#Artเทอม Public Art: ศิลปะแห่งการลงหลักและขัดขืน บนพื้นที่แห่งการมีส่วนร่วม

Post on 29 July 2025

กลางดึกคืนหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก ปี 1989 คนงานกลุ่มหนึ่งลงมือรื้อถอนแผ่นเหล็กกล้าขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลานหน้าอาคารรัฐบาล พวกเขาตัดเหล็กขึ้นสนิมที่สูงเกือบสี่เมตร ยาวเกือบ 37 เมตรออกเป็นชิ้น ๆ ท่ามกลางความมืด งานศิลปะชิ้นนั้นมีชื่อว่า 'Tilted Arc' ผลงานของ ริชาร์ด เซอร์รา (Richard Serra) ศิลปินระดับตำนานของวงการประติมากรรมสมัยใหม่ และการรื้อถอนครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลับหลังศิลปิน แต่เป็นการกระทำที่มีอำนาจรัฐหนุนหลัง อนุมัติอย่างเป็นทางการให้ทำลายผลงานชิ้นนี้

ย้อนกลับไปเมื่อแปดปีก่อนหน้านั้น หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ชื่อ General Services Administration (GSA) ได้ว่าจ้างเซอร์ราให้สร้างงานศิลปะสำหรับลานหน้าอาคาร Federal Plaza ในนิวยอร์ก เซอร์รากลับมาพร้อมแผ่นเหล็กโค้งขนาดมหึมาตามสไตล์ของเขาเอง ดูน้อยแต่มาก ติดตั้งมันผ่ากลางลานกว้าง บังคับให้พนักงานออฟฟิศนับพันที่ต้องเดินผ่านจุดนี้ในแต่ละวันต้องเปลี่ยนเส้นทางเดิน เซอร์ราตั้งใจให้ผลงานชิ้นนี้เปลี่ยนประสบการณ์ของผู้คนที่มีต่อพื้นที่สาธารณะ อยากให้การเดินผ่านไม่ใช่แค่การเดิน แต่เป็นการรู้สึกถึงสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป

แต่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกแบบนั้น หลายคนเกลียดมันเข้าไส้ ถึงขั้นมีคนเรียกมันว่า 'กำแพงเบอร์ลินแห่งพลาซ่า' พวกเขามองว่ามันน่าเกลียด ไม่น่ามอง เกะกะ และน่ารำคาญ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผู้พิพากษาคนหนึ่งออกมาบอกว่างานชิ้นนี้คือ 'ภัยต่อความมั่นคง' เพราะในยุคที่การก่อการร้ายกลายเป็นความกังวล Tilted Arc อาจถูกใช้เป็น 'กำแพงกันระเบิด' ได้

เหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เรื่องดราม่าหนึ่งในวงการศิลปะ แต่มันกลายเป็นหน้าสำคัญในประวัติศาสตร์ของ 'ศิลปะสาธารณะ' หรือ Public Art งานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อติดตั้งในพื้นที่ที่ใครก็เข้าถึงได้ Tilted Arc จึงไม่ได้เป็นแค่ประติมากรรมแผ่นเหล็กโค้งธรรมดา แต่มันคือจุดเริ่มต้นของข้อถกเถียงมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะ ชุมชน และอำนาจการตัดสินใจ

คอลัมน์ #Artเทอม ของ GroundControl ครั้งนี้ ชวนสำรวจประเด็นเหล่านี้ไปด้วยกัน ว่าใครกันแน่ที่เป็นคนกำหนดว่าพื้นที่สาธารณะควรมีหน้าตาแบบไหน ทำไมงานศิลปะบางชิ้นถึงถูกติดตั้งอยู่กลางถนนโดยไม่มีใครว่าอะไร แต่ทำไมงานอีกแบบหนึ่งถึงถูกรื้อถอนจนหายไป ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ตรงนั้นมาก่อน

มหาศิลปิน vs มวลมหาประชาชน

ในยุคปัจจุบัน เรามักคุ้นกับแนวคิดที่มองว่า 'ศิลปิน' คืออัจฉริยะ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากคนทั่วไป หรือมีภาวะพิเศษบางอย่างที่ยากจะอธิบาย เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจได้หากไม่ใช่ศิลปินเอง แต่นั่นไม่ใช่แนวคิดที่ถูกยึดถือในทุกยุคทุกสมัย เพราะถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ศิลปะของโลก ศิลปะในหลายช่วงเวลาคือการแสดงออกของชุมชน เป็นงานที่เกิดจากคุณค่าร่วมบางอย่างของกลุ่มคน ศิลปะเป็นเหมือนหลักฐานของจิตวิญญาณรวมหมู่ ซึ่งในบางครั้งศิลปินก็ทำหน้าที่เพียงแค่เป็น 'ผู้ถ่ายทอด' เท่านั้น ไม่ใช่หมาป่าเดียวดายที่ครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง แล้วสำแดงภาวะภายในออกมา

เมื่อเป็นเช่นนี้ คำว่า 'ศิลปะสาธารณะ' จึงมีคำถามตามมาว่า จริง ๆ แล้วมันหมายถึงอะไรกันแน่? แค่ 'ตัวพ่อแห่งประติมากรรมสมัยใหม่' เอางานที่เต็มไปด้วยลายเซ็นและภาษาส่วนตัวไปตั้งไว้ในพื้นที่สาธารณะ เท่านี้จะถือว่าเป็นศิลปะสาธารณะแล้วหรือยัง? หรือถ้าศิลปินไทยทำอาหารในแกลเลอรี่สีขาว แล้วชวนผู้ชมมามีส่วนร่วม ลงมือ 'สร้าง' งานศิลปะด้วยกันผ่านประสบการณ์กินร่วมกัน นั่นจะถือว่าสาธารณะได้หรือเปล่า?

สถานที่แห่งความทรงจำ (ของใคร?)

พฤษภาคม ปี 1886 ที่ชิคาโก เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า 'เฮย์มาร์เก็ต' (Haymarket affair) ขึ้น การชุมนุมอย่างสงบของกลุ่มคนงานที่ออกมาเรียกร้องให้กำหนดเวลาทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน จบลงด้วยเหตุปะทะกับตำรวจที่พยายามสลายการชุมนุม มีผู้เสียชีวิตในฝั่งผู้ชุมนุม สถานการณ์บานปลายจนมีการปาระเบิด กลายเป็นเหตุรุนแรงที่ทำให้มีคนตายทั้งฝั่งตำรวจและประชาชน หลายคนถูกจับกุม และมีการตัดสินคดีอย่างไม่เป็นธรรม

คำถามก็คือ อนุสาวรีย์สำหรับเหตุการณ์นี้ควรมีหน้าตาเป็นอย่างไร? จะเป็นรูปตำรวจผู้รักษาความสงบเรียบร้อยดีไหม หรือควรเป็นภาพของผู้เสียสละที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนทำงาน? คำตอบคือทั้งสองอย่างนั้นต่างก็เกิดขึ้นจริง ในชิคาโกมีอนุสาวรีย์ที่เล่าทั้งสองเรื่องในเวลาเดียวกัน ด้านหนึ่งคือรูปตำรวจหนวดเข้มในเครื่องแบบ ยืนชูมืออย่างสง่างาม ส่วนอีกด้านคืออนุสาวรีย์ของหญิงสาวผู้แข็งแกร่ง ยืนหยัดปกป้องชายคนทำงานที่ล้มลง

ประติมากรรมสองชิ้นนี้คือหลักฐานที่ชัดเจนของการต่อสู้เพื่อตีความประวัติศาสตร์ที่ยังไม่จบ ระหว่างฝ่ายที่ยึดถือความสงบเรียบร้อย ซึ่งรวมถึงนักธุรกิจและเจ้าหน้าที่รัฐที่เรียกเหตุการณ์นี้ว่า 'การจลาจลเฮย์มาร์เก็ต' กับฝ่ายคนทำงานที่ต่อต้านการกดขี่ ไม่ว่าจะในรูปแบบความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการจ้างงานที่ไม่เป็นธรรม พวกเขามองเหตุการณ์เดียวกันนี้เป็น 'การสังหารหมู่เฮย์มาร์เก็ต'

สองมุมมองนี้สะท้อนกลับไปยังคำว่า 'สาธารณะ' อีกครั้ง ว่าจริง ๆ แล้ว 'สาธารณะ' หมายถึงใครกันแน่? คือหน่วยงานรัฐที่ทำตามนโยบาย (ซึ่งก็ต้องถามต่อว่านโยบายมาจากใคร?) หรือคือชุมชนในวงการศิลปะที่มีเสียงอันทรงคุณค่ากว่าคนทั่วไป? หรือจะเป็นบริษัทเอกชนที่มีเงินทุนมากพอจะนำผลงานระดับโลกมาตั้งแสดงในเมืองให้ผู้คนได้เสพ (ซึ่งก็ต้องถามอีกเช่นกันว่า มูลค่าทางเศรษฐกิจของศิลปะ จะสะท้อนคุณค่าของชุมชนได้มากแค่ไหน?)

นึกถึงผลงานอย่าง 'Vietnam Veterans Memorial' ของมายา ลิน (Maya Lin) ที่เปิดตัวในปี 1982 อนุสรณ์สถานนี้ไม่ได้เป็นรูปปั้นทหารวีรบุรุษอย่างที่หลายคนคุ้นเคย แต่มันคือรอยแยกสีดำที่ฝังอยู่ในพื้นดิน สลักชื่อผู้เสียชีวิตเอาไว้ เงียบขรึม ไม่ประกาศชัยชนะ แต่มอบพื้นที่ให้ความโศกเศร้าและการเยียวยา มันเป็นการเปลี่ยนมุมมองต่อการสร้างอนุสรณ์สถานจากเดิมที่เน้นยกย่องวีรกรรม กลายเป็นพื้นที่ที่เน้นให้เราตระหนักถึงความสูญเสียส่วนบุคคล เส้นแบ่งระหว่าง 'เหยื่อ' กับ 'วีรบุรุษ' จึงพร่าเลือนไป เหมือนกับสถานะของสงครามในประวัติศาสตร์ ที่ก็คงไม่มีวันได้ข้อสรุปสมบูรณ์

คิดไปคิดมาก็ทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์บางเรื่องใกล้ตัว ที่ในสายตาบางคนมันอาจเป็นแค่ 'เหตุการณ์หนึ่งในวันหนึ่ง' แต่สำหรับอีกฝ่าย มันคือ 'วันแห่งการสังหารหมู่' และดูเหมือนว่านั่นจะทำให้กรุงเทพฯ และเมืองไทยในแต่ละสายตา มีความหมายและการใช้งานที่ไม่เหมือนกันเอาเสียเลย

ลบเพื่อไม่ให้ลืม

มาถึงตรงนี้ อยากชวนลองลืมภาพรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของนายพลบนหลังม้าที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางลาน ก้าวข้ามกาลเวลาอย่างสง่างามไปก่อน เพราะแม้ว่าศิลปะสาธารณะจำนวนไม่น้อยจะถูกสร้างขึ้นจากความต้องการจะจดจำเหตุการณ์ บุคคล หรือคุณค่าบางอย่างให้คงอยู่ยืนยาวผ่านวัตถุที่แข็งแกร่ง ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ยังมีศิลปะสาธารณะอีกประเภทที่ตั้งใจปรากฏตัวเพียงชั่วคราว แต่กลับกลายเป็นอะไรบางอย่างที่เราย้อนกลับไปคิดถึงได้เสมอ

ศิลปะชั่วคราว (Ephemeral Art) เป็นรูปแบบหนึ่งของการทดลอง มันเกิดขึ้นแล้วก็หายไป แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น ศิลปะประเภทนี้มักตอบสนองต่อประเด็นร้อนแรงของยุคสมัย และสร้างประสบการณ์ที่มีมนต์สะกดแบบ 'ต้องมาเห็นด้วยตาตัวเอง' มันกลายเป็นเรื่องเล่าอีกด้าน ที่ท้าทายความมั่นคงของประวัติศาสตร์ ซึ่งมักถูกเล่าไว้ด้วยวัตถุถาวร ศิลปะชั่วคราวเหล่านี้ชวนให้เราเข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะกับประวัติศาสตร์ คุณค่า หรือบริบทของปัจจุบัน และบ่อยครั้ง พวกมันก็ทำหน้าที่นั้นด้วยการยั่วล้อ หรือชี้นิ้วถามหาความหมายของสภาพแวดล้อมเดิม รวมถึงงานศิลปะถาวรที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ

หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือโปรเจกต์สุดสร้างสรรค์ของ ทัตสึ นิชิ (Tatzu Nishi) ในปี 2012 ชื่อ Discovering Columbus เขาสร้างห้องนั่งเล่นสไตล์โมเดิร์นขึ้นมาครอบอนุสาวรีย์คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ที่สูงถึง 75 ฟุตกลางโคลัมบัสเซอร์เคิลในนิวยอร์ก ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ ผู้คนสามารถปีนบันไดขึ้นไปนั่งบนโซฟา อ่านหนังสือ หรือจิบกาแฟอยู่ข้าง ๆ รูปปั้นโคลัมบัสที่เคยสูงส่งห่างไกล

บริบทเดิมของอนุสาวรีย์อันมั่นคงถาวรถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่แค่การปีนขึ้นไปมองให้ใกล้ แต่เป็นการเปลี่ยนเส้นแบ่งระหว่าง 'พื้นที่สาธารณะ' กับ 'พื้นที่ส่วนตัว' ให้พร่าเลือน

‘พื้นที่’ สาธารณะนั่นอยู่ที่ไหน?

นิยามของ ‘พื้นที่’ สาธารณะเองก็ถูกขยายออกไปจนสุดขอบไม่แพ้ความหมายของคำว่าสาธารณะ
ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 กลุ่มศิลปินที่ชื่อว่า GALA Committee นำโดย เมล ชิน (Mel Chin) เปิดตัวโปรเจกต์สุดแสบที่ชื่อ In the Name of the Place แผนของพวกเขาคือการแทรกผลงานศิลปะเชิงความคิดกว่า 200 ชิ้น เข้าไปซ่อนอยู่ในฉากของละครทีวียอดฮิต Melrose Place โดยไม่มีใครบอกให้คนดูรู้

ลวดลายบนผ้าคลุมเตียงที่ดูเหมือนแค่ของตกแต่งบ้านธรรมดา จริง ๆ แล้วคือแผนภาพโครงสร้างทางเคมีของยาทำแท้ง RU-486 ส่วนกล่องอาหารจีนแบบใส่กลับบ้านที่ตัวละครถือในฉากนั้น มีข้อความสโลแกนจากการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินแฝงอยู่ การก่อกวนเชิงสัญลักษณ์แบบนี้ เปลี่ยนละครน้ำเน่าหลังข่าวที่ดูเหมือนไม่มีอะไร ให้กลายเป็นแกลเลอรีศิลปะลับ ๆ ที่ยียวนและเต็มไปด้วยนัยทางการเมือง

โปรเจกต์นี้เข้าถึงผู้ชมหลายล้านคน ที่อาจแค่อยากดูละครเบา ๆ คลายเครียดตอนหัวค่ำ แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า 'พื้นที่สาธารณะ' ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในลานกว้างหรือบนผนังตึก เพราะในโลกที่สื่อมวลชนเข้าถึงได้จากปลายนิ้วมือ สื่อเองก็กลายเป็นสนามของศิลปะสาธารณะได้เหมือนกัน

การลงหลักและการขัดขืน

ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่อาจเป็น 'หัวใจ' ของศิลปะสาธารณะ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่เรามองเห็น หรือผลงานที่ถูกติดตั้งแค่ในวันเปิดงาน แต่มันคือ 'กระบวนการ' ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก

ศิลปะสาธารณะพยายามติดตั้งความทรงจำ คุณค่า หรือคำถามบางอย่างลงไปในพื้นที่ของสาธารณะ แต่ในความเป็นจริง 'สาธารณะ' เองก็ไม่ได้นั่งรอให้ศิลปินป้อนอะไรให้เฉย ๆ บ่อยครั้งพวกเขาตอบโต้ ต่อต้าน หรือแม้แต่รื้อถอนมันออกไปเลยด้วยซ้ำ ในโลกศิลปะมีศัพท์เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า 'การขัดขืนทางสัญญะ' (semiotic disobedience) คือการปฏิเสธความหมายที่ศิลปินหรืออำนาจพยายามยัดเยียดให้

เราจึงเห็นรูปปั้นของนายพลฝ่ายใต้ในสหรัฐอเมริกาถูกพ่นสี ถูกโค่นทิ้ง หรืออนุสาวรีย์นักล่าอาณานิคมในหลายประเทศถูกทำลาย นี่ไม่ใช่แค่การทุบวัตถุ แต่คือการปฏิเสธเรื่องเล่าของประวัติศาสตร์ที่ฝังอยู่ในหินและทองสัมฤทธิ์ การตอบโต้ของชุมชนชายขอบที่มักไม่มีพื้นที่จะเล่าเรื่องของตัวเองอย่างเป็นทางการ

การต่อสู้ทางความหมายแบบนี้ไม่มีวันจบ เพราะศิลปะสาธารณะไม่เคยอยู่ในสภาพ 'สมบูรณ์' มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกตีความใหม่ ถูกตั้งคำถาม ถูกต่อรอง และถูกทวงคืนอยู่เสมอ

นี่เองคือเหตุผลที่ทำให้ศิลปะสาธารณะสำคัญ มันยุ่งเหยิง มันเป็นที่ถกเถียง และมันมักไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้ใคร มันบังคับให้เราต้องเผชิญหน้ากับบทสนทนาที่บางทีเราก็อยากเลี่ยง เช่น ใครกันแน่ที่มีสิทธิ์เล่าเรื่องประวัติศาสตร์? ใครเป็นเจ้าของพื้นที่สาธารณะ? และเราจะอยู่ร่วมกับความขัดแย้งในความทรงจำได้ยังไง?

เพราะศิลปะสาธารณะคือของเราทุกคน และในเมื่อเราทุกคนเป็นเจ้าของ มันก็หมายความว่าเราทุกคนมีสิทธิ์จะโต้เถียงกับมันด้วย

...เว้นเสียแต่ว่าศิลปะบางอย่างในบางประเทศ อาจจะ 'โต้เถียงไม่ได้' ถ้าไม่อยากมีปัญหากับกฎหมาย

อ้างอิง

  • Hein, Hilde. 'What Is Public Art?: Time, Place, and Meaning.' The Journal of Aesthetics and Art Criticism, vol. 54, no. 1, 1996, pp. 1–7. JSTOR, https://doi.org/10.2307/431675. Accessed 15 July 2025.
  • Knight, Cher & Senie, Harriet. (2016). A Companion to Public Art.

ภาพจาก