ถ้าใครเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ ใส่เสื้อผ้าแบบบาร์บี้ และดูแอนิเมชันของบาร์บี้กันอยู่ตลอด ก็น่าจะคุ้นเคยกับบทเพลง ‘I Am A Girl Like You’ จากแอนิเมชันเรื่อง Barbie as the Princess and the Pauper ในปี 2004 กันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะท่อนฮิตติดหูอย่าง “I'm just like you” และ “You're just like me” ที่เอริก้ากับแอนนาลีสร้องรับสลับกันไป เพราะสิ่งที่ทั้งสองคนคุยกันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การบอกกันและกันเท่านั้น แต่พวกเขายังบอกกับเด็ก ๆ อย่างเราด้วยว่า พวกเราต่างก็เป็น ‘ผู้หญิง’ เหมือนกัน และอะไรที่บาร์บี้ทำได้ เราก็สามารถทำได้แน่นอน
เนื่องในโอกาสที่วันที่ 20 กรกฎาคมนี้ คือวันที่ภาพยนตร์เรื่อง ‘Barbie’ ที่กำกับโดย ‘เกรตา เกอร์วิก (Greta Celeste Gerwig)’ ได้เข้าฉายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เราเลยอยากจะพาทุกคนย้อนกลับไปตามรอยประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ ‘บาร์บี้’ ตุ๊กตาระดับตัวแม่ ผู้สร้างแรงบันดาลใจมากมายให้กับเด็ก ๆ ทุกคนมาตั้งแต่ยุค 50 ว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร ต้องผ่านอุปสรรคแบบไหนมาบ้าง เพื่อหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันว่า เธอกำลังสร้างภาพจำในฐานะผู้หญิงแบบไหนให้เราได้ดำเนินรอยตามกันแน่
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/25f483299322f27fde061b877570bf57.jpg)
ต้นกำเนิดของ Barbie มาจาก ‘ตุ๊กตายาง’ และของเล่นชายแท้
เคยนึกสงสัยกันหรือไม่ว่า เจ้าตุ๊กตาบาร์บี้หน้าตาน่ารัก ที่เราเคยเล่นกันตอนเด็ก ๆ มีต้นแบบมาจากอะไร? ถ้าเราลองค้นหาข้อมูลบน Google แบบเร็ว ๆ ก็จะได้ความประมาณว่า ผู้ที่คิดค้นตุ๊กตาเหล่านี้ขึ้นมา คือ รูธ แฮนด์เลอร์ (Ruth Handler) นักธุรกิจหญิงชาวอเมริกัน หนึ่งในเจ้าของบริษัทผลิตของเล่น Mattel, Inc. ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากตุ๊กตาที่ลูกสาวชอบเล่นนามว่า ‘Bild Lilli’
ทว่าเมื่อเราค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ ‘Bild Lilli’ ต่อว่าเธอคือใคร ก็พบว่าเธอไม่ใช่ตุ๊กตาสามมิติธรรมดา ๆ ที่ออกแบบมาให้เด็กเล่น แต่เป็นตัวการ์ตูนสาวดาวยั่ว ต้นตำรับนักขุดทองที่ล่อลวงผู้ชายรวย ๆ ที่โลดแล่นอยู่บนหน้ากระดาษของหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์อย่าง ‘Bild-Zeitung’ ของเยอรมัน มาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 40 แล้ว โดยมี ไรน์ฮาร์ด บิวเทียน (Reinhard Beuthien) เป็นคนวาดเธอขึ้นมา
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/41b22eb26d2985df49c43faea70c8ee4.jpg)
คาแรกเตอร์ของเธอจะเป็นหญิงสาวที่มีความก๋ากั่น หัวสมัยใหม่ กล้าต่อปากต่อคำ และมีไหวพริบในการเจรจากับผู้ชายที่เป็นเลิศ แต่ถึงกระนั้นก็ยังโดนนักวิจารณ์ค่อนขอดว่าเป็นคนสมองน้อย ไร้ยางอาย และเป็นภาพแทนของความลามกอนาจารอยู่เสมอ อย่างฉากที่เป็นภาพจำ ก็คือฉากที่เธอโดนตำรวจเข้ามาตักเตือนเรื่องใส่ชุดบิกินีระหว่างเดินอยู่ริมทางสาธารณะว่าไม่เหมาะสม ซึ่งแทนที่สาวเจ้าจะเหนียมอายหาอะไรมาปกปิดส่วนสงวน เธอก็กลับเลือกที่จะตอบกลับไปโต้ง ๆ ว่า “โอ๊ะโอ ถ้าอย่างนั้นในความคิดของคุณ ฉันควรถอดชิ้นไหนออกก่อนดีหรือคะ?”
และด้วยความสวยปนแซ่บ ที่สุดแสนจะเซ็กซี่ของ ‘Bild Lilli’ เธอจึงได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี 1953 ทางหนังสือพิมพ์ก็ได้ตัดสินใจสร้างเธอขึ้นมาในรูปแบบสามมิติ เพื่อจัดจำหน่ายในฐานะตุ๊กตาของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ ที่สามารถหาซื้อได้จากบาร์ ตู้จำหน่ายยาสูบ และร้านขายของเล่นสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น โดยกลุ่มลูกค้าที่มักจะซื้อเธอไป ก็จะเป็นบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั้งหลาย ที่ชอบนำไปมอบเป็นของขวัญให้แก่กันและกันช่วงปาร์ตี้สละโสด หรือไม่ก็นำไปแขวนไว้ตรงกระจกมองหลัง ให้เป็นตุ๊กตาหน้ารถของแต่ละคนไป
ไม่เพียงผู้ชายในเยอรมันเท่านั้นที่หลงรัก ‘Bild Lilli’ แต่เธอยังดังไกลไปในอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก จนถูกขนานนามว่าเป็น ‘ตุ๊กตายาง’ ที่เป็นดาวของทุกบาร์ และถึงแม้ว่าผู้ปกครองหลายคนจะเริ่มกังวลถึงความไม่เหมาะสมของตุ๊กตาตัวนี้ แต่พอเด็ก ๆ เห็นว่าสามารถเปลี่ยนเสื้อผ้าสวย ๆ ให้กับเธอได้ ทุกคนก็รู้สึกชอบเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังได้รับความนิยมในหมู่ผู้ใหญ่มากกว่าอยู่ดี
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/31ac418c7d3b647e0360ec3362e4d380.webp)
ซึ่งคนที่เข้ามาล้างภาพจำให้ ‘Bild Lilli’ กลายเป็นของเล่นเด็กฉบับสามัญประจำบ้าน ที่ทุกคนสามารถหยิบขึ้นมาเล่นได้อย่างสนิทใจ ก็คือแฮนด์เลอร์นั่นเอง โดยระหว่างที่เธอและลูกสาวกำลังท่องเที่ยวสวิสซเซอร์แลนด์ด้วยกันในปี 1956 เธอก็สะดุดตาและถูกใจตุ๊กตา ‘Bild Lilli’ เป็นอย่างมาก เพราะหลังจากที่บริษัทของเธอได้ผลิตตุ๊กตา ‘Raggedy Ann’ ที่มีลักษณะเป็นเด็กหญิงผมแดงออกมาจนได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง เธอก็พยายามที่จะผลิตตุ๊กตาแนวใหม่ที่มีรูปร่างเป็นผู้ใหญ่มาโดยตลอด เพราะเธออยากให้เด็ก ๆ ได้จินตนาการถึงสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นในอนาคตบ้าง นอกเหนือจากบทบาทของการเป็นแม่ที่อยู่บ้านเลี้ยงลูก และทำกับข้าวให้สามีทาน ทว่าเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ชายกลับไม่เห็นด้วยที่เธอจะทำตุ๊กตาแบบนั้น แถมพวกเขายังตกใจมากที่เธอคิดจะทำตุ๊กตาสำหรับเด็กให้มีหน้าอก
ดังนั้น เมื่อเธอได้เห็นตุ๊กตา ‘Bild Lilli’ ที่มีรูปร่างเป็นสาวสะพรั่ง อีกทั้งยังมีหน้าอกและทรวดทรงองค์เอวครบถ้วน เธอจึงรู้สึกตะลึงมาก ๆ และตัดสินใจซื้อกลับบ้านถึง 11 ตัว ก่อนจะสั่งให้ส่งตามหลังมาทางไปรษณีย์อีกหนึ่งโหล และทำการดีไซน์ตุ๊กตาตัวนี้ขึ้นมาใหม่ร่วมกับคนในทีมทันที โดยพวกเขาได้ออกแบบให้ตุ๊กตารุ่นใหม่มีริมฝีปากและคิ้วที่ดูอ่อนโยนมากขึ้น รวมไปถึงสีผิวก็ปรับให้ขาวขึ้นมาอีกหลายเฉด ส่วนเสื้อผ้าก็ปรับให้ดูสวยงามตามแฟชั่นนิยม
หลังจากออกแบบเสร็จแล้ว พวกเขาก็ตั้งชื่อให้กับตุ๊กตาใหม่ว่า ‘บาร์บี้’ หรือชื่อเต็ม ๆ ก็คือ 'บาร์บารา มิลลิเซนต์ โรเบิร์ตส์’ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อของ ‘บาร์บารา’ ลูกสาวของแฮนด์เลอร์เอง และถัดจากนั้นไปอีกสามปี ในปี 1959 บริษัท Mattel, Inc. ก็ทำการเปิดตัว ‘ตุ๊กตาบาร์บี้’ ในงานมหกรรมของเล่นสุดยิ่งใหญ่อย่าง ‘American International Toy Fair’ และในปี 1964 พวกเขาก็สามารถซื้อลิขสิทธิ์ทั้งหมดของ ‘Bild Lilli’ มาเป็นของตัวเองได้อย่างเต็มตัว
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/bbbb6386b3cc72d4f4b67a4323d1b818.jpg)
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/8b57a7d6c6d5489bd1fe6d8bbaaafe6f.jpg)
อย่างไรก็ตาม เมื่อลองเทียบ ‘Bild Lilli’ กับตุ๊กตาบาร์บี้รุ่นแรกที่เปิดตัวออกมาแล้ว ก็ต้องบอกตามตรงว่าแทบไม่แตกต่างกันสักเท่าไร หรือถ้าจะหาจุดต่างจริง ๆ ก็คงจะเป็นเรื่องของสีผิวที่ขาวขึ้นเท่านั้น จนหลาย ๆ คนในบริษัทพากันกังวลว่าจะสามารถขายตุ๊กตารูปร่างแบบนี้ออกสู่ตลาด ในฐานะของเล่นเด็กได้จริงหรือ แล้วเหล่าผู้ปกครองจะยอมซื้อให้ลูกหรือไม่
สำหรับในส่วนนี้แฮนด์เลอร์ ก็ตัดสินใจใช้กลยุทธ์และจิตวิทยาทางการตลาด ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนมุมมองความคิดของผู้คนให้สลัดภาพความฉาวของ ‘Bild Lilli’ ออกไปจนหมด แล้วหลงเหลือแต่ความงดงามและสถานะไอดอลผู้เป็นแบบอย่างของเด็กผู้หญิงให้เป็นภาพจำของบาร์บี้เท่านั้น และนับจากนั้น ‘การใส่ส้นสูง’ ก็ไม่ถูกผูกอยู่ความเป็นโสเภณีหรือผู้หญิงกร้านโลก แต่เป็นลุคที่งดงามของหญิงสาวชนชั้นกลางข้างบ้านของทุกคน
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/c1ecc43d688b1ee44c41d732e3b104c4.jpg)
บาร์บี้ โฆษณา และจิตวิทยาทางการตลาด ที่เปลี่ยนบทบาทของตุ๊กตาดาวโป๊ ให้เป็นของเล่นที่เด็กสาวทุกคนอยากมี
ตุ๊กตาบาร์บี้ไม่ได้เป็นป๊อปไอคอนและขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในตุ๊กตาที่ขายดีที่สุดในโลกภายในชั่วข้ามคืน แต่ทั้งหมดมาจากการวางแผนอย่างค่อยเป็นค่อยไปของแฮนด์เลอร์ และ เออร์เนสต์ ดิชเตอร์ (Ernest Dichter) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันคนแรก ๆ ที่นำแนวคิดและเทคนิคด้านจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์มาประยุกต์ใช้ในการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค จนถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าพ่อด้านการตลาดที่คอยให้คำปรึกษากับหลาย ๆ บริษัทมาตั้งแต่ยุค 50
สำหรับคนที่สงสัยว่าจิตวิทยานั้นสำคัญกับบาร์บี้อย่างไร ก็ลองจินตนาการว่าตัวเองคือแฮนด์เลอร์ ที่กำลังตั้งใจจะเปลี่ยนโฉมวงการตุ๊กตาใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่มีแต่ตุ๊กตารูปร่างเด็ก ก็เปลี่ยนเป็นสาวงามสะพรั่งที่มาพร้อมกับหน้าอกหน้าใจแน่น ๆ แถมต้นแบบของตุ๊กตาตัวนี้ ยังมาจากการ์ตูนดาวโป๊อีกต่างหาก แน่นอนว่าถ้าเธออยากจะขายได้ ย่อมต้องหาวิธีการรีแบรนด์ที่ดีที่สุด และสร้างภาพจำใหม่ ๆ ให้กับตุ๊กตาตัวนี้ ซึ่งคนที่เข้ามาช่วยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านการตลาดตรงนี้ก็คือดิชเตอร์นั่นเอง
โจทย์ของแฮนด์เลอร์กับดิชเตอร์ ก็คือเปลี่ยนความคิดของเหล่าแม่ ๆ และเด็กทุกคนให้กล้าซื้อตุ๊กตาบาร์บี้กลับไปเล่นที่บ้าน และยังต้องทำให้บาร์บี้กลายเป็นไอดอลของเด็ก ๆ ที่มอบความหวังว่า สักวันเราก็สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นสาวสวยสะพรั่งแบบบาร์บี้ได้เช่นกัน และถ้าแฮนด์เลอร์กับดิชเตอร์อยากจะฝ่าด่านนี้ไปให้ได้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือการลงไปคลุกคลีกับผู้บริโภคตัวจริง ผ่านการทำวิจัยและโฟกัสกรุ๊ปเพื่อทำความเข้าใจกับค่านิยมและความต้องการของผู้หญิงในยุค 50 เสียก่อน
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/e2640da746c6e9fc6b1e6016ca50d667.webp)
ถ้าเราลองมองย้อนกลับไปถึงบทบาทของผู้หญิงในสังคมอเมริกันเมื่อประมาณ 70 ปีที่แล้ว สิ่งที่ผู้หญิงในยุคนั้นให้ความสำคัญมากที่สุดคือ ครอบครัว การแต่งงาน และการมีลูก หรือจะเรียกว่ามีบทบาททางเพศของเพศหญิงแบบดั้งเดิมเลยก็ว่าได้ เนื่องจากช่วงเวลานั้นเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่สงครามจบลงไปแล้ว ส่งผลให้เหล่าผู้ชายที่เคยไปรบได้กลับมาทำงานธรรมดา ๆ อีกครั้งหนึ่ง สังคมจึงเริ่มผลักดันให้ผู้หญิงที่เคยทำงานแทนผู้ชายกลับไปทำหน้าที่ตัวเองดังเดิมให้ได้มากที่สุด
ประกอบกับในช่วงนั้นกำลังอยู่ในช่วงสงครามเย็นด้วย ทางฝั่งประชาธิปไตย เลยพยายามโฆษณาชวนเชื่อถึงข้อดีของการมีครอบครัวเดี่ยว มีบ้านที่สมบูรณ์พร้อม ทุกคนมีความสุขอยู่ในโลกทุนนิยมอันแสนเสรี ผู้หญิงเลยควรอยู่ดูแลบ้าน มีลูกเยอะ ๆ มีความอ่อนหวาน ส่วนผู้ชายก็ออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัวและปกป้องทุกคน โดยตัดสลับกับภาพของผู้หญิงในสังคมคอมมิวนิสต์อันชั่วร้าย ที่ต้องทำงานในโรงงานอย่างทุกข์ทรมาณ แล้วต้องทิ้งลูกไว้ไม่มีใครเลี้ยงดูอย่างถูกต้องจนบ้านแตกสาแหรกขาด ซึ่งผลผลิตของโฆษณาชวนเชื่อในยุคนั้น ก็คือเหล่า ‘เบบี้บูมเมอร์’ ในยุคของเรานี่เอง
เมื่อดิชเตอร์กับแฮนด์เลอร์เข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคแล้วว่า ถ้าอยากปั้นให้บาร์บี้เป็นตุ๊กตาสำหรับเด็ก ๆ ที่สร้างความฝันให้เธออยากจะทำตามได้ พร้อมกับชนะใจเหล่าแม่ ๆ ได้ด้วย ก็ต้องส่งเสริมไปที่เรื่องของการแต่งงานมีครอบครัว โฆษณาตัวแรกของบาร์บี้ที่ปล่อยออกมาจึงสื่อสารไปถึงใจกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ด้วยภาพของบาร์บี้ในชุดแต่งงานแสนสวย และคุณประโยชน์ของการเล่นตุ๊กตาตัวนี้ก็คือสอนให้เด็กสาวรู้จักวิธีการแต่งตัว ดูแลตัวเองให้สง่า และเติบโตขึ้นมาเป็นเจ้าสาวผู้งดงามอย่างบาร์บี้
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/cc3f97fe30cb0e7b9ac66caa8be243a6.jpg)
สังเกตจากเนื้อเพลงในโฆษณาที่ร้องว่า
Someday, I'm going to be exactly like you.
Till then I know just what I'll do...
Barbie, beautiful Barbie,
I'll make believe that I am you.
สักวันหนึ่งฉันจะเป็นเหมือนกับเธอทุกอย่าง
เมื่อถึงตอนนั้นฉันรู้ว่าจะทำอะไร
บาร์บี้ บาร์บี้แสนสวย
ฉันจะทำให้ตัวเองเชื่อว่าฉันก็คือเธอ
ลองชมวิดีโอโฆษณาตัวแรกของบาร์บี้ได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=9hhjjhYGQtY
ด้วยการทำการตลาดให้เข้าถึงใจผู้บริโภคในแต่ละยุคสมัย ส่งผลให้บาร์บี้ค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่ในใจของเหล่าคุณแม่และลูก ๆ ทุกคนเรื่อยมา และภายในปีเดียวที่เปิดตัว ก็สามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 300,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10 ล้านกว่าบาทไทย (คิดตามค่าเงินในปัจจุบัน)
อย่างไรก็ตามการรณรงค์ให้เด็ก ๆ อยากแต่งงานและเป็นเจ้าสาวแสนสวย ไม่ใช่เพียงเรื่องเดียวที่แฮนด์เลอร์หยิบมาใช้ในการทำการตลาด เพราะหัวข้อนี้เป็นเพียงก้าวแรกของการเปิดประตูใจให้เหล่าผู้ปกครองยอมรับในของเล่นชิ้นใหม่นี้เท่านั้น แต่เมื่อค่านิยมของสังคมเปลี่ยนแปลง หรือมีกระแสสังคมแบบใหม่เข้ามา บาร์บี้ก็ปรับเปลี่ยนไปตามรูปแบบเหล่านั้นเสมอ จนเกิดเป็นบาร์บี้มากมายหลากหลายเวอร์ชันที่แทรกซึมอยู่เกือบทุกสาขาอาชีพบนโลก และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของการมอบพลังให้กับผู้หญิงทุกคนให้กล้าที่จะมีความฝันมาจนถึงทุกวันนี้
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/561a0b697bf2f698f6307f51b0879adc.jpg)
บาร์บี้สัญลักษณ์ของพลังหญิง ความหลากหลาย และการเป็นอะไรก็ได้ที่เราต้องการ
เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินเพลง ‘Barbie girl’ ของวง Aqua ที่เคยโด่งดังไปทั่วโลกและเคยติด Billboard Hot 100 ของอเมริกาในช่วงปลายยุค 90 กันมาบ้าง โดยเนื้อเพลงของเพลงนี้นั้น ได้เปรียบผู้หญิงคนหนึ่งว่าเป็นเหมือนกับบาร์บี้ที่ใครจะมาจับ มาเล่น หรือมาแก้ผ้าเธอตอนไหนก็ได้ จนเมื่อปี 2019 ก็ได้มีศิลปินอย่างเอวา แม็กซ์ (Ava Max) ออกมาร้องเพลงแก้ใหม่ว่า เราไม่ใช่บาร์บี้ของใคร และใครจะมาทำอะไรโดยที่เราไม่ยินยอมไม่ได้ ทว่าพอลองมาคิดตามดูแล้ว ก็น่าสงสัยจริง ๆ ว่าบาร์บี้นั้นเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่?
ในฐานะของเล่น แน่นอนว่าเราสามารถจับและเปลี่ยนชุดให้กับบาร์บี้ได้อย่างอิสระตามที่บทเพลงของวง Aqua ร้องบอกจริง ๆ เพราะเธอก็เป็นตุ๊กตาตัวหนึ่ง แต่ในฐานะ ‘ผู้หญิง’ แบบบาร์บี้ เราคงต้องบอกว่าสิ่งที่วง Aqua เปรียบเปรยออกมานั้นผิดถนัด และไม่มีใครสามารถทำกับบาร์บี้แบบนั้นได้แน่นอน อย่างน้อยแนวคิดนี้ก็ไม่เคยอยู่ในความตั้งใจของแฮนด์เลอร์
แฮนด์เลอร์ตั้งใจมาตลอดที่จะสร้างบาร์บี้ให้เป็นแรงบันดาลใจของเด็กสาว เธอต้องการแสดงภาพอนาคตให้เด็กทุกคนได้มองเห็นความเป็นไปได้ว่า เธอนั้นสามารถกลายเป็นอะไรได้บ้างในอนาคต ถึงแม้ในช่วงเปิดตัวแรก ๆ แฮนด์เลอร์จะยังคงโฆษณาตามขนบความคิดยุค 50 ให้บาร์บี้เป็นแรงบันดาลใจในการอยากเป็นเจ้าสาวและแต่งงาน แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ยุค 60 ที่มีแนวความคิดใหม่ ๆ เข้ามา เธอก็เริ่มมอบบทบาทผู้หญิงสมัยใหม่ให้กับบาร์บี้อย่างตั้งใจ
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/af4f8aee09e138d983a26d0cbfc30eec.jpg)
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/62940bbedb2548d58753529fedf606c1.jpg)
ในปี 1962 คือครั้งแรกที่บาร์บี้ปรากฏตัวพร้อมกับบ้านในฝัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องยากนักที่ผู้หญิงคนหนึ่งในยุคนั้นจะวาดฝันถึงการซื้อบ้านเป็นของตัวเอง หรือในปี 1965 ก็มีบาร์บี้ที่ทำอาชีพเป็นนักบินอวกาศ รวมถึงอีกหลากหลายอาชีพที่มีการผลิตออกมาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นหมอ นางแบบ นักแสดง ประธานบริษัทไปจนถึงประธานาธิบดี ซึ่งพอลองนับดูแล้วก็มีมากกว่า 200 อาชีพเลยทีเดียว
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/625814bc313e2874700c1c3c6111e9bb.jpg)
และรุ่นที่แสดงให้เห็นถึงพลังหญิงและความอิสระอย่างแท้จริงของบาร์บี้มากที่สุด ก็คือรุ่นปี 1985 ที่มีการออกแคมเปญโฆษณาชุด ‘We Girls Can Do Anything’ ซึ่งแคมเปญตัวนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมและแรงบันดาลใจเหล่าเด็กสาวเชื่อว่า ถ้าเรามีความพยายาม ไม่ว่าจะเป็นบทบาทไหน เราก็สามารถทำได้ทั้งนั้น เหมือนกับบาร์บี้
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/5390dc5d5649a5d5d4c12f05ada24571.jpg)
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/485080587f2745af76674f5030aaa6a2.jpg)
นอกจากนี้ บาร์บี้ยังไม่ได้ส่งเสริมพลังหญิงให้กับเหล่าเด็กสาวผ่านอาชีพและความเป็นไปได้เท่านั้น แต่เธอยังส่งผ่านความคิดเรื่องความหลากหลายและความเท่าเทียมออกมาด้วย เช่นในปี 1968 บริษัท Mattel ก็ได้ออกตุ๊กตารุ่นใหม่ชื่อว่า ‘Christie’ ซึ่งเป็นตุ๊กตาผิวดำตัวแรก เพื่อสนับสนุนเรื่องความเท่าเทียม และในปี 1980 ก็ยังมีตุ๊กตาของเชื้อชาติอื่นปล่อยออกมาอีกเรื่อย ๆ ทั้งคนผิวดำ คนฮิสปานิก และคนเอเชียด้วย
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/2ec8fc2afa972119726c2feab1f96653.jpg)
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/6c7606ec258012cbd40bf4fb9dac5dd5.jpg)
จนกระทั่งปี 2014 บาร์บี้ก็เริ่มเข้ามามีอิทธิพลในโลกออนไลน์มากขึ้น ผ่านการสร้างช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ให้คนติดตาม อีกทั้งในปี 2015 ก็มีการทำ Vlog ลงในยูทูป เพื่อพูดถึงความรู้ต่าง ๆ การดูแลตัวเอง รวมถึงการพูดเรื่องภาวะซึมเศร้า และปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกอินเทอร์เน็ตด้วย สำหรับปี 2016 - 2020 ทางบริษัท Mattel ก็เริ่มเปิดตัวบาร์บี้ที่มีรูปร่างหลากหลายมากขึ้นทั้งอ้วน ผอม มีพุง ต้นขาใหญ่ บางรุ่นก็เป็นบาร์บี้ไร้ผม หรือบาร์บี้ที่นั่งรถเข็นวีลแชร์ก็มี รวมถึงมีการนำบุคคลชื่อดังตัวจริงมาสร้างเป็นบาร์บี้อีกต่างหาก เช่น ฟรีดา คาห์โล (Frida Kahlo), แคทเธอรีน จอห์นสัน (Katherine Johnson), อมีเลีย เอียร์ฮาร์ท (Amelia Earhart), อีวา เฉิน (Eva Chen) และ คริสติน เชโนเวธ (Kristin Chenoweth) เป็นต้น
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/860269f2bbf1c49fea5244faf2babefd.jpg)
หรือแม้ในเวอร์ชันแอนิเมชันเอง เราก็ได้เห็นบทบาทของบาร์บี้ที่สร้างความเชื่อมั่นเรื่องความเท่าเทียมและความหลากหลายอยู่เสมอ เช่น ในเรื่อง Barbie and the Three Musketeers (2009) ที่ว่าด้วยเรื่องของตัวเอกหญิงทั้งสี่คนอยากจะกลายเป็นทหารเสือกับเขาบ้าง แต่ในยุคสมัยนั้นอาชีพนี้มีไว้สำหรับผู้ชาย และเป็นไปไม่ได้ที่ผู้หยิงจะเป็นบ้าง ซึ่งพวกเธอก็ได้ต่อสู่ฝ่าฟันจนชนะ และสามารถเป็นทหารเสือได้
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นเลยว่า ตัวตนของบาร์บี้นั้นไม่เคยถูกกำหนดจากผู้สร้างเลยว่าต้องเป็นอย่างไร เพราะทุกคนสามารถจินตนาการให้บาร์บี้เป็นแบบไหนก็ได้ตามจินตนาการของตัวเอง หรือจะเรียกว่าแล้วแต่ความฝันของเด็กคนนั้นจะนำพาไปก็ได้ ดังนั้นถ้าเราจะบอกว่าผู้หญิงแบบบาร์บี้นั้นเป็นแบบไหน ก็คงจะสรุปได้แค่ว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นผู้หญิงที่เปี่ยมไปด้วยความฝันและความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/855312dc4c8a5dfe07091a4386cba352.jpg)
บาร์บี้กับข้อถกเถียงเรื่องความงาม และการปฏิวัติของกลุ่ม Barbie Liberation Organization
หากจะบอกว่าการที่แฮนด์เลอร์ และบริษัท Mattel พยายามส่งเสริมให้เด็ก ๆ มีบาร์บี้เป็นแบบอย่างนั้นเปรียบเสมือนกับ ‘ดาบสองคม’ ก็คงจะไม่เกินจริงนัก เพราะการจะเป็นเหมือนกับบาร์บี้ได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แนวคิดเรื่องการเป็นผู้หญิงมากความสามารถที่สามารถทำได้มากกว่า 200 อาชีพ แต่ยังรวมไปถึงเรื่อง ‘รูปร่าง’ และ ‘ความสวยงาม’ ในอุดมคติ ที่สร้างความกังวลให้กับเหล่านักวิชาการ ที่มองว่าความงามอันเกินจริงของบาร์บี้เหล่านี้ กำลังปลูกฝังทัศนคติแบบผิด ๆ ให้กับเด็กทุกคนอยู่
ถ้าเรามองไปยังรูปร่างของบาร์บี้ในช่วงแรก ๆ ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนให้มีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน เราก็จะเห็นตุ๊กตาผู้หญิงหน้าตาสะสวย ผมบลอนด์ยาว ที่มีหน้าอกคัพ F กับเอวเล็ก ๆ เพียง 18 นิ้ว พร้อมกับสะโพกผายและบั้นท้ายอันงอนงาม ซึ่งลักษณะทั้งหมดนี้ได้ขับเน้นความเป็นหญิงให้บาร์บี้ดูสวยงามกว่าใคร ทว่ารูปร่างที่เล็กบางแบบนี้ กลับเป็นรูปร่างที่ยากเกินกว่าจะมีใครในชีวิตจริงสามารถมีได้
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/94bfd85d56716c0bf42aeb4dff7d0c33.jpg)
นอกเหนือจากฐานะของเล่น บาร์บี้ยังมีอิทธิพลในฐานะตุ๊กตาของป๊อปไอคอนกับเจ้าแม่แฟชั่น ที่มีการร่วมงานกับแบรนด์เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และเครื่องแต่งกายดัง ๆ อีกมากมาย รวมถึงมีการสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชันอีกหลายเรื่อง ที่คอยเป็นเพื่อนและแรงบันดาลใจให้กับทุกคน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในช่วงชีวิตการเติบโตของเด็กหลาย ๆ รุ่นมานานกว่า 60 ปีแล้ว
ซึ่งสิ่งที่หลายคนกังวลว่าเด็ก ๆ จะเอารูปร่างแบบนี้เป็นแบบอย่าง ก็ไม่ใช่แค่เรื่องข้อกังวลลอย ๆ เพราะมีการศึกษาวิจัยออกมาแล้ววว่า เด็กที่เล่นตุ๊กตาบาร์บี้ มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคคลั่งผอม และแสดงความปรารถนาที่จะมีร่างกายผอมบาง มากกว่าเด็กที่ไม่ได้ครอบครองบาร์บี้ หรือบางคนเมื่อเติบโตขึ้นก็คิดอยากจะสวยเป๊ะ ๆ ให้ได้แบบบาร์บี้ จนไปศัลยกรรมให้มีสัดส่วนคล้ายคลึงกับบาร์บี้มากที่สุดเลยก็มี ส่งผลให้บาร์บี้ถูกวิจารณ์ในเรื่องของการเป็นภาพแทนความงามแบบผิด ๆ มาโดยตลอด
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/d0c5b9bbf9a49ceecb24ee0fb4aa5828.jpg)
ยกตัวอย่างตุ๊กตาบาร์บี้ที่บริษัท Mattel ปล่อยออกมา แล้วต้องรีบจัดให้อยู่ในหมวดบ้งอย่างไว ก็คือ ‘บาร์บี้ไดเอต’ บาร์บี้รุ่นนี้ถูกปล่อยออกมาในปี 1963 โดยมาในรูปลักษณ์ของบาร์บี้วัยทีนผู้เตรียมตัวออกไปนอนค้างบ้านเพื่อนและจัดปาร์ตี้ชุดนอนกัน แต่สิ่งที่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างว่าบาร์บี้รุ่นนี้กำลังปลูกฝังค่านิยมเรื่องรูปร่างหน้าตาแบบผิด ๆ ก็คือพร็อพที่เป็นตาชั่งน้ำหนัก ที่มีขีดน้ำหนักอยู่ที่ 110 lbs หรือประมาณ 50 กิโลกรัม กับหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่มีตัวอักษรป้ายบนปกว่า ‘How to lose weight’
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/56ae6a2d49af1bceb90eeb2fd10ff4cb.jpg)
และรุ่นที่กลายเป็นกระแสโด่งดัง จนทำให้กลุ่มต่อต้านบาร์บี้อย่าง ‘Barbie Liberation Organization’ หรือ ‘BLO’ ที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1989 ต้องออกมาตอบโต้อย่างจริงจัง ก็คือตุ๊กตาบาร์บี้พูดได้รุ่น ‘Teen Talk Barbie’ ที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 1992 สาเหตุที่รุ่นนี้กลายเป็นประเด็นร้อน ก็มาจากบทพูดหลายประโยคที่ฟังดูแล้วช่างขัดแย้งกับสิ่งที่บริษัท Mattel พยายามสื่อสารมาตลอดเสียเหลือเกิน ซึ่งประโยคที่ว่านั้นก็คือ “วิชาคณิตศาสตร์ยากจัง”
ประโยคนี้ได้ทำให้เหล่าเฟมินิสต์ในยุคนั้น รวมถึงกลุ่ม ‘BLO’ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะคล้ายกับบริษัท Mattel กำลังปลูกฝังให้เด็กผู้หญิงกลัววิชาคณิตศาสตร์มากขึ้นกว่าเดิม และมองว่าวิชานี้อาจจะยากเกินความสามารถของตัวเอง อีกทั้งเดิมทีเด็กผู้หญิงก็ค่อนข้างด้อยในวิชานี้อยู่แล้ว เนื่องจากไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนให้เรียนในด้านนี้ แถมโอกาสที่ผู้หญิงจะได้ประกอบอาชีพในสายวิทย์-คณิตก็น้อยกว่าผู้ชายอยู่มาก
ซึ่งการแก้เผ็ดของกลุ่ม ‘BLO’ ที่มีต่อกรณีนี้ก็ค่อนข้างแสบทรวงถึงใจพอสมควร เพราะพวกเขาได้ทำการกว้านซื้อตุ๊กตาบาร์บี้รุ่น ‘Teen Talk Barbie’ ประมาณ 300 - 500 ตัวจากประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป แล้วนำมาเปลี่ยนกล่องเสียงกับหุ่นฟิกเกอร์ ‘G.I. Joe’ หุ่นของเล่นที่มีหน้าตาเป็นทหารอเมริกันจากทั้งสี่เหล่าทัพ จากนั้นก็นำตุ๊กตาเหล่านั้นกลับไปคืนร้านค้า ซึ่งเมื่อเด็กสาวคนใหม่ ๆ มาซื้อสินค้าที่ถูกกลุ่ม BLO คืนกลับไป ก็จะได้ยินเสียงพูดของบาร์บี้เป็นเสียงของทหารเข้ม ๆ ที่เต็มไปด้วยประโยคเกรี้ยวกราดอย่าง “การล้างแค้นคือพันธกิจของข้า!” ส่วนเหล่าเด็กชายที่กำลังตื่นเต้นกับหุ่นทหารตัวใหม่ก็จะได้ยินเสียงหวานแหลม ๆ ของบาร์บี้ตะโกนชวนไปช้อปปิ้งด้วยกัน หรือไม่ก็เอ่ยชมว่า “เคนนี่ยังกับเทพบุตรในฝันเลย!” แทน
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/9a2e5e0cbccb60b3e6e4ef72ab58ab27.jpg)
ไม่เพียงการสับเปลี่ยนกล่องเสียงจนตลาดตุ๊กตาโกลาหลเท่านั้น กลุ่ม BLO ยังทำการสร้างวิดีโอขณะที่บาร์บี้กำลังเปลื้องผ้า แล้วทำการผ่าตัดเปลี่ยนกล่องเสียงให้กับตัวเอง และในระหว่างนั้นพวกเธอก็ได้อธิบายถึงเหตุผลในการทำแบบนี้ด้วยว่า “พวกเราคือกลุ่มของเล่นเด็กระดับสากล ที่กำลังต่อต้านบริษัทที่สร้างเราขึ้นมา…เหตุผลที่พวกเราลุกขึ้นมาต่อต้านผู้สร้าง ก็เพราะว่าพวกเขาใช้เราเป็นเครื่องมือในการล้างสมองเด็ก ๆ พวกเขาสร้างเราขึ้นมาด้วยแนวทางที่ทำให้เรากลายเป็นภาพแทนทางเพศ ที่ส่งผลด้านลบต่อพัฒนาการของเด็ก”
ตุ๊กตาบาร์บี้ในวิดีโอนั้นยังพูดต่ออีกว่า “ฉันบริจาคเสียงของฉันให้กับ G.I. Joe ด้วย เพราะพวกเขาก็ต้องการอิสรภาพเช่นกัน ฉันว่าพวกเขาคงไม่อยากจะพูดถ้อยคำเกี่ยวกับสงครามอันรุนแรงอะไรนั่นหรอก ซึ่งตอนนี้พวกเขาก็ได้พูดในสิ่งที่ฉันเคยพูดแล้ว”
ชมวิดีโอของกลุ่ม ‘Barbie Liberation Organization’ ได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=eMHMf9y-27w
จะเห็นได้เลยว่าพวกเขามุ่งเป้าไปที่ของเล่นที่ส่งผลต่อบทบาททางเพศของทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย เพื่อแสดงให้สาธารณชนเห็นถึงความแปลกประหลาดที่กำลังปลูกฝังลงไปในสมองของลูกหลานเราทุกคนอยู่ แน่นอนว่าทางฝั่งบริษัท Mattel ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจและทำการเรียกคืนตุ๊กตาบาร์บี้เจ้าปัญหาทันที พร้อมเสนอว่าถ้าใครซื้อไปแล้วเสียงเปลี่ยนอีก ก็สามารถนำมาขายคืนได้เลย อีกทั้งพวกเขายังให้เหตุผลถึงการออกบาร์บี้รุ่นนี้ด้วยว่า พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะนำเสนอว่าผู้หญิงไม่เก่งคณิตศาสตร์ แต่แค่ต้องการที่จะถ่ายทอดความทรมานของเด็ก ๆ ทั่วไปที่ปวดหัวกับการเรียนคณิตศาสตร์เท่านั้นเอง
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/506dac7d1bcdd226f54fc1db28c2bf36.jpg)
อย่างไรก็ตามกรณีเรื่องรูปร่างหน้าตา และการนำเสนอบทบาททางเพศที่สร้างข้อจำกัดให้กับเด็ก ๆ จนไม่สมกับสโลแกนที่สนับสนุนทุกความเป็นไปได้ก็ยังเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง เช่น ในปี 1997 บาร์บี้ได้ร่วมงานกับโอรีโอแล้วสร้าง ‘บาร์บี้โอริโอ’ ออกมาในรูปลักษณ์ของสาวผิวดำ พร้อมกับสโลแกนประจำตัว ‘Oreo Fun’ ซึ่งคำว่าโอริโอก็ดันเป็นแสลงที่ใช้เรียกคนผิวดำที่มีความคิดและทัศนคติแบบคนผิวขาว โดยเฉพาะคนผิวดำที่ปฏิเสธรากของตนเอง ยิ่งเมื่อบาร์บี้โอริโอปรากฏโฉมพร้อมกับคอสตูมลายโอริโอ สะพายกระเป๋ารูปโอริโอ ก็ยิ่งทำให้บาร์บี้โอริโอคนนี้ดูเป็นสัญลักษณ์ประชดประชันคนผิวดำยิ่งขึ้นไปอีก
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/bc5be57e47487151405bee186d7ba5b3.jpg)
หรือจะเป็น ‘บาร์บี้นั่งรถเข็น’ ที่บริษัท Mattel ก็ปล่อยออกมาในปี 1997 เหมือนกัน โดยใช้ชื่อว่า ‘Share-a-Smile Becky’ เพื่อสร้างภาพจำว่าบาร์บี้เป็นมิตรกับทุกคน แต่ถึงแม้ว่าบาร์บี้รุ่นนี้จะถูกผลิตขึ้นมาเพื่อขจัดความรู้สึกแปลกแยกของเด็ก ๆ ที่ต้องนั่งรถเข็น แต่ความตลกร้ายก็คือการที่บาร์บี้รุ่นนี้กลับขับเน้นความรู้สึกไม่เข้าพวกให้ชัดเจนขึ้น เพราะเธอเป็นบาร์บี้รุ่นเดียวที่ไม่สามารถผ่านประตูบ้านบาร์บี้หรือ ‘Barbie Dream House’ ได้! และแม้ว่าบริษัท Mattel จะออกมาแถลงว่าพวกเขากำลังหาทางให้บาร์บี้เข้าบ้านให้ได้ แต่สุดท้าย Mattel ก็เลิกผลิตบาร์บี้รุ่นนี้ไปในที่สุด
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/d844415e6becf363865b2c88a003c3e3.webp)
และ ‘บาร์บี้ไอทีสาว’ ที่ปรากฏตัวในสมุดภาพเรื่อง 'Barbie: I Can Be a Computer Engineer’ ในปี 2010 กระทั่งในปี 2014 มือเขียนบทของดิสนีย์อย่าง พาเมลา ไรบอน (Pamela Ribon) ได้หยิบสมุดภาพเล่มนี้มาอ่านเล่น ก่อนจะพบเนื้อหาที่ชวนให้ขมวดคิ้วอย่างยิ่ง เพราะสมุดภาพเรื่องนี้ได้เล่าเรื่องราวของบาร์บี้กับอาชีพวิศวกรคอมพิวเตอร์ ทว่าเธอดันไม่ได้เป็นนักเขียนโค้ดคอมพิวเตอร์ หรือนักสร้างโปรแกรมสุดอัจฉริยะแต่อย่างใด แต่เป็นสาวไร้สมองที่โหลดไวรัสคอมพิวเตอร์ใส่เครื่องคอม แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของหนุ่ม ๆ ไอทีในการแก้ปัญหา ส่วนตัวเองก็นั่งสวย ๆ และทำงานเบา ๆ อย่างการออกไอเดียการดีไซน์สำหรับเกมคอมพิวเตอร์ ส่วนเรื่องการลงมือสร้างเกมขึ้นมาจริง ๆ ก็ให้หนุ่ม ๆ เขาทำไป
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/952a06ea42b38600f0f92aee7bbcf7ea.jpg)
การส่งเสริมสร้างภาพจำว่าผู้หญิงมักไม่เข้าใจเรื่องเกม เทคโนโลยี และคอมพิวเตอร์ และทำให้ผู้หญิงดูไร้สมอง ก็ส่งผลให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก จนวิศวกรคอมพิวเตอร์ตัวจริงอย่าง แคธลีน ทุยเทอ (Kathleen Tuite) ได้ปล่อยแอปฯ ออนไลน์ที่ชื่อว่า ‘Feminist Hacker Barbie’ เพื่อชวนทุกคนมาแต่งเรื่องให้บาร์บี้ใหม่ ส่วน Mattel ก็รีบออกมาขอโทษและเรียกเก็บหนังสือออกจากแผงอย่างด่วนเช่นเคย
จากภาพรวมทั้งหมดนี้ เราก็คงจะบอกได้ว่า ‘บาร์บี้’ ก็เปรียบเสมือนกับคนคนหนึ่งที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียปะปนกันไปในหลาย ๆ ด้าน ด้านหนึ่งเธอก็เป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิงกล้าจะวาดฝันอนาคตของตัวเองให้ไกลกว่าการเป็นแม่บ้าน แต่อีกด้านหนึ่งเธอก็กลายเป็นตัวแทนของความงามเหนือธรรมชาติที่ปลูกฝังค่านิยมผิด ๆ ให้กับเด็กไปหลายรุ่นเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม บนโลกนี้ใคร ๆ ต่างก็เคยพลาดพลั้ง นับประสาอะไรกับบาร์บี้ที่อยู่มานานกว่า 60 ปี และต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมาหลายรูปแบบ ตั้งแต่เน้นอนุรักษนิยมจ๋า จนถึงสังคมสุดหลากหลายในปัจจุบัน
ในท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าบาร์บี้และบริษัท Mattel จะปล่อยไก่ให้สังคมได้จวกเตือนสติกันอยู่บ่อยครั้ง แต่สิ่งสำคัญที่เรามองเห็นได้จากพวกเขาก็คือ การพยายามปรับตัวให้ทันกับความเป็นไปของโลกอยู่เสมอ และกลายเป็นบาร์บี้ที่มีความหลากหลายมากขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะว่าพวกเขาคือพ่อค้าแม่ขาย ที่ต้องเปลี่ยนตัวเองตามความต้องการของลูกค้า แต่ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงนั้นก็ยังช่วยทำให้สังคมและเด็ก ๆ รุ่นต่อไปของเราพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นได้ด้วย ก็น่าลุ้นกันว่าเราจะได้เห็นโลก และมุมมองทางสังคมแบบไหนจากภาพยนตร์ ‘Barbie’ ของผู้กำกับอย่างเกรตา เกอร์วิก ที่จะเข้าฉายในวันที่ 20 กรกฎาคมนี้บ้างกันแน่
อ้างอิง
- “รูธ แฮนด์เลอร์ : ผู้เปลี่ยนตุ๊กตาสุดวาบหวามเป็น 'Barbie' ที่คอยเติมฝันให้เด็กผู้หญิง”. The People. 19 กรกฎาคม 2566. https://www.thepeople.co/read/37081
Maham Javaid. 2023. “Barbie’s ‘pornographic’ origin story, as told by historians”. The Washington Post. 13 July, 2023. https://www.washingtonpost.com/lifestyle/2023/05/25/barbie-trailer-creator-pornographic-origin-doll/
Janifer Latson. 2015. “The Barbie Doll's Not-for-Kids Origins”. Time. 13 July, 2023. https://time.com/3731483/barbie-history/
Messynessy. 2016. “Meet Lilli, the High-end German Call Girl Who Became Barbie”. Messynessy. 13 July, 2023. https://www.messynessychic.com/2016/01/29/meet-lilli-the-high-end-german-call-girl-who-became-americas-iconic-barbie-doll/
Kerry J. Byrne. 2023. “On this day in history, March 9, 1959, Barbie makes fashionable world debut at New York Toy Fair”. Fox News. 19 July, 2023. https://www.foxnews.com/lifestyle/this-day-history-march-9-1959-barbie-makes-fashionable-world-debut-toy-fair
Kai Ryssdal. 2009. “The evolution of Barbie”. Marketplace. 19 July, 2023. https://www.marketplace.org/2009/03/09/evolution-barbie/
The Pill. 2018. “Mrs. America: Women's Roles in the 1950s”. American Experience. https://www.pbs.org/wgbh/americanexperience/features/pill-mrs-america-womens-roles-1950s/
Barbie Media. "Timeline." Barbie. 19 July, 2023. http://www.barbiemedia.com/timeline.html.
Sara Spary. 2019. “How Mattel turned 'too perfect, unrelatable' Barbie into a symbol of female empowerment”. Campaign. 19 July, 2023. https://www.campaignlive.co.uk/article/mattel-turned-too-perfect-unrelatable-barbie-symbol-female-empowerment/1663884
Vitamin Stree. 2018. “The Barbie Effect — Dolls, Beauty Standards and Body Image Issues”. Medium. 19 July, 2023. https://vitaminstree.medium.com/the-barbie-effect-dolls-beauty-standards-and-body-image-issues-172044af336f
Sunny Sea Gold. 2021. “11 Barbie Doll Controversies You Completely Forgot About”. The Healthy. 19 July, 2023. https://www.rd.com/list/barbie-doll-controversies/
John Boone. 2014. “The 14 Most Controversial Barbies Ever”. ET. 19 July, 2023. https://www.etonline.com/news/154308_the_14_most_controversial_barbies_ever