข้อค้นพบทางประสาทวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา ก่อเกิดเป็น “ศาสตร์แห่งการเล่าเรื่อง” เพื่อสร้างสรรค์เรื่องราวที่จับใจคน พร้อมเคล็ดลับฉบับเข้าใจง่ายที่ประยุกต์ใช้ได้จริง เช่น การสร้างโลกสมมติใบใหม่ผ่านแบบจำลองในสมอง การใช้ “ช่องว่างของข้อมูล” กระตุ้นความสงสัยใคร่รู้ การสร้างตัวละครผ่านแนวคิด “ตัวเอกทุกคนคือตัวร้าย” ฯลฯ

หากโลกที่เรารับรู้คือเรื่องเล่าที่สมองปรุงแต่งให้ กุญแจสู่เรื่องเล่าที่ตรึงใจย่อมซ่อนอยู่ในกลไกสมอง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเขียนนิยาย บทละคร สารคดี หรือคนทำงานสื่อสารที่ต้องการเล่าเรื่องให้จับใจ นี่คือบทเรียนชั้นดีที่กลั่นกรองจากสมองนักเล่าเรื่อง เพื่อรังสรรค์เรื่องเล่าที่ร่ายมนตร์สะกดให้มนุษย์หลงใหลไม่เคยเสื่อมคลาย

REVOLT

โลกาปฏิวัติ

สำนักพิมพ์: Sophia (Amarin)

ยุคสมัยที่มนุษย์เจริญที่สุดในทางวัตถุ ทำไมผู้คนทั่วโลกถึงสิ้นหวังยิ่งกว่ายุคไหน ๆ

ยุคสมัยที่ผู้คนตรวจสอบความจริงด้วยตัวเองได้ในเสี้ยววินาที ทำไมโลกจึงล้นไปด้วยข่าวเท็จเทียม

ยุคสมัยที่เราเชื่อมต่อกันเพียงปลายนิ้ว ทำไมผู้คนกลับแปลกแยกและห่างเหินกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ยุคสมัยที่ประเทศส่วนมากเป็นประชาธิปไตย ทำไมคนรุ่นใหม่จึงไม่ศรัทธาสถาบันทางสังคมของตนเอง และโน้มเอียงเข้าหาลัทธิสุดโต่งทางการเมือง

“นาดาฟ เอยัล” นักเขียนและนักข่าวมือรางวัลแห่งประเทศอิสราเอล พาคุณท่องไปในประวัติศาสตร์อันรุ่มรวยและเจ็บปวดของโลกาภิวัตน์ เพื่อเข้าใจรากเหง้าการปฏิวัติแห่งยุคสมัย เพราะโลกภิวัฒน์คือเหรียญสองด้าน พามนุษยชาติเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมทราม เราไม่อาจกล่าวประณามฝ่ายใดได้เพียงฝ่ายเดียว สำหรับความตกต่ำและความรุนแรงที่โยงใยกันระดับโลก

เลิกต้านทานมัน และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระแสลม นั่นคือหนทางเดียวที่จะผันพลังงานแห่งการปฏิวัติไปสู่การปฏิรูปได้!

The 99% INVISIBLE CITY

มหัศจรรย์เมืองที่มองไม่เห็น

สำนักพิมพ์: Bookscape

“เมืองที่เรารู้จักและมองเห็นอาจเป็นเพียง 1% ของทั้งหมด”

เทพีเสรีภาพไม่ได้เป็นสีเขียว หอไอเฟลเคยเป็นสิ่งรกตา ไชน่าทาวน์เกิดขึ้นเพื่อคนขาวอเมริกัน ป้ายบิลบอร์ดในบราซิลคือฉากกำบังความเหลื่อมล้ำ ฝาท่อญี่ปุ่นแสนน่ารักซุกซ่อนความลับที่ช่วยปกป้องชาวเมือง

The 99% Invisible City จากสองนักจัดพอดแคสต์ชื่อดัง 99% Invisible ชวนสำรวจเมืองในมุมที่คุณอาจไม่เคยเห็น หรือเคยเห็นแต่ไม่เคยใส่ใจ ทำความรู้จักต้นกำเนิดและเกร็ดสนุกๆ เบื้องหลังงานออกแบบในเมืองต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่เรื่องใหญ่มหึมาอย่างการประชันความสูงตึกระฟ้า ไปจนถึงสิ่งละอันพันละน้อยอย่างที่พักแขนม้านั่งที่อาจไม่เอื้อให้ใครบางคนพักพิง พร้อมข้อมูลเชิงลึกและเรื่องราวชวนทึ่งของการออกแบบเมืองที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม สิ่งแวดล้อม นโยบายสาธารณะ ตลอดจนเรื่องสุขเศร้าเคล้าน้ำตาของผู้คน

มาปลุกหัวใจนักสำรวจ เปิดมุมมองให้กว้าง เพื่อให้ "เห็น" เมืองมุมใหม่อีก 99% ที่ซ่อนเร้นอยู่รอบตัว แล้วทุกเมืองธรรมดาสามัญจะกลายเป็นโลกมหัศจรรย์ที่เปี่ยมด้วยเรื่องราว

A Cat’s Tale

ประวัติศาสตร์แมวมอง

สำนักพิมพ์: Sophia (Amarin)

ทุกวันนี้คำว่า “ทาสแมว” กลายเป็นคำเรียกคนรักแมวที่เราใช้กันจนชิน ซึ่งหากดูพฤติกรรมคนเลี้ยงแมวหลายคนแล้วก็คงไม่ผิดไปจากนั้นสักเท่าไร ทั้งพะเน้าพะนอเอาใจเลือกสรรแต่อาหารดี ๆ ยังมีกระบะทราย คอนโดแมว ชุดสวย ๆ และของเล่นสารพัดที่หามาประเคนเพื่อให้ “พวกท่าน” ที่บ้านเราพอใจ แต่หลายคนมักเจอปัญหาเดียวกันคือ ไม่ว่าเอาใจเท่าไรก็ไม่เคยได้ใจเธอเลย บรรดาของแพงๆที่ซื้อให้ไม่เคยถูกใจ แถมยังท่าทางยิ่งยโส เฉยชา และเอาแน่เอานอนไม่ได้อีก

สรุปแล้ว แมวต้องการอะไรกันแน่ เรื่องนี้คงไม่มีใครรู้ดีเท่าแมว หากอยากรู้จักแมวให้ลึกซึ้งคงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ต้น แมวบาบาจะพาเราย้อนประวัติศาสตร์กลับไปตั้งแต่มนุษย์เริ่มสร้างอารยธรรม แมวกับคนเริ่มผูกสัมพันธ์กันด้วยเรื่องสามัญ แมวจับหนู ฆ่างู ไล่แมงป่อง ส่วนคนให้อาหารและที่อยู่อาศัยกับแมว เป็นการเกื้อหนุนกันแบบที่บาบาเรียกว่า “เป็นหุ้นส่วนชีวิต”

ตลอดการเดินทางที่กินเวลาหลายพันปีมนุษย์กับแมว ร่วมทำอะไรด้วยกันมามาก เราต่อสู้ในสงครามมาด้วยกัน ร่วมกันฝ่าคลื่นทะเลเพื่อค้นหาดินแดนใหม่ แมวบางตัวยอมเสี่ยงชีวิตขึ้นเครื่องบินเป็นเพื่อนเพื่อให้มนุษย์สร้างสถิติระดับโลก หรือแม้กระทั่งจับมือสู่เส้นทางฮอลลีวู้ดด้วยกันหลายครั้งแมวยังเป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณให้มนุษย์ และทำหลายสิ่งหลายอย่างแบบที่เราคงไม่เคยนึกว่าสัตว์ตัวเล็ก ๆ แบบพวกเขาจะทำได้ ที่ว่ามาทั้งหมดเป็นแค่ส่วนน้อยของวีรกรรมเจ้าเหมียวที่น่าจดจำ ฟังแบบนี้แล้วคงคิดว่ามนุษย์ทั้งรักและผูกพันกับแมวอย่างแน่นแฟ้นเสมอมา แต่ประวัติศาสตร์ไม่ได้มีแค่รอยยิ้มและชัยชนะ

ที่ผ่านมา แมวไม่ได้อยู่ในสถานะที่ได้รับการเคารพเทิดทูนและรักใคร่อยู่ตลอด บางยุคบางสมัยมนุษย์ก็ใจร้ายใจดำกับแมวอย่างไม่น่าให้อภัย ยามรักก็คลั่งรักเสียเหลือเกิน แต่ยามเกลียดก็ปลิดชีวิตทิ้งกันง่าย ๆ เราคิดว่าแมวเข้าใจยาก แต่หากได้ลองย้อนประวัติศาสตร์อาจพบว่ามนุษย์เข้าใจยากกว่า มนุษย์ยังตั้งตนว่าประเสริฐกว่าสัตว์อื่น แต่ก็ประวัติศาสตร์อีกนั่นแหละที่ทำให้เราต้องกลับมาคิดว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ในขณะที่บาบาชวนให้เรารู้จักแมวในอดีตหลายตัว แต่สิ่งที่ได้กลับมามากกว่านั้นคือ เรารู้จักมนุษย์เองมากขึ้นด้วย

ประวัติศาสตร์คือกระจกชั้นดีที่สะท้อนธรรมชาติความเป็นมนุษย์ให้เราเห็น และยิ่งเมื่อถ่ายทอดผ่านมุมมองของสายพันธุ์อื่นก็ยิ่งแจ่มชัด เราอาจบอกไม่ได้ว่าเรื่องเล่าของบาบาจะให้คำตอบทุกเรื่องที่ทุกคนอยากรู้ได้หรือไม่ แต่เราเชื่อว่านอกเหนือจากสิ่งที่หลายคนอยากฟัง คุณจะค้นพบสิ่งอื่น ๆ ในเรื่องราวเหล่านี้ด้วย

นี่แหละทรราชย์ Graphic Edition: 20 บทเรียนจากศตวรรษที่ 20

สำนักพิมพ์: Bookscape

“นี่แหละทรราชย์ คือคู่มือตาสว่างว่าด้วยการพิทักษ์และรักษาประชาธิปไตย สำหรับใครก็ตามที่อยากเรียนรู้จากอดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบัน” — เคน เบิร์นส์

ทิโมธี สไนเดอร์ ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเยล ถ่ายทอด 20 บทเรียนจากศตวรรษที่ 20 เมื่อทรราชย์ก้าวขึ้นเป็นใหญ่ และประชาธิปไตยถูกคุกคามทั่วโลก จากนาซีเยอรมนีถึงยุโรปตะวันออก จากสตาลินถึงคอมมิวนิสต์ จากโดนัลด์ ทรัมป์ ถึงปูติน และจากโฆษณาชวนเชื่อถึงโลกออนไลน์ ร้อยเรียงผ่านภาพวาดอันเฉียบคมทรงพลังโดย นอรา ครุก นักวาดภาพประกอบมือรางวัล

มาร่วมกันถอดบทเรียนว่าอะไรคือผลร้ายของการเอออวยกับทรราชย์ เราจะเอาตัวรอดจาก “การสะกดจิตหมู่” ผ่านสื่อได้อย่างไร เหตุใดเราจึงพึงระวังรัฐพรรคเดี่ยว และทำอย่างไรจึงจะเป็น “ผู้รักชาติ” ตัวจริง หาใช่เพียง “นักชาตินิยม”

จากวันวานที่ประวัติศาสตร์ถูกฉวยใช้โดยผู้ครองอำนาจ ถึงเวลาแล้วที่เราจะเรียนรู้บทเรียนจากอดีตเพื่อเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน และหาญกล้ายืนหยัดตอบโต้ว่า “นี่แหละทรราชย์” เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ที่เชื้อไฟแห่งทรราชย์ไม่อาจฟื้นคืน

A History of the World in 12 Maps

ประวัติศาสตร์โลกจากแผนที่สิบสองฉบับ

สำนักพิมพ์: ยิบซี

You will never look at a map in quite the same way again.

แล้วคุณจะไม่มองแผนที่ในแบบเดิมอีกต่อไป

แผนที่เป็นเอกสารหลักฐานที่มีความน่าพิศวงไม่สิ้นสุดและความกระหายอยากในการสร้างแผนที่เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ เจอร์รี บรอตตัน นักประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการทำแผนที่ซึ่งมีความชำนาญในเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นว่า แผนที่ห่างไกลจากการเป็นเอกสารหลักฐานแบบวัตถุวิสัยซึ่งยึดโยงอย่างเหนียวแน่นกับทัศนะและวาระของช่วงเวลาและสถานที่เฉพาะอย่างไร

หนังสือเริ่มต้นที่ภูมิศาสตร์ของทอเลมีและปิดท้ายด้วยแผนที่ของ Google Earth ซึ่งสำรวจโลกทั้งใบด้วยระบบดาวเทียม บรอตตันสืบค้นแผนที่โลกนับสิบฉบับจากทั่วโลกซึ่งปรากฏขึ้นในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา เพื่อสืบสาวราวเรื่องความเป็นจริงทางภูมิศาสตร์ตลอดเส้นทางอันทอดยาวสู่ยุคปัจจุบันของเรา

A History of the World in 12 Mapsหรือ ประวัติศาสตร์โลกจากแผนที่สิบสองฉบับ คือหนังสือสำหรับผู้ที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์และแผนที่ ในเล่มบรรจุภาพประกอบสวยงาม และแน่นอนว่านี่เป็นหนังสือที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์เกี่ยวกับการทำแผนที่

ฉิบหาย: ประวัติศาสตร์มนุษยชาติฉบับวินาศสันตะโร

สำนักพิมพ์: Bookscape

มนุษย์ (น.) สิ่งมีชีวิตผู้ครอบครองสมองชั้นเลิศ ประดิษฐกรรมสุดล้ำ อาณาจักรยิ่งใหญ่ และอุดมการณ์น่าทึ่ง

มนุษย์ (น.) สิ่งมีชีวิตผู้มีศักยภาพสร้างความฉิบหายระดับวินาศสันตะโร

ทอม ฟิลลิปส์ จะพาคุณท่องประวัติศาสตร์แห่งหายนะจากน้ำมือมนุษย์ สำรวจความวอดวายที่แทรกซึมในแวดวงการเมือง วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และเทคโนโลยี นับตั้งแต่รุ่งอรุณแห่งมนุษยชาติซึ่งเปิดฉากด้วยบรรพบุรุษที่พลัดตกต้นไม้ตายเอาดื้อๆ โคลัมบัสนักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องอับอายเพราะอ่านหน่วยในแผนที่ผิด นโยบายปราบสัตว์รังควานของเหมาเจ๋อตงที่ทำคนล้มตายนับสิบล้าน หรือแนวโน้มจะติดแหง็กในโลกใบนี้ด้วยขยะอวกาศที่มนุษย์สร้างเอง

จงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนดำดิ่งสู่ประวัติศาสตร์ฉบับฉิบหายวายป่วงชนิดที่ไม่เคยอ่านในตำราเล่มไหน กุมขมับไปกับผู้นำโง่เง่า นโยบายชวนหัว และกับดักอคติสารพัด ท่ามกลางสำนวนแสบๆ คันๆ ที่จะทำให้คุณหัวเราะทั้งน้ำตา พร้อมเรียนรู้ว่าอย่าได้ประมาทมนุษย์เกินไป เผื่อวันหนึ่ง (ที่ไม่รู้ว่าวันไหน) เราจะได้หลุดพ้นจากความฉิบหายกันเสียที

หลังบ้านคณะราษฎร : ความรัก ปฏิวัติ และการต่อสู้ของผู้หญิง

สำนักพิมพ์: มติชน

คำกล่าวที่ว่า ผู้หญิงไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง วลีที่บิดเบือนความจริงที่สุดในประวัติศาสตร์ฉบับ "ปิตาธิปไตย"

ในหน้าประวัติศาสตร์การปฏิวัติ 2475 ตามความรับรู้ทั่วไป บทบาทคณะราษฎรที่เป็น "ผู้ชาย" ได้รับการบันทึกซ้ำแล้วซ้ำเล่าในฐานะผู้ก่อการล้มสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตย แต่นั่นเป็นเพียงบทบาท "หน้าฉาก" ที่สถิตในภาพจำการปฏิวัติ 2475 เท่านั้น การเคลื่อนไหวของคณะราษฎรที่เป็นทั้ง "ผู้ชาย" และ "สามี" จะไม่สำเร็จเลย หากไร้ซึ่งการหนุนช่วยจาก "ผู้หญิง" ที่เป็น "ภรรยา" ที่ถูกซ่อนบทบาทอยู่ "หลังฉาก"

กลุ่มภรรยาคณะราษฎรนั้นคอยให้คำปรึกษาช่วยตัดสินใจ สร้างเครือข่ายการเมือง ทำธุรกิจหารายได้เลี้ยงครอบครัว เจรจาต่อรอง รวมถึงช่วยเหลือสามีในยามต้องเผชิญภัยทางการเมือง เช่นนี้แล้ว หากจะกล่าวว่า "ผู้หญิง" ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองก็คงจะละเลยบางหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์ไปอย่างน่าเสียดาย

หนังสือเล่มนี้คืนพื้นที่ให้ภรรยาคณะราษฎรได้ประกาศตัวตนในการปฏิวัติ 2475 เพื่อพิสูจน์ว่า "หลังบ้าน" ที่คณะราษฎรอาศัยหลับนอนร่วมชายคากับภรรยานั้น สัมพันธ์กับการปฏิวัติ การสร้างชาติ และการสร้างประชาธิปไตยมิอาจแยกออกจากกันได้

Il Re di Bangkok

ตาสว่าง

สำนักพิมพ์: เคล็ดไทย

เขา "ตาบอด" เพราะกระสุนนัดหนึ่งฝังในกะโหลกแต่กลับ "ตาสว่าง" เพราะกระสุดนัดเดียวกันนี้และทันทีที่ตาสว่าง เขากลับพบว่าประเทศที่ตนอาศัยอยู่ช่างมืดมนไม่มีทางออกไม่มีที่พึ่งไม่มีความยุติธรรมไม่มีสิ่งซึ่งสามารถไว้วางใจทุกสิ่งที่เคยมองเห็นล้วนแต่เป็นเพียง "ภาพลวงตา"

เรื่องเล่าในหนังสือเล่มนี้ดัดแปลงจากเหตุการณ์จริง โดยอาศัยข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้าทางด้านมานุษยวิทยาในประเทศไทยเป็นเวลาสิบปี บวกกับบทสัมภาษณ์กว่าร้อยชั่วโมงกรองผ่านสายตาและมือสามคู่

ตัวละครทุกตัวเป็นผลผลิตจากการสร้างสรรค์ทางการประพันธ์ รายละเอียดต่างๆ ในเรื่องราวของพวกเขาล้วนเกิดขึ้นจริงทั้งสิ้น แต่ไม่มีตัวละครตัวใดตรงกับบุคคลจริงทั้งหมด

สถานการณ์แวดล้อมตัวละครเป็นการสรุปเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมา แต่มิได้รวบรวมอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ บางเหตุการณ์ไม่กล่าวถึง บางเหตุการณ์รวบรัดเพื่อความลื่นไหลของการดำเนินเรื่อง

ภาพสถานที่ เครื่องแต่งกาย สถาปัตยกรรม และกราฟิกอื่นๆ ในหนังสือเล่มนี้ สร้างขึ้นอย่างสมจริงที่สุด ช่วงที่คณะผู้แต่งพำนักอยู่ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2558 ได้จัดทำคลังข้อมูลทั้งในรูปแบบของภาพถ่ายและฟิล์มภาพยนตร์ กว่า 5,000 รายการ โดยใช้เอกสารจากหอสมุดแห่งชาติ หอภาพยนตร์ และงานสะสมส่วนบุคคลของนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

1000 Years of Joys and Sorrows

1000 ปีแห่งความรื่นรมย์และขมขื่น

สำนักพิมพ์: สวนเงินมีมา

"อ้ายเว่ยเว่ย (Ai Weiwei)" ผู้ซึ่งไฟเนียลไทมส์ยกย่องว่าเป็น "หนึ่งในศิลปินสำคัญที่สุดที่มีผลงานในโลกยุคปัจจุบัน" และ เดอะนิวยอร์กไทมส์ ยกย่องว่าเป็น "เสียงแห่งเสรีภาพที่เต็มไปด้วยคารมคมคาย และดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้เงียบเสียงลงได้" อ้ายเว่ยเว่ยได้เขียนบันทึกความทรงจำอย่างครอบคลุม นำเสนอประวัติศาสตร์อันโดดเด่นของจีนในช่วงกว่าร้อยปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับกระบวนการทางศิลปะของเขาด้วย

นับเป็นครั้งแรกในหนังสือ "1000 ปีแห่งความรื่นรมย์และขมขื่น" เล่มนี้ ที่ "อ้ายเว่ยเว่ย" สำรวจต้นกำเนิดแห่งความคิดสร้างสรรค์อันสุดพิเศษ และความเชื่อทางการเมืองอันรุนแรงของเขา ผ่านเรื่องราวชีวิตของตัวเองและของพ่อผู้ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ถูกสกัดกั้น โดยในเล่มให้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงพลังมหาศาล ที่หล่อหลอมให้เกิดจีนสมัยใหม่อันทะเยอทะยานและคุ้นเคยในคราวเดียวกัน และทำหน้าที่เตือนความจำแห่งความจำเป็นอย่างเร่งด่วน ในการปกป้องเสรีภาพการแสดงออกอย่างถูกจังหวะเวลา

Sharing a House with the Never-Ending Man : 15 Years at Studio Ghibli

ชายมหัศจรรย์ผู้ทำให้โลกรู้จักจิบลิ

สำนักพิมพ์: Be(ing)

ประสบการณ์คลุกวงในที่หาได้ยากจากหนึ่งในสตูดิโอแอนิเมชันที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สตีฟ อัลเพิร์ต ผู้บริหารชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายธุรกิจต่างประเทศของสตูดิโอจิบลิเป็นเวลาสิบห้าปี
และมีบทบาทสำคัญในช่วงที่ภาพยนตร์ของสตูดิโอเริ่มขยายตลาดออกไปสู่สายตาชาวโลก

เขาจะบอกเล่าเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังการทำงานของสตูดิโอ ตั้งแต่กระบวนการผลิตภาพยนตร์แอนิเมชันที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด การพากย์ภาพยนตร์ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาต่างประเทศ การเจรจากับคู่ค้าและตัวแทนที่สำคัญยิ่งอย่างดิสนีย์ รวมถึงประสบการณ์การทำงานกับมืออาชีพ ผู้เป็นอัจฉริยะในวงการอย่าง ฮายาโอะ มิยาซากิ

นอกจากนี้ อัลเพิร์ต ในฐานะชาวต่างชาติหรือ ไกจิน เพียงคนเดียวในเวลานั้น ก็สามารถเล่าเรื่องราวการทำงานข้ามวัฒนธรรมได้อย่างสนุกสนาน เต็มไปด้วยอารมณ์ขันที่เปี่ยมเสน่ห์ ตรงไปตรงมา และยังถ่ายทอดภาพการทำงานแบบฉบับญี่ปุ่นแท้ๆ ราวกับผู้อ่านได้ไปนั่งอยู่ในออฟฟิศของจิบลิด้วยตนเอง

everywhere girl

สำนักพิมพ์: Salmon Books

รวมบทบันทึกในช่วงผลัดเปลี่ยนยุคสมัยที่ 'juli baker and summer' ศิลปินนักวาดและนักเขียนอิสระ ผู้ใช้ลายเส้นสีสันสดใสเป็นเครื่องมือในการแสดงผลงาน ตัวตน และความคิด ตั้งคำถามถึงสังคม ผู้คน เมือง ระบบโครงสร้าง และตัวเอง ผ่านการไปตามรอยประวัติศาสตร์การเมืองบนถนนราชดำเนิน ออกไปเข้าร่วมการเรียกร้องประชาธิปไตย ทำความเข้าใจระบบทุนนิยมสหภาพแรงงาน การเป็นศิลปิน และการเป็นผู้หญิง

Russian Fairy Tales

เทพนิยายรัสเซีย

สำนักพิมพ์: แอร์โรว์ มัลติมีเดีย (Arrow multimedia)

หนังสือที่รวบรวมเรื่องเล่าตำนานพื้นเมืองของรัสเซีย โดย "โรเบิร์ตนิสเบ็ต เบน" ผู้เป็นนักภาษาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ ซึ่งสามารถใช้ภาษาต่าง ๆ ได้มากกว่ายี่สิบภาษา นอกจากการแปลหนังสือมากมายแล้ว เขายังใช้ทักษะของเขาในการเขียนหนังสือวิชาการเกี่ยวกับผู้คนและตำนานพื้นเมืองต่างชาติด้วย ในโลกของนิทานพื้นเมืองแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่สมมติขึ้น แต่เรื่องราวก็มีความสนุกสนาน มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ เสริมสร้างจินตนาการให้กับผู้อ่านด้วยตัวละครที่มีบุคลิกเหนือธรรมชาติ อาทิ เรือเหาะ ซาเรฟนากบ แหวนวิเศษ สองคนออกมาจากกระเป๋าสะพายหลัง เป็นต้น ด้วยจินตนาการของคนยุคก่อนประกอบกับภาพวาดด้วยฝีมือ ทำให้เทพนิยายรัสเซียนี้เป็นที่น่าสนใจและน่าจดจำของคนทั่วโลก แม้จะผ่านกาลเวลามาหลายศตวรรษแต่ก็ยังคงเป็นที่น่าจดจำของคนทั่วโลก

Korean IMPS, Ghosts and Fairies

ภูติผีปีศาจและเทพนิยายเกาหลี

สำนักพิมพ์: แอร์โรว์ มัลติมีเดีย (Arrow multimedia)

คอลเลกชันคลาสสิกของนิทานพื้นบ้านและเทพนิยายเกาหลีนี้มีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างมากสำหรับชาวเกาหลีและชาวตะวันตก

ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1913 แต่น่าเสียดายที่พิมพ์ออกมานานพอสมควร ตอนนี้หนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่น่าสนใจนี้มีวางจำหน่ายอีกครั้งเพื่อความเพลิดเพลินของทุกคนที่รักนิทานโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฉากเป็นเรื่องแปลกใหม่ ในบรรดาตำนานที่รวบรวมไว้ที่นี่ คุณเกลได้กล่าวไว้ในคำนำ: "สำหรับใครก็ตามที่อยากจะมองเข้าไปในจิตวิญญาณภายในของชาวตะวันออกและเห็นการดำรงอยู่ทางจิตวิญญาณที่แปลกประหลาดท่ามกลางที่เขาอาศัยอยู่ เรื่องราวจะให้บริการ ในฐานะนักแปลที่แท้จริง ถือกำเนิดขึ้นในสามศาสนาใหญ่ของตะวันออกไกล เต๋า พุทธ และขงจื๊อ"

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องราวของนักเล่าเรื่องคลาสสิกชาวเกาหลี อิมบัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสนอต่อโลกตะวันตก "เพื่อให้พวกเขาใช้เป็นบทความเบื้องต้นเกี่ยวกับความลึกลับและสิ่งที่หลายคนเรียกว่าไร้สาระของเอเชีย บางเรื่องน่าสยดสยองและไม่น่ารัก แต่พวกเขานึกภาพตามสภาพที่อิมบังเองและคนเกาหลีรุ่นก่อนๆ อาศัยอยู่"

ตำนานเทพเจ้าอียิปต์

สำนักพิมพ์: ยิปซี

"อียิปต์โบราณ" หนึ่งในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่และลึกลับน่าพิศวงที่สุดในโลก ร่องรอยอารยธรรมที่ยังคงหลงเหลือ ทั้งหมู่มหาพีระมิด การทำมัมมี่หรือแม้แต่สุสานลับใต้ผืนทราย ล้วนทำให้คนรุ่นหลังต้องตื่นตะลึง สิ่งอัศจรรย์เหล่านี้เกิดขึ้นจากศรัทธาอันแรงกล้าที่มีต่อเทพเจ้า ความเชื่อในโลกหลังความตาย และการฟื้นคืนชีพ

ตำนานแห่งเทพเจ้า รวมถึงความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ จึงกลายเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกสนใจใคร่รู้ แต่น้อยคนนักที่จะได้รับคำตอบจากผู้รู้จริง ด้วยการค้นคว้าแบบเจาะลึกและครอบคลุมของผู้เขียนซึ่งคร่ำหวอดในวงการอียิปต์วิทยา หนังสือ "ตำนานเทพเจ้าอียิปต์" เล่มนี้ จึงเปรียบเสมือนยานเวลาที่จะพานักอ่านท่องไปยังดินแดนของเหล่าเทพเจ้า ผู้ทรงฤทธานุภาพในยุคสมัยของชาวไอยคุปต์แบบ "รู้ลึก-รู้จริง" จนผู้อ่านจะต้องทึ่ง!

ศิลปเพื่อชีวิต ศิลปเพื่อประชาชน

สำนักพิมพ์: ไทยควอลิตี้บุ๊คส์

มาเถิด ศิลปินไทยทั้งมวล จงก้าวเข้ามาสู่ประชาชน ศึกษาคุณค่าของประชาชน แล้วสะท้อนคุณค่าแห่งดวงใจอันเผาไหม้ร้อนรน เพื่อที่จะสร้างสรรค์ชีวิตใหม่และโลกใหม่ของเขาออกมาเถิด จงมาแสดงสัจธรรมออกให้โลกทั้งโลกต้องพิศวงงงงันเถิดว่า... "กรรมกรผู้เหวี่ยงฆ้อนลงบนก้อนเหล็กแดงอันวางอยู่เหนือทั่งมหึมานั้น สามารถทุบและตีให้มันมีรูปร่างต่าง ๆ ได้เช่นที่เขาปรารถนา ฉันใด โลกและชีวิตก็เป็นเสมือน...ก้อนเหล็กแดงที่เขาสามารถประเคนฆ้อนลงอย่างเต็มเหนี่ยวด้วยช่วงไหล่อันผายกว้าง เพื่อปรับรูปของมันให้เป็นไปตามที่ดวงใจของเขาทั้งมวลปรารถนาได้ฉันนั้น" เรา ศิลปินของประชาชน กำลังเผชิญหน้าอยู่กับภารกิจทางประวัติศาสตร์ ในอันที่จะสร้างสรรค์สังคมใหม่อันงดงามกว่า ขึ้นเหนือผืนแผ่นดินไทยที่เก่าคร่ำผืนนี้!

"ศิลปเพื่อชีวิต ศิลปเพื่อประชาชน" เล่มนี้ คือความคิดสังเคราะห์ศิลปในรูปบทความวิจารณ์หน้าที่ และภารกิจอันพึงมีของศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปอย่างตรงไปตรงมาโดย "จิตร ภูมิศักดิ์" ภายใต้นามปากกา "ทีปกร" โดยในเล่มประกอบด้วย 4 บทความ ซึ่งในแต่ละบทความได้เคยปรากฏในวารสารของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในช่วงราวปี พ.ศ. 2498-2500

จิตรกรแห่งชีวิตสมัยใหม่

สำนักพิมพ์: ILLUMINATIONS

"ชาร์ลส์ โบดแลร์" เป็นที่รู้จักกันในฐานะกวีชาวฝรั่งเศสช่วงศตวรรษที่ 19 และได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้บุกเบิก "กวีนิพนธ์สมัยใหม่" ในแวดวงวรรณกรรมตะวันตก โดยเฉพาะงานรวมเล่มกวีนิพนธ์ อย่าง "Les Fleurs du Mal (ดอกไม้แห่งความชั่ว)" และ "Le Spleen de Paris (ทุกข์ระทมในปารีส)" นอกจากนี้ โบดแลร์ยังได้เขียนบทวิจารณ์งานศิลปะไว้อีกมากมาย อาทิ "จิตรกรแห่งชีวิตสมัยใหม่" เล่มนี้ ซึ่งเป็นบทความที่รวบรวมหลักคิดสำคัญต่าง ๆ ไว้

"ความเป็นสมัยใหม่" ในฐานะแก่นเรื่องของงานศิลปะที่ "โบดแลร์" กล่าวถึง คือการให้ความสำคัญกับรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวในช่วงเวลานั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่งดงามหรือสิ่งที่ประหลาด แม้ปรากฏการณ์นั้นจะวูบไหวชั่วแล่นไม่จีรัง แต่มันก็มีส่วนของแก่นสารที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ ความพึงพอใจต่อภาพสะท้อนความร่วมสมัย ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นความงามที่ฉาบเคลือบสังคมปัจจุบันอยู่เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะตัวของปัจจุบันอีกด้วย

2020 Contemporary Art Scene in Thailand

สำนักพิมพ์:เดอะเกรทไฟน์อาร์ท

นับตั้งแต่ต้นปี 2020 มาจนถึงตอนนี้ ทั่วโลกยังคงต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ COVID-19 ระลอกแล้วระลอกเล่า ส่งผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในทุกๆ วงการ ไม่เว้นแม่แต่วงการศิลปะ สำหรับในประเทศไทยแม้ว่าสถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไหร่ แต่การได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองระหว่างมาตรการล็อคดาวน์ ก็ทำให้ศิลปินหลายคนได้มีโอกาสคิดสร้างสรรค์ผลงานชุดใหม่ออกมามากขึ้น วงการศิลปะร่วมสมัยของไทยในปี 2020 จึงยังเต็มไปด้วยนิทรรศการที่มีความหลากหลายทั้งในเชิงเทคนิค รูปแบบและเนื้อหาที่ถูกหยิบยกมาบอกเล่าให้สังคมได้รับรู้

หนังสือ "2020 Contemporary Art Scene in Thailand" เล่มนี้ ได้รวบรวมข่าวสารนิทรรศการศิลปะในประเทศไทย โดยแบ่งออกเป็นส่วนบทความเจาะลึกแต่ละนิทรรศการ และส่วนบทสรุปนิทรรศการในรอบปีแบบย่อจำนวนมากกว่าร้อยหกสิบนิทรรศการ ซึ่งผู้อ่านจะได้เห็นภาพรวมของความเคลื่อนไหวในวงการศิลปะไทยได้อย่างครบถ้วน