#Artเทอม Posthumanism: ศิลปะแห่งการเอา ‘มนุษย์’ ออกจากศูนย์กลางจักรวาล

Post on 24 December 2025

“ร้อนแรง รวดเร็ว และพ้นมนุษย์” Janet Maslin นักวิจารณ์แห่ง The New York Times พูดถึงหนังเยอรมันสุดสร้างสรรค์ Run Lola Run (1998)

“โดราเอมอน ดูจะทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งทุกอย่างที่เหล่านักคิดสายหลังมนุษยนิยมพยายามเสนอและอยากให้เป็น” กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช เขียนถึงมังหงะญี่ปุ่นยอดฮิต

“ปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ คือปีแห่งการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “โลกหลังมนุษย์” โดยแท้” รศ.ดร.วสันต์ ปัญญาแก้ว เขียนในบทบรรณาธิการ วารสารสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฉบับส่งท้ายปี 2020

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสมัยนี้ วาทกรรมเอ้ยคำที่ครองตำแหน่งยอดฮิตติดชาร์ตในการอธิบายสังคมได้อย่างถึงใจสุด ๆ คือ “Post-humanism” ที่บางคนก็แปลว่า “หลังมนุษยนิยม” บางคนก็เรียกว่า “พ้นมนุษยนิยม” ซึ่งก็มักจะมาพร้อมกับภาพเทคโนโลยีล้ำ ๆ ไซไฟ หุ่นยนต์ ปุ่ม จอ เอเลี่ยน ไฟฟ้า และปัญญาประดิษฐ์ หรือไม่ก็อีกทางไปเลยคือป่าดิบชื้นที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ เสือ นาค หอย ลม พรรณไม้ หรือผี พ้นมนุษยนิยม —รวมไปถึงคำว่า “พ้นมนุษย์”— เป็นคำกว้างกว้างงง ที่เก็บความได้ทั้งสภาพของยุคสมัยที่เรากำลังสัมผัส และกระแสความคิดบนโลกที่เปลี่ยนไป

เราคงไม่สามารถลุกขึ้นมาประกาศได้ว่าเจ้าความพ้นมนุษยฯ นี้คืออะไร (ขอฟังทุกคนเถียงกันต่อก่อน) แต่บทความนี้คือความพยายามสำรวจคร่าว ๆ ว่าทำไมพ้นมนุษยนิยมถึงต้านมนุษยนิยม ตัวตนของมนุษย์มีความหมายอย่างไรในแนวความคิดนี้ จักรวาลในสายตาเราจะเปลี่ยนไปอย่างไร และงานศิลปะหรือภาพยนตร์ตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้อย่างไร (และเราจะดูมันด้วยมุมใหม่ได้อย่างไร) จากงานเขียนอย่าง The Bloomsbury Handbook of Posthumanism (2020) Screening the Posthuman (2023) และ The Palgrave Handbook of Posthumanism in Film and Television (2015)

ตัวตน-คน-พ้นมนุษย์

ถึงจะฟังดูล้ำยุคแค่ไหน แต่สิ่งที่เชื่อมนักคิดหลายคนเอาไว้ใต้ร่มใหญ่ของความพ้นมนุษย์ไม่ใช่การทำนายหน้าตาของมนุษย์ในอนาคตว่าจะมีแขนกลขากลสมองกลกับเทคโนโลยีอย่างไร แต่คือการมุ่งวิพากษ์แนวคิด “มนุษยนิยม” หรือ humanism (ชวนให้นึกถึงชื่อ post-“humanism” มากกว่า “posthuman”-ism)

เพราะในโลกอีกฉบับหนึ่ง เรา(หรือหลัก ๆ แล้วหมายถึงชาวตะวันตก*)เคยมองว่ามนุษย์เป็นสิ่งพิเศษ โดดเด่น มีเหตุผล แตกต่างไปจากสัตว์ สิ่งแวดล้อม และสิ่งประดิษฐ์เครื่องมือต่าง ๆ ซึ่งความต่างนี้ไม่ได้แค่สร้างเอกลักษณ์ให้กับเรา แต่ยังทำให้เรา “เหนือกว่า” ทั้งหมดนั้นอีกด้วย

เป้าชนที่ “พ้นมนุษยนิยม” มุ่งปะทะจึงไปอยู่ที่ “ตัวตน” อันทรงพลังตามฉบับแบบเดการ์ต (hard Cartesian Ego) หรือสำนึกตัวอันตระหนักรู้ในตนเองและโลก ซึ่งเรามีอยู่คน(เผ่าพันธุ์)เดียว ซึ่งทำให้เราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

แต่เดการ์ตไม่ใช่พ่อ ประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเส้นตรง —เริ่มด้วยมนุษยนิยมและตามมาด้วยพ้นมนุษยนิยม—อย่างนั้น จุดยืนทางความคิดแบบพ้นมนุษย์ฯ อาจเป็นส่วนหนึ่งในวิธีคิดหรือวิถีชีวิตของเรามาตลอดเลยด้วยซ้ำ หากลองคิดว่ามนุษย์ไมได้เกิดมาแบบตัวตนสมบูรณ์พร้อมแล้วค่อยประดิษฐ์เทคโนโลยี แต่เราวิวัฒนาการมาร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องมือ เรามีชีวิตที่พัวพันกับชีวิตในสายพันธุ์อื่น ๆ มาโดยตลอด และในหลาย ๆ วัฒนธรรม มนุษย์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่มีสำนึกตระหนักรู้… ที่จริงแล้ว มันอาจไม่ได้ฟังดูแปลกขนาดนั้นด้วยซ้ำในไทย ถ้าจะพูดว่าก้อนหิน ต้นไม้ สิ่งของ เครื่องมือ หรือสัตว์ต่าง ๆ มีชีวิตและวิญญาณเป็นของตัวเอง และเราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลในสำนึกของสิ่งเหล่านั้น

เราอาจไม่เคยเป็นมนุษย์เลยด้วยซ้ำ อย่างที่เหล่านักวิชาการว่าไว้ เพราะเราไม่ได้โดดเด่นเหนือใคร แต่ก็เป็น “สิ่ง” สิ่งหนึ่งท่ามกลางอีกหลาย ๆ สิ่งรอบตัวที่มีความสามารถไม่ต่างจากเรา

พ้นมนุษย์ไม่ใช่ส่วนต่อขยายมนุษย์

ภาพโทนี่ สตาร์ค ที่สวมใส่เทคโนโลยีบนร่างกายในภาพยนตร์ Iron Man คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบ สำหรับความ “เหนือมนุษย์” ที่เราดัดแปลงสมรรถภาพของตัวเองไปได้ และทะลุขีดจำกัด “ความเป็นมนุษย์” ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่เหนือไปอีกขั้น แต่นั่นดูจะอยู่ในจักรวาลของ “Transhumanism” ที่เทคโนโลยีมีไว้ยกระดับมนุษย์มากกว่า ทำให้คนยิ่งเป็นศูนย์กลางจักรวาลยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ ไม่ได้ทำให้เรื่อง “ธรรมชาติของมนุษย์” เปลี่ยนไป แต่ถ้าอย่างนั้นภาพของความพ้นมนุษย์จะเป็นอย่างไร?
ในหนัง Planet of the Apes เราได้เห็นความรุ่งเรืองของชุมชนที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งมีสภาพความเป็นจริงทางการเมืองเป็นของตนเอง กระตุ้นผู้ชมให้คิดถึงบทบาทการครอบงำของมนุษย์ ซึ่งอธิบายได้ในฐานะ “การเหยียดสายพันธุ์” (speciesism) ว่าเราทึกทักกันไปเองว่ามนุษย์เหนือกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ อย่างไร ถึงไปรบกวนระบอบการเมืองของสิ่งอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์

ระบอบการเมือง(และเทคโนโลยีแห่งการปกครอง)ในจักรวาลของมนุษย์เองก็ยังเป็นที่ถกเถียงและอยู่กับความเปลี่ยนแปลงเสมอมาและคงจะเสมอไป บางทีตัวตนของเราอาจถูกสร้างขึ้นจากระบอบการเมือง เท่า ๆ กับที่เราเป็นฝ่ายออกแบบระบอบด้วยซ้ำ และที่ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ก็อาจมี “ระบอบ” หรือ “เทคโนโลยี” ทางสังคม ที่พัวพันกันไปมาทุกสิ่งอยู่ด้วยเหมือนกัน
ดังนั้นในศิลปะอย่างการเต้น จุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวจึงอาจไม่ได้มาจากร่างกายมนุษย์ แต่มาจาก “การเคลื่อนไหว” ด้วยตัวมันเองที่มีอยู่ทุกหนแห่งอยู่แล้วต่างหาก อยู่ในการทับถมกันในธรรมชาติ นักออกแบบท่าเต้นอย่างวิลเลียม ฟอร์ไซธ์ (William Forsythe) อธิบายการทำงานของเขาด้วยคำว่า “ร่างกายคือสิ่งที่พับซ้อนได้” (a body is that which folds) เขา หรืออย่างผลงานแสดง Café Müller ของ พีน่า เบาช์ (Pina Bausch) “เก้าอี้คาเฟ่” ก็มีส่วนอย่างมากในการเข้ามากำหนดการเคลื่อนไหวภายในพื้นที่การแสดงของนักเต้น มากกว่าจะเป็นเพียงแค่พร็อบประกอบฉาก… เวทีแห่งนั้นเป็นจักรวาลของเก้าอี้เท่า ๆ กับจักรวาลของนักแสดง

เราอยู่กับ “อวัยวะเทียม” มาโดยตลอด

ในงานศึกษาแนวพิการศึกษาเชิงวิพากษ์ (critical disability studies) การสวมร่าง (embodiment) คือการต่อรองระหว่างร่างกายกับสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีและสังคม นี่คือความเข้าใจที่สอดคล้องไปกับแนวคิดพ้นมนุษย์ ซึ่งมองว่าร่างกายไม่ใช่เรื่องเชิงชีวภาพที่หยุดนิ่งและมั่นคง แต่เป็นเสมือนเทคโนโลยี สื่อ หรือระบบ ที่เราถือกำเนิดเข้ามาอยู่ด้วย และเรียนรู้ที่จะใช้งาน แก้ไข และต่อขยายมัน
ในหนังฝรั่งเศส De rouille et d’os (Rust and Bone) ตัวเอกหญิงสูญเสียขาไป และค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับขาเทียมที่สร้างขึ้นใหม่ ไม่ใช่ในฐานะอวัยวะเลียนแบบธรรมชาติ แต่เป็นลูกผสมที่ผสานและปรับเข้าหากันของ “สนิมและกระดูก”

เช่นเดียวกับ “อมนุษย์” ที่ดำรงอยู่ในแบบของเขาเอง ไม่ได้เป็นตัวประหลาดที่อยู่ใน “ร่างกายที่ไม่ถูกต้อง” ถ้ามองจากจักรวาลที่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง ร่างของมนุษย์โคลนในหนัง Never Let Me Go หรือ The Island คงเป็นวัตถุที่ถูกจดสิทธิบัตรได้ และเป็นเหมือนคลังอวัยวะแบบมีชีวิตด้วย แต่ถ้าอย่างนั้น “รูปแบบมนุษย์ตามธรรมชาติ” ของพวกเรามีความแตกต่างอย่างไรกัน ทำไมถึงจะ “ล่วงละเมิด” ไม่ได้

ในหนังอนิเมะชื่อดังจากปี 1995 เรื่อง Ghost in the Shell ก็ยิงคำถามทางปรัชญาที่ลึกซึ้งมา เมื่อตัวเอก พันตรีโมโตโกะ คุซานางิ กลายเป็นไซบอร์กเต็มตัว แล้วเจอกับวิกฤตอัตลักษณ์ จากความสงสัยในความแท้จริงของความทรงจำตนเอง ผู้ชมเองก็เลยต้องหาคำตอบไปด้วยว่า “ตัวตน” จริง ๆ อยู่ที่ไหน ถ้าร่างกายเป็นแค่เปลือกที่ผลิตขึ้นมาและหามาเปลี่ยนแทนได้

คำตอบอาจอยู่ในหนัง Ready Player One ที่ร่างแบบดิจิทัล เป็นภาชนะหรือพาหนะในการสำรวจ “บทบาทสมมุติ” ของตัวตน ขยี้ปมที่ว่า “รูปแบบของข้อมูลอาจสำคัญกว่าสภาพที่ปรากฏจับต้องได้” ในโลกของเกม ร่างดิจิทัลเป็นส่วนขยายของตัวตนของเรา แต่ในทางกลับกัน มันก็ส่งผลต่อตัวตนของเราให้มีลักษณะบางอย่าง ซึ่งอาจต่างจากตัวตนในร่างอันจับต้องได้ของเราก็ได้

ร่วมมือ ≠ เครื่องมือ

มีตัวอย่างอีกมากมายที่ทำหน้าที่เหมือนการทดลองทางความคิด ว่ามนุษย์คืออะไร ในความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับสิ่งรอบตัว โดยเฉพาะในยุคสมัยที่เทคโนโลยีดูเหมือนจะประดิษฐ์ปัญญาขึ้นมาได้ และท้าทายสติปัญญามนุษย์เอง

แนวคิดพ้นมนุษย์ไม่ใช่จักรวาลไซไฟอันห่างไกลออกไป แต่เป็นเลนส์ที่ทำให้เห็นจักรวาลคู่ขนานที่อยู่กับเราในปัจจุบัน

นี่คือคำเชิญชวนให้มาคิดเกี่ยวกับโลกใหม่ คิดเกี่ยวกับการเมือง ระบบนิเวศ และศิลปะใหม่ และปฏิบัติในแบบที่ต่างออกไป ในฐานะส่วนหนึ่งของจักรวาลอันมากมายบนโลก ร่วมกัน-ร่วมมือกับทุกสิ่ง —แบบเดียวกับที่เราร่วมมือกับมนุษย์— ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ สิ่งมีชีวิต เทคโนโลยี หรืออะไรก็ตาม แทนที่จะหยิบจับสิ่งเหล่านั้นในฐานะเครื่องมือที่อยู่ใต้การควบคุมของสำนึกมนุษย์เพียงคนเดียว

อ้างอิง

  • Hauskeller, M, et al. The Palgrave Handbook of Posthumanism in Film and Television. Palgrave Macmillan UK, 2016.
  • Molloy, M, et al. Screening the Posthuman. Oxford University Press, 2023.
  • Thomsen, M.R, and J Wamberg. The Bloomsbury Handbook of Posthumanism. Bloomsbury Academic, 2020.