Pride Month ในประเทศไทยปีนี้มาพร้อมบรรยากาศพิเศษ เพราะเป็นปีแรกหลังจากมีการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ กลายเป็นชาติแรกในอาเซียน และประเทศที่สามในเอเชีย ที่ยกระดับสิทธิมนุษยชนให้กับชุมชน LGBTQ+ อย่างเป็นรูปธรรม
แม้จะเป็นก้าวสำคัญที่น่ายินดี แต่อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เราหวนกลับมาตั้งคำถามกับบริบทของสังคมไทย ว่าแท้จริงแล้ว เรา ‘เปิดรับ’ ความหลากหลายทางเพศมากแค่ไหนกันแน่ หลายคนอาจมองว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความยอมรับ LGBTQ+ สูงมาก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีการนำเสนอเรื่องราวของกลุ่มคนเหล่านี้ในมุมที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในภาพยนตร์และซีรีส์วายที่พูดถึงความรักของคู่รักเพศเดียวกันอย่างเปิดเผย ทำให้ความรักของ LGBTQ+ ค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดาในวัฒนธรรมกระแสหลัก
อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่หนึ่ง ก็น่าสนใจที่จะชวนกันตั้งคำถามต่อไปว่า ‘ความปกติ’ ที่เห็นนั้น ครอบคลุมความหลากหลายของชีวิตจริงมากน้อยเพียงใด เพราะหลายครั้ง เรื่องราวที่ได้รับการนำเสนอก็มักจะเน้นไปที่ภาพจำบางแบบ เช่น ความรักที่โรแมนติก สวยงาม หรือมีรูปลักษณ์สอดคล้องกับค่านิยมหลัก ซึ่งแม้จะช่วยสร้างพื้นที่ให้กับความหลากหลายทางเพศได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีเสียงสะท้อนจากหลายภาคส่วนในสังคมที่ชวนให้คิดต่อว่าประสบการณ์ของ LGBTQ+ ยังมีอีกหลายมิติที่ยังไม่ค่อยถูกเล่าหรือเข้าไปถึง มิติที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ความซับซ้อน และความเป็นจริงในชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก
ในเดือนแห่งการเฉลิมฉลองนี้ เราจึงอยากชวนทุกคนย้อนกลับไปสำรวจภาพยนตร์ไทยที่มีตัวละคร LGBTQ+ ปรากฏอยู่ในเรื่องราว ก่อนที่คำว่า ‘สมรสเท่าเทียม’ จะกลายเป็นกฎหมาย ก่อนที่คำว่า ‘เพศหลากหลาย’ จะถูกพูดถึงอย่างเปิดเผย และก่อนที่สังคมไทยจะเปิดกว้างเท่าทุกวันนี้ (แม้ปัจจุบันก็ยังมีหลายมิติที่ยังไม่ครอบคลุม) ผ่านการวิเคราะห์ คน สัตว์ สิ่งของ ที่ปรากฏในเรื่องราวเหล่านั้น เพื่อค้นหาสัญญะที่ซ่อนอยู่ในฉากหลัง ที่แม้จะดูเหมือนเรียบง่าย แต่บางที มันอาจจะซ่อนคำสารภาพจากหัวใจที่ไม่เคยถูกได้ยินอยู่ก็เป็นได้

ผีเสื้อในเพื่อน…กูรักมึงว่ะ สัญลักษณ์แห่งอิสรภาพและการปลดแอกตัวตน
ผีเสื้อกลางวัน คือสัญลักษณ์สำคัญที่มักถูกตีความว่าเป็นตัวแทนของอิสระ การเปลี่ยนผ่าน การเติบโต และการได้กลายเป็นตัวตนที่แท้จริงอย่างงดงาม อีกทั้งยังสื่อถึงความหวังและการหลุดพ้นจากกรอบจำกัดของสังคมด้วย เพราะก่อนที่ผีเสื้อจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสวยงาม มันเคยเป็นหนอนบุ้งหน้าตาน่ากลัวที่เต็มไปด้วยหนามแหลมมีพิษจนใครก็ไม่อยากเข้าใกล้ โดนใครก็คัน ผีเสื้อเลยมักถูกหยิบมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของ LGBTQ+ ที่ต้องข้ามผ่านอุปสรรคทั้งจากตัวเองและสังคมรอบข้าง
ในบริบทของชุมชน LGBTQ+ ผีเสื้อเป็นเหมือนเครื่องหมายความกล้าหาญในการรักและเป็นตัวของตัวเอง สีสันหลากหลายของผีเสื้อสะท้อนความหลากหลายของความรัก ในขณะที่กระบวนการฟักตัวที่เริ่มต้นจากการเป็นดักแด้ที่หน้าตาน่าเกลียด คือสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับความกลัว ความสับสน และบาดแผลภายใน ก่อนจะโบยบินออกมาอย่างเสรี
ในภาพยนตร์เรื่อง 'เพื่อน...กูรักมึงว่ะ' รอยสักผีเสื้อบนแขนของเมฆไม่ใช่แค่เครื่องประดับธรรมดา แต่เป็นการแสดงออกถึงความโหยหาอย่างลึกซึ้งที่อยากจะหลุดพ้นจากสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบัน รอยสักนี้สะท้อนถึงความปรารถนาที่จะได้โบยบินอย่างเสรี ทั้งในฐานะคนคนหนึ่งที่ติดอยู่ในสังคมที่มีกรอบจำกัด และในฐานะผู้ชายที่กำลังค้นพบตัวตนทางเพศวิถี
ในมุมมองของเรา บางทีการที่ตัวละครเมฆเลือกสักผีเสื้อไว้ที่ต้นแขน อาจจะเป็นเหมือนกับการคาดหวัง ปรารถนา และโหยหาที่จะเป็นตัวของตัวเองที่ดีกว่า อิสระกว่า และไปอยู่ในจุดที่ดีกว่านี้ เมื่อประกอบเข้ากับของประกอบฉากอื่น ๆ ที่มักแทรกผีเสื้อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง ก็เหมือนกับช่วยให้เราเอาใจช่วยตัวละครไปด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปได้
นอกจากในแง่ความหมาย เรายังตีความเชื่อมโยงชีวิตของตัวละครเข้ากับวงจรชีวิตของผีเสื้อ วงจรชีวิตของผู้ชายสองคนที่พยายามทำความเข้าใจในตัวเองในฐานะ LGBTQ+ ผ่านอุปสรรค ความใคร่ และความรัก ในสายตาเรา ในช่วงต้นของเรื่องราว เมฆและอิฐต่างก็เปรียบเสมือนหนอนที่เพิ่งลืมตาดูโลกที่กำลังขุนตัวเองให้อ้วนผ่านการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ก่อนจะเข้าสู่การเป็นดักแด้ที่กินเวลายาวนานเกินครึ่งเรื่อง การหลบซ่อนตัวจากศัตรู เหมือนการที่ผีเสื้อเข้าสู่ดักแด้ มันบังคับให้พวกเขาต้องบ่มเพาะตัวตนไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม เรามองว่าพวกเขาไม่ได้กลายเป็นผีเสื้อหลังจากมีความสัมพันธ์กัน สำหรับเรา นั่นยังไม่ใช่การเติบโตและยอมรับในตัวเองที่มากพอที่จะกลายเป็นผีเสื้อ แต่เป็นฉากสุดท้าย อ้อมกอดสุดท้าย ด้านหน้าคุกที่คุมขังเมฆไว้อย่างยาวนาน
เหมือนกับวงจรชีวิตของผีเสื้อ หลังจากฝ่าอุปสรรคเพื่อเติบโต ผีเสื้อจะสวยงามและเปล่งประกายอยู่ได้เพียงสองถึงสามวัน บางชนิดอยู่ได้แค่หนึ่งถึงสองสัปดาห์ แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น มันได้โบยบินอย่างเป็นอิสระ งดงาม และเป็นตัวของตัวเองที่สุดในชีวิตของมัน เช่นเดียวกัน หลังจากเขายอมรับตัวเองและกันและกัน เมฆก็ได้จากไปในอ้อมกอดของอิฐอย่างรวดเร็ว
ในฐานะคนดู เราไม่ได้ผิดหวังที่พวกเขาไม่ได้ครองรักกันต่อให้ยาวนานกว่านี้ และเราคิดว่ามันก็สะท้อนความสวยงามในอีกแง่หนึ่งได้ดี เพราะบางที… ความรักที่กล้าหาญที่สุด อาจไม่ใช่รักที่ยาวนานที่สุด แต่คือรักที่ทำให้เราได้กลายเป็นผีเสื้ออย่างอิสระที่สุด แม้เพียงชั่วครู่เดียวก็ตาม

ตุ๊กตาไม้กระบอกและการเลือกตกแต่งต้นคริสมาสต์ ใน ‘รักแห่งสยาม’
ตุ๊กตาไม้กระบอกที่ถูกออกแบบให้มีจมูกสีแดงสดใสใน รักแห่งสยาม อาจดูเหมือนของกระจุกกระจิกธรรมดาชิ้นหนึ่งในฉาก แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สื่อถึงความผูกพัน ความสับสน และการเติบโตของความรักระหว่าง ‘โต้ง’ และ ‘มิว’ ได้อย่างลึกซึ้ง
ตุ๊กตาคู่นี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่ตอนที่โต้งและมิวยังเป็นเด็ก เป็นตัวแทนของกันและกัน เป็นของขวัญ เป็นความทรงจำ และเป็นความรู้สึกที่แม้จะไม่สามารถพูดออกมาได้ตรง ๆ แต่ก็อยู่ตรงนั้นตลอดมา จมูกตุ๊กตาของมิวที่หล่นหาย เปรียบเหมือนความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน สับสน และไม่กล้าแสดงออก ส่วนตุ๊กตาของโต้งที่ยังอยู่ครบแต่ถูกเก็บในลิ้นชัก ก็เหมือนหัวใจที่ยังรักอยู่เงียบ ๆ แต่ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ตุ๊กตาทั้งคู่จึงไม่ใช่แค่ของเล่น แต่เป็นภาพแทนความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ในใจมาตลอด
อีกฉากหนึ่งที่พูดเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องพูดตรง ๆ คือฉากการแต่งต้นคริสต์มาสในบ้านโต้ง โต้งยืนลังเลอยู่หน้ากล่องของตกแต่ง เพราะไม่รู้จะเลือกตุ๊กตาชิ้นไหนขึ้นไปแขวนดี กลัวว่าแม่จะไม่ชอบ กลัวว่าจะ ‘เลือกผิด’ ความลังเลนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการตกแต่งต้นคริสตมาส แต่มันยังทำให้เราเชื่อมโยงถึงเรื่องทางเพศและการเปิดเผยตัวตนของโต้งในฐานะ LGBTQ+ ที่ยังกลัวการไม่ยอมรับจากครอบครัว
แต่เมื่อแม่บอกโต้งว่า “เลือกอะไรก็ได้” โดยไม่มีการกีดกันหรือชี้นำ โต้งจึงเลือก ‘ตุ๊กตาไม้ผู้ชาย’ ขึ้นไปแขวนไว้บนต้นคริสต์มาส ฉากนี้เลยสะท้อนให้เราเห็นทางเลือกของโต้ง ที่ยอมรับในความรู้สึกของตัวเอง และเป็นเหมือนคำสารภาพที่ไร้คำพูด ว่าในท้ายที่สุดเขาได้เลือกแล้วว่าชอบผู้ชาย ตุ๊กตาไม้จึงไม่ใช่แค่ของตกแต่งเทศกาล แต่มันคือความรู้สึก เป็นความทรงจำ และเป็นสัญลักษณ์ของกระบวนการเติบโตของความรักที่ค่อย ๆ ถูกนิยามชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ในใจของตัวละครทั้งสองคน

ดอกมะลิและงานฝีมือใน ‘มะลิลา’ สัญญะแห่งความเรียบร้อยงดงาม ที่เผยความเปราะบางของ LGBTQ+
ในวัฒนธรรมไทย ดอกมะลิไม่ใช่เพียงดอกไม้ธรรมดา แต่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และพลังแห่งการปกป้อง แต่ในภาพยนตร์ 'มะลิลา' มะลิได้กลายเป็นเครื่องตีแผ่ความเปราะบางของชุมชน LGBTQ+ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในรอยพับของสังคมไทย โดยชื่อ 'มะลิลา' เกิดจากการรวมกันของคำว่า 'มะลิ' และ 'ลา' ที่บรรยายถึงความรักที่แม้จะหอมหวานเพียงใด ก็ไม่อาจต้านทานกระแสของเวลาและความเป็นจริงได้
ความสัมพันธ์ระหว่าง 'เชน' กับ 'พิช' ถูกถ่ายทอดผ่านงานฝีมือแบบไทย ๆ อย่างการพับใบตอง การร้อยมาลัย และการจัดดอกไม้ กิจกรรมที่สังคมไทยมักจัดหมวดหมู่เป็น 'งานผู้หญิง' แต่กลายเป็น 'gay code' ในบริบทไทย ที่ผู้ชายที่มีความเป็นหญิงในตัวสามารถแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติ และไม่ถูกคนมองในแง่ลบเท่ากับการที่เพศชายแสดงบทบาทความเป็นหญิงจากกิจกรรมอื่น ๆ เพราะกิจกรรมเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นการทำบุญ การแสดงความกตัญญู หรือการดูแลผู้ป่วย
มะลิลา เลือกสื่อสารนัยความเป็น LGBTQ+ ผ่านความเงียบ ความอ่อนโยน และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ฉากความใกล้ชิดถูกนำเสนอด้วยแสงธรรมชาติและมุมกล้องที่บอบบาง เผยให้เห็นความเปลือยใจมากกว่าความเร้าอารมณ์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังวาง 'ความเป็นเกย์' ไว้ในกรอบไตรลักษณ์ในพุทธศาสนาอย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ดอกมะลิที่หอมหวานในตอนเช้าจะเหี่ยวเฉาในตอนเย็น ความรักที่งดงามจะต้องเผชิญกับการจากไป และตัวตนที่แท้จริงของเราอาจไม่ใช่สิ่งที่สังคมต้องการให้เราเป็น การตัดสินใจบวชของเชนจึงไม่ใช่การหนีจากตัณหา แต่เป็นการแสวงหาพื้นที่ปลอดภัยจากสังคมที่เขาไม่สามารถยืนอยู่ได้อย่างเต็มตัว
'มะลิลา' จึงเป็นเรื่องราวของความรักที่เลือกจะอยู่ในปัจจุบันขณะ ยอมรับในความเปราะบาง และค้นหาความงดงามในสิ่งที่ไม่อาจยื่นยาวได้ ดอกมะลิในมือของชายสองคนไม่ใช่การท้าทายบรรทัดฐาน แต่เป็นการขยายขอบเขตของความเป็นมนุษย์ที่มีความซับซ้อนและความงดงาม ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นการตีแผ่ความเปราะบางของชุมชน LGBTQ+ ผ่านสัญลักษณ์ที่อ่อนโยนและลึกซึ้ง ที่แสดงให้เห็นว่าความรักและความเป็นตัวเองสามารถดำรงอยู่ได้แม้ในสังคมที่ยังไม่เปิดกว้างอย่างเต็มที่
อ้างอิง
Library of Congress. (2019). Research guides: LGBTQIA+ studies: A resource guide: 1969: The Stonewall uprising. https://guides.loc.gov/lgbtq-studies/stonewall-era
Encyclopedia Britannica. (2009, June 17). Stonewall riots | Definition, significance, & facts. https://www.britannica.com/event/Stonewall-riots
National Geographic. (n.d.). How the Stonewall uprising ignited the modern LGBTQ rights movement. https://www.nationalgeographic.com/history/article/stonewall-uprising-ignited-modern-lgbtq-rights-movement