40 ปี Come and See หนังสะท้อน ‘ใบหน้าของสงคราม’ ที่ยังฝังอยู่ในแก่นจิตของมนุษย์

Post on 31 July 2025

“ผมขอยืนยันเลยว่าทุกสิ่งที่ถูกเล่าในหนังเรื่องนี้ล้วนเป็นความจริง สิ่งที่น่ากลัวและน่าอับอายที่สุดสำหรับผม ก็คือการที่ลูกหลานของผมจะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้”

คำพูดของทหารผ่านศึกชาวเยอรมันที่ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้ดูหนังต่อต้านสงครามอย่าง Come and See (1985) ของ Elem Klimov เป็นครั้งแรก ซึ่งกลายเป็นประโยคที่สะท้อนให้เห็นว่าทุกความรุนแรงในอดีตไม่ได้เลือนหายไป แต่จะยังคงติดอยู่ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ไปตลอด

Come and See คือหนังที่บอกเล่าความวิปริตของมนุษย์ ณ จุดแตกสลายที่สุด ผ่านสายตาของเด็กชายวัยสิบสี่ปี่อย่าง Flyora ที่ถูกลากเข้าไปสู่วังวนแห่งความโหดร้ายในเบลารุสช่วงการยึดครองของนาซีในปี 1943 อย่างหลีกหนีไม่ได้ เช่นเดียวกันกับผู้ชมที่ถูกบังคับให้จ้องมองทุกเหตุการณ์โหดร้ายที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนึงและทำได้เพียงแค่นั่งกระอักกระอ่วนใจผ่านหน้าจอแบบที่ตอบโต้อะไรไม่ได้ทั้งสิ้น

หนังถูกสร้างจากบทของ Ales Adamovich นักเขียนผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่จริงในเบลารุสช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเคยเขียนงานสารคดีอย่าง I Am from the Fiery Village บันทึกคำให้การของผู้รอดชีวิตจากหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายโดยกองทัพนาซี

I Am from the Fiery Village [ru] by Ales Adamovich

I Am from the Fiery Village [ru] by Ales Adamovich

Come and See จึงไม่ได้เกิดจากแรงบันดาลใจหรือจินตนาการในการสร้างหนัง แต่เกิดจากความจำเป็นในการเล่าเรื่องแทนผู้คนที่พูดไม่ได้อีกต่อไป ที่ถูกถ่ายทอดผ่านบรรยากาศที่ก่อให้เกิดความไม่ยอมประนีประนอมกับผู้ชม ไม่มีพื้นให้พักหายใจและไม่อนุญาตให้ความรู้สึกปลอดภัยเกิดขึ้นแม้แต่เพียงนาทีเดียว

Come and See ใช้เวลาพัฒนาเกือบ 8 ปี ก่อนจะได้รับอนุมัติให้สร้างท่ามกลางการควบคุมของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น Klimov ใช้โครงสร้างการเล่าเรื่องที่ชัดเจน โดยแบ่งออกเป็นลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนผ่านอย่างเป็นจังหวะ ตั้งแต่ฉากเปิดที่ Flyora ขุดหลุมหาอาวุธฝังดินเพื่อเข้าร่วมกลุ่มพรรคพวก การพบกับเด็กหญิงชื่อ Glasha ที่นำเขาเข้าสู่โลกของการลี้ภัย ไปจนถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่โหดร้ายขึ้นตามลำดับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งฉากกลางทุ่งข้าวสาลีที่กล้องถูกเคลื่อนไปด้วยความเรียบและนิ่ง ก่อนจะเผยให้เห็นว่าคนที่เดินมาด้วยกันนั้นเสียชีวิตไปแล้ว หรือฉากการเดินลุยโคลนซึ่งพวกเขารอดตายมาเพียงเพื่อพบความว่างเปล่าที่เย็นเยียบกว่าเดิม ฉากที่ถือว่าเป็นจุดไคลแมกซ์ของเรื่องคือการที่ Flyora ต้องยืนดูชาวบ้านทั้งหมู่บ้านถูกต้อนเข้าโรงนาและเผาทั้งเป็นโดยกองทัพเยอรมัน ฉากนี้ไม่ได้เล่าด้วยภาษาทางการเมือง หากแต่สื่อออกมาในระดับความรู้สึก ผ่านเสียงกรีดร้อง เสียงไฟลุกไหม้และใบหน้าของผู้คนที่จ้องมองกลับมายังกล้องราวกับขอความช่วยเหลือจากผู้ชมโดยตรง

นอกจากนั้น Klimov ยังเลือกใช้เทคนิคภาพและเสียงที่ไม่อิงความสมจริงตามแบบหนังสงครามทั่วไป เสียงในหนังเรื่องนี้ บางครั้งเป็นเสียงที่อยู่ในหัวของตัวละครมากกว่าเสียงจากภายนอกหรือแม้กระทั่งการใช้เสียงสูงแหลมเพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสกับอาการหูอื้อของคนที่ถูกระเบิด เสียงเหล่านี้เจาะเข้ามาแทนที่ความเงียบอย่างเจ็บปวด เพื่อผลักให้ผู้ชมเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกับตัวละครโดยตรง

เช่นเดียวกันกับมุมกล้องที่ Klimov เลือกใช้ มันไม่ได้รักษาระยะห่างเพื่อให้คนดูได้สังเกตสิ่งหรือเหตุการณ์รอบข้าง แต่กลับเข้าประชิดไปกับใบหน้าของตัวละคร เพื่อให้ผู้ชมได้จับจ้องอยู่กับตา ใบหน้าและผิวหนังที่เต็มไปด้วยฝุ่น เขม่า และรอยน้ำตาของตัวละคร เพื่อทำให้การรับชมกลายเป็นประสบการณ์ทางร่างกายมากพอ ๆ กับจิตใจ เช่นเดียวกันกับใบหน้าของ Flyora ที่ถูกใช้เป็นภาพแทนสงครามตลอดทั้งเรื่อง เกิดเป็นความรู้สึกที่อึดอัด กลายเป็นภาษาของบาดแผลที่ไม่มีคำไหนจะอธิบายได้

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้หนังเรื่องนี้จะเป็นหนังที่สร้างขึ้นในยุคโซเวียต แต่ Come and See กลับไม่ได้นำเสนอทหารโซเวียตในฐานะฮีโร่ แต่มันยังกลายเป็นคำวิพากษ์ถึงการใช้อำนาจและผลลัพธ์ของสงคราม อย่างเช่นสถานะของ Flyora ที่เขาไม่ได้ถูกส่งไปทำภารกิจเพื่อเกียรติภูมิ แต่กลับถูกผลักเข้าไปในวงจรของการเอาตัวรอด ความไร้เดียงสาของเขาค่อย ๆ สลายไปทีละนิด จนกระทั่งในตอนท้าย เขาเปลี่ยนจากเด็กชายที่ต้องการเป็นทหารมาเป็นชายหนุ่มที่ไม่สามารถแยกแยะได้แล้วว่าการฆ่าคือชัยชนะหรือความพ่ายแพ้

ความไร้เดียงสาที่ค่อย ๆ สลายไป ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงกับผู้ชมหรือตัวละครเท่านั้น แต่ยังส่งผลกับต่อตัวนักแสดงผู้รับบท Flyora อย่าง Aleksei Kravchenk ที่ Come and See นั้นถือเป็นหนังเรื่องแรกของเขาและหลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉาย เขาก็หายหน้าไปจากการแสดงถึงสิบปี

เพื่อที่จะให้ Kravchenk สามารถเข้าถึงบทบาทของ Flyora ได้อย่างที่ตั้งใจ Klimov ได้เปิดฟุตเทจจริงจากค่ายกักกันให้ Kravchenk ดู เพื่อให้เขาได้สัมผัสความสยองที่แท้จริงของสงคราม ไม่ใช่ผ่านคำพูดหรือบทภาพยนตร์ แต่ผ่านภาพจริงที่บันทึกความป่าเถื่อนของมนุษย์เอาไว้ นอกจากนั้นแล้วยังมีบางฉากที่ Klimov ได้พยายามที่จะใช้การสะกดจิต เพื่อช่วยให้ Kravchenk สามารถผ่านฉากบางฉากที่ยากจะรับมือได้

เพราะฉะนั้นใบหน้าอันแห้งกร้านและดวงตาที่ว่างเปล่าของ Kravchenk ที่เกิดขึ้นในช่วงท้าย ๆ ก็เพียงพอจะเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการสร้างหนังเรื่องนี้ไม่ใช่การแสดง หากคือการหลอมรวมตัวตนเข้ากับความหายนะที่เรื่องเล่ากำลังกล่าวถึง

ฉากสุดท้ายของเรื่อง เราจะเห็น Flyora ที่กำลังยิงปืนใส่ภาพของฮิตเลอร์ด้วยความโกรธแค้น และมันถูกนำเสนอตัดสลับกับภาพฟุตเทจของฮิตเลอร์ ที่นำมาฉายย้อนกลับแบบ Montage โดยพาเราวิ่งย้อนกลับไปตั้งแต่ฉากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กลับมาจนถึงภาพของฮิตเลอร์วัยทารกในอ้อมแขนแม่ ราวกับกำลังบอกผู้ชมว่า สงครามทั้งหมดนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยหากเพียงคนหนึ่งไม่ได้เกิดมาหรือเปล่า

แต่ถึงอย่างนั้นภาพของ Flyora ที่จ้องมองตรงไปยังอดีตอย่างหมดเรี่ยวแรง เต็มไปด้วยความโกรธ ความเกลียด และสิ้นหวัง สุดท้ายเขาก็ลดปืนลง เดินกลับเข้าไปในป่า พร้อมกับกลุ่มทหารพรรคพวกท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยลงมา กลับกลายเป็นสิ่งที่กำลังบอกกับเราว่านี่ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ของความย้อนแย้งระหว่างผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเท่านั้น แต่มันคือคำถามที่ไม่มีคำตอบว่า “อะไรคือจุดเริ่มต้นของความเลวร้ายเหล่านี้?” และ “มนุษย์คนหนึ่งถูกสร้างให้เป็นปีศาจได้อย่างไร?” ภาพเหล่านี้ไม่ต้องการคำอธิบาย แต่กำลังบอกว่าผู้ชมล้วนต้องรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ร่วมกัน

Come and See จึงเป็นเหมือนหนังที่ไม่อนุญาตให้เราได้นั่งอยู่หน้าจอเฉย ๆ อย่างสบายใจ แต่มันกลับดึงให้เราตกลงไปในหลุมเดียวกับตัวละคร และไม่รับรองว่าเราจะสามารถกลับขึ้นมาได้เหมือนเดิม เพราะมันไม่ใช่แค่การดูหนังเท่านั้น แต่มันคือการตกอยู่ภายใต้พิธีกรรมของการสูญเสีย การสลายตัวของภาษาศิลปะ การวิพากษ์ความทรงจำและการสำรวจว่าจินตนาการของมนุษย์นั้นสามารถเป็นทั้งที่พักพิงและเครื่องมือฆ่าฟันได้ในเวลาเดียวกัน

เหนือสิ่งอื่นใด หนังเรื่องนี้ก็ไม่ใช่แค่การสะท้อนความเป็นจริงของสงครามเท่านั้น แต่ยังนำเสนอความเจ็บปวดและแรงสั่นสะเทือนของประวัติศาสตร์ที่ยังคงดำรงอยู่ในจิตใจมนุษย์เสมอ เช่นเดียวกันกับสงครามและความรุนแรงใน Come and See ที่แม้จะผ่านมา 40 ปีแล้ว แต่ทุกบริบทก็ยังคงสดใหม่ ราวกลับหนังเพิ่งฉายไปเมื่อวานนี้

อ้างอิง:

https://www.filmcomment.com/blog/deep-focus-come-and-see/

https://www.criterion.com/current/posts/7003-come-and-see-orphans-of-the-storm?srsltid=AfmBOoo5s5hOTLV7SkDBkTGdgySZEwapeO9Ns-nF2JqPlfWRsOk9lX9J

https://nordicdefencereview.com/frontline-flicks-come-and-see-1985/