เดินทางถึงปลายปีที่ลมหนาวทีไร หลายคนคงรู้สึกคิดถึงอีเวนต์ต่างๆ ที่มอบทั้งความสดชื่น ความชิล และความพรีเมียมไปพร้อมๆ กันใช่ไหม และไม่ว่าจะอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างงานเทศกาล หรือจะอีเวนต์เล็กๆ กับเพื่อนบนโต๊ะอาหาร สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเบียร์พรีเมียมอันดับ 1 ของฝรั่งเศสซึ่งมียอดขายทั่วโลกกว่า 70 ประเทศอย่าง Kronenbourg ที่ดึงเอกลักษณ์ความหรูหราแต่มีลูกเล่นจากฝรั่งเศสมาไว้ในขวดเดียว จนทำให้ทุกจิบที่เราดื่มนั้นเสมือนได้ไปเที่ยวฝรั่งเศสยังไงยังงั้น
เบียร์พรีเมียม Kronenbourg เป็นเบียร์ที่ส่งตรงมาจากเมืองเก่าเมืองแก่ของฝรั่งเศสอย่าง Strasbourg และเมื่อเอ่ยถึง Strasbourg หลายคนคงนึกถึงเมืองแห่งนี้ในฐานะเมืองหลวงคริสมาสต์ของโลกที่มีตลาดคริสมาสต์เก่าแก่กว่า 450 ปี แต่ถ้าซูมเข้าไปที่รายละเอียดของเมืองดีๆ เราจะเห็นว่า Strasbourg เป็นเมืองเก่าแก่หรูหราที่มีลูกเล่นและมีอะไรให้เราค้นหาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่รัฐสภายุโรป ธรรมชาติที่บริสุทธิ์สวยงาม สถาปัตยกรรมต่างๆ ที่มีอายุมากกว่าเราหลายร้อยปี
แต่ทีเด็ดที่พลาดไม่ได้ของที่นี่ก็คือการเป็นแหล่งต้นกำเนิดของโรงเบียร์ Kronenbourg สุดพรีเมียมที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1664 หรือเมื่อกว่า 350 ปีที่แล้วนี่แหละ ที่ว่าพรีเมียมก็ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งโรงเบียร์คนแรกนั้นได้รับใบประกาศนียบัตรนักทำเบียร์ระดับมาสเตอร์ วัตถุดิบสำคัญอย่างฮอปส์ก็คัดสรรแต่ชนิดที่ดีที่สุด แถมยังหมักด้วยกรรมวิธีที่แตกต่างจนได้เป็นเบียร์ที่มีเอกลักษณ์คาดเดาไม่ได้แบบ Good Taste With A Twist!
เรียกว่าเมื่อไหร่ที่ดื่ม Kronenbourg เราก็จะได้สัมผัสความพรีเมียมของทั้งฝรั่งเศสและเมืองต้นกำเนิดทุกครั้ง และเพราะแบบนั้น เราจึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Kronenbourg อย่างลงลึกและพาไปทัวร์แหล่งต้นกำเนิดกันแบบสนุกๆ เมื่อไหร่ที่อยากใช้ช่วงเวลาดีๆ กับเพื่อนหรือคนพิเศษ เบียร์ Kronenbourg จะได้ช่วยสร้างบรรยากาศที่ไม่เหมือนใครให้ทุกคน
หมุดที่ 1 รสชาติของความพรีเมียมแบบฝรั่งเศสที่รวมไว้ในความ Good Taste With A Twist ของ Kronenbourg
ก่อนจะไปปักหมุดในสถานที่ต่างๆ ของเมืองที่มีเอกลักษณ์อย่าง Strasbourg เราอยากพาทุกคนไปล้วงความลับของ Kronenbourg ที่มีความพิเศษไม่ต่างจากเมืองต้นกำเนิดกันก่อน
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1664 Jerome Hatt ได้ทดลองทำเบียร์ Kronenbourg ขึ้นมาเพียง 1 ถัง แต่เมื่อเขาได้รับประกาศนียบัตร Master Brewer เขาจึงก่อตั้งโรงเบียร์ในใจกลางเมือง Strasbourg ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิหารในท้องถิ่น
ด้วยความตั้งใจที่จะทำให้ Kronenbourg ของพวกเขาดีที่สุด โรงเบียร์แห่งนี้จึงคัดสรรส่วนผสมเบียร์ที่ดีที่สุด โดยเฉพาะ Strisselspalt Hops ซึ่งเป็นฮอปส์ที่มีต้นกำเนิดรอบเมือง Strasbourg แห่งแคว้น Alsace นี่เอง
นอกจากนั้น พวกเขายังต้องการให้ Kronenbourg ซ่อนเอกลักษณ์บางสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้เพื่อให้ Kronenbourg แตกต่างจากเบียร์อื่นๆ ในท้องตลาด ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเบียร์จึงได้คิดค้นสูตรพิเศษขึ้น โดยนำเบียร์ที่ดีอยู่แล้วของแบรนด์ไปหมักร่วมกับพืชตระกูลส้มซีตรีสจนได้เป็น Kronenbourg ที่มีเอกลักษณ์ มีรสนิยม แต่ก็มีลูกเล่นให้ค้นหาแบบ Good Taste With A Twist
ไม่แปลกใจหาก Kronenbourg ซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน ทั้งยังเป็นเบียร์พรีเมียมที่มีลูกเล่นจนได้รับการขนานนามว่าเป็นต้นตำรับแห่งเบียร์ Alsace อันดับ 1 ของฝรั่งเศสและได้รับความนิยมกว่า 70 ประเทศทั่วโลก
หมุดที่ 2 ดำดิ่งในประวัติศาสตร์กับ Strasbourg Cathedral มหาวิหารโกธิกที่สวยที่สุดในยุโรป
หมุดแรกที่ไม่มาไม่ได้คือ Strasbourg Cathedral หรือ Cathedral of Our Lady of Strasbourg อันสื่อถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Kronenbourg เพราะวิหารแห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่ยุคกลาง เป็นมหาวิหารโกธิกที่สวยที่สุดในยุโรปและครั้งหนึ่งยังเคยเป็นมหาวิหารที่สูงที่สุดในคริสต์ศาสนจักรจนถึงศตวรรษที่ 19 ด้วย
Strasbourg Cathedral สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1015 ก่อนที่จะปรับปรุงเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิกในปลายศตวรรษที่ 12 กว่าจะเสร็จสมบูรณ์จริงๆ ก็ใช้เวลนานถึง 424 ปีในการก่อสร้าง นอกจากส่วนหน้าอาคารแบบโกธิกที่งดงามหรูหราแล้ว ความอลังที่อยากให้ทุกคนสังเกตกันคือสารพัดสิ่งของที่นำมาตกแต่งในวิหาร
ตั้งแต่โครงสร้างหลักสุดหรูหราจากหินทรายสีชมพูซึ่งขุดขึ้นจากเทือกเขา Vosges ความพิเศษคือหินทรายชนิดนี้จะเปลี่ยนสีไปตามแสงและช่วงเวลาของวัน ในอาคารยังมีรูปปั้นหลายพันชิ้นตั้งเรียงรายอยู่ ช่วยเสริมให้วิหารดูอลังการและขลังกว่าเก่า นอกจากนั้น ยังมีหน้าต่างกระจกสีที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 และ 14 ออแกนขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นไม่เกินศตวรรษที่ 13 และที่พลาดไม่ได้คือนาฬิกาดาราศาสตร์ที่ไม่ได้บอกเวลาอย่างเดียวแต่ยังระบุเวลาสุริยะ สัญลักษณ์ของจักรราศี ระยะของดวงจันทร์และตำแหน่งของดาวเคราะห์ ฯลฯ เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเที่ยง หุ่นกษัตริย์ของนาฬิกาจะก้มลงกราบพระกุมารเยซู
เรียกว่าเป็นไฮไลต์สำคัญที่ถ้าไม่มา ก็เหมือนไม่ถึง Strasbourg! เช่นเดียวกับถ้าอยากได้ความพรีเมียมของรสชาติและดื่มด่ำประวัติศาสตร์เก่าแก่ก็ต้องสั่ง Kronenbourg มาร่วมกับอาหารเมนูโปรด
หมุดที่ 3 Palais Rohan พระราชวังหรูหราที่กลายเป็นบ้านของพิพิธภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ
มาต่อกันที่หมุดที่ 3 อย่าง Palais Rohan หรือพระราชวังโรฮันสีน้ำตาลชมพูสุดหรูหราสื่อถึงความพรีเมียมของ Kronenbourg ได้เป็นอย่างดี เพราะนี่คือสถาปัตยกรรมแบบบาโรกชิ้นเอกของฝรั่งเศสและนับเป็นสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของศตวรรษที่ 18
พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี 1732-1742 โดยมี Robert de Cotte เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ ว่ากันว่า Robert de Cotte ได้ออกแบบให้ Palais Rohan มีรูปแบบคล้ายกับคฤหาสน์แห่งหนึ่งในกรุงปารีส แรกเริ่มสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของตระกูลขุนนางฝรั่งเศสโบราณอย่างเจ้าชายบิชอปและพระคาร์ดินัลแห่งราชวงศ์โรฮัน ต่อมาถูกครอบครองโดยขุนนาง เทศบาล สถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐ มหาวิทยาลัย และกลับมาเป็นสมบัติของเทศบาลอีกครั้ง สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองของฝรั่งเศสได้เป็นอย่างดี
เพราะการออกแบบที่หรูหราอลังการทั้งภายนอกและภายใน พระราชวังโรฮันจึงเคยเป็นที่พำนักของเจ้านายหลายคน ไม่ว่าจะพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 พระนางมารี อ็องตัวแน็ต นโปเลียนและโจเซฟีน โบนาปาร์ต นอกจากนั้นยังเคยเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรคที่สำคัญอีกหลายครั้ง
ปัจจุบัน พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ พิพิธภัณฑ์โบราณคดี และพิพิธภัณฑ์มัณฑนศิลป์ นอกจากไปแวะที่นี่เพื่อชมความหรูหรางดงามของพระราชวังเก่าแก่ของเมือง ชาวอาร์ตก็จะได้เดินชมศิลปะในพิพิธภัณฑ์กันแบบฉ่ำๆ เหมือนกับที่ Kronenbourg นั้นสอดแทรกรสชาติความพรีเมียมหรูหราไว้พร้อมๆ กับ Twist ที่แปลกใหม่ บรรยากาศดีๆ กับคนพิเศษทีไรก็เลยต้องสั่ง Kronenbourg ทุกครั้ง!
หมุดที่ 4 เดินเล่น Petite France ถนนริมน้ำที่สวยงามดั่งเทพนิยาย
ขยับจากมหาวิหาร Strasbourg Cathedral มาอีกหน่อยเราก็จะเจอกับ Petite France ย่านประวัติศาสตร์อันสวยงามที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ที่สำคัญ บรรยากาศริมน้ำยังดีไม่ไหวชวนให้นั่งจิบเครื่องดื่มยามบ่ายกันเพลินๆ หรือใครจะเดินชมสถาปัตยกรรมและร้านค้าน่ารักน่าช้อปที่เรียงรายก็ดีอีกแบบ
ในเชิงสถาปัตยกรรม Petite France นั้นเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างสมัยยุคกลาง ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์ Saint- Thomas และ Saint-Pierre-le-Vieux ที่มีอายุย้อนไปถึงศตวรรษที่ 16 และ 17 หรือจะเป็น Ponts Couverts ประกอบด้วยสะพานสามแห่งที่เคยมีหลังคาไม้ปกคลุมและหอคอยสี่แห่งที่สร้างขึ้นเป็นแนวป้องกันในศตวรรษที่ 14 ฯลฯ นอกจากนั้น ความน่ารักที่พลาดไม่ได้คือที่นี่ยังมีโครงสร้างอาคารกึ่งไม้แบบ Half-timbered ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในเยอรมันเพราะ Strasbourg นั้นอยู่ติดกับเยอรมันนั่นเอง
ในเชิงวัฒนธรรม ที่นี่เคยเป็นที่อยู่ของช่างฟอกหนัง ชาวประมง และคนทำโรงสีช่วงยุคกลาง นอกจากนั้น ที่นี่ยังเป็นสถานที่จัดตลาดคริสมาสต์สองแห่งสำคัญของ Strasbourg อีกด้วย ถือว่า Petite France นำเสนอความ Good Taste with a Twist ของ Kronenbourg ไว้ได้อย่างแนบเนียน
หมุดที่ 5 สายอาร์ตพลาดไม่ได้กับ Musée d'Art Moderne et Contemporain
ในย่านประวัติศาสตร์ Petite France เมื่อครู่ที่เราพาไป ยังมีพื้นที่ศิลปะน่าสนใจอย่าง Musée d’Art Moderne et Contemporain หรือ Museum of Modern and Contemporary Art ตั้งอยู่ด้วย
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส จัดแสดงคอลเล็กชั่นภาพวาด ประติมากรรม ศิลปะภาพพิมพ์ มัลติมีเดีย และงานออกแบบยุคอิมเพรสชั่นนิสม์จนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะผลงานของ Gustave Doré, Vassily Kandinsky หรือ Max Ernst
นอกจากนั้น ที่นี่ยังมีห้องสมุดภาพถ่าย ห้องสมุดศิลปะ ร้านหนังสือศิลปะของพิพิธภัณฑ์เทศบาล และหอประชุมเอนกประสงค์สำหรับการประชุม การชมภาพยนตร์ และการจัดคอนเสิร์ตอยู่ด้วย หรือหากใครเดินเที่ยวเหนื่อยๆ ก็แวะจิบกาแฟกันได้ที่ระเบียงกว้างขวางของคาเฟ่ประจำพิพิธภัณฑ์
นอกจากเมืองแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เก่าแก่แล้ว ก็ยังมีพื้นที่ของศิลปะสมัยใหม่ให้เราได้เสพกันได้ไม่เบื่อ เช่นเดียวกับ Kronenbourg ที่แม้จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่ยังคงนำมา Twist ให้มีความคลาสสิคเข้ากับอาหารของผู้คนได้ทั่วโลก
หมุดที่ 6 ชิมเมนูอร่อยจากร้านอาหารในตำนาน Maison Kammerzell
รู้ไหมว่าอาหารขึ้นชื่อที่ Strasbourg ไม่ใช่อาหารฝรั่งเศสแบบที่ทุกคนคุ้นเคย! เพราะ Strasbourg ตั้งอยู่ในแคว้น Alsace ระหว่างยุโรปตะวันตกและยุโรปกลางและเป็นแนวเขตแดนฝรั่งเศส-เยอรมันดีๆ นี่เอง วัฒนธรรมอาหารของที่นี่จึงแปลกแตกต่างจากเมืองอื่นๆ จะฝรั่งเศสก็ไม่ใช่ จะเยอรมันก็ไม่เชิง แต่คืออาหารแบบชาวอัลเซเชี่ยน
ไม่ว่าจะเป็น Baeckeoffe ที่แต่ก่อนชาวบ้านจะนำผักและเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่เหลือเคี่ยวรวมกับมันฝรั่งและไวน์ขาวก่อนส่งให้คนทำขนมปังในเมืองอบเป็นเมนูใหม่ หรือไม่ก็ Coq au Riesling ที่เมืองอื่นๆ จะนำไก่ไปอบกับเบอร์กันดีแต่เมืองแห่งนี้นำไปอบกับไวน์ขาวรสเปรี้ยว หรือ Tarte Flambée อาหารข้างทางที่คล้ายพิซซ่าแต่รสชาติแตกต่างอย่างสิ้นเชิง! เมนูเหล่านี้ก็มีพื้นฐานมาจากภูมิประเทศท่ามกลางหุบเขานั่นเอง
เมนูอาหารแปลกๆ ที่เราร่ายไปรวมถึงอีกสารพัดเมนูที่ไม่ได้บอกหาทานได้หลายร้านในเมืองเชียวล่ะ แต่ร้านที่พลาดไม่ได้เด็ดขาดคือ Maison Kammerzell เพราะถือเป็นร้านในตำนานที่มีมาตั้งแต่ปี 1497 นอกจากอาคารตั้งแต่สมัยโกธิกตอนปลายและศิลปะเฟรสโกของศิลปินชาวอัลเซเชี่ยน Léo Schnug แล้ว ก็มีอาหารนี่แหละที่ทำให้ที่นี่น่าไปเยือนเมนูที่พลาดไม่ได้คือ Coq au Riesling และ Baeckeoffe ที่เราว่าไป แถมยังมี Foie gras ที่เสิร์ฟพร้อมบลูเบอร์รี่และขนมปังปิ้งด้วย
เมนูอาหารและรูปทรงอาคารเก่าแก่ของที่นี่จึงคือตัวแทนของชาวอัลเซเชี่ยนได้ดี ไม่ต่างจาก Kronenbourg ที่เป็นเบียร์ต้นตำรับของอัลเซเชี่ยนแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่อยากใช้ช่วงเวลาดีๆ ที่ร้านอาหารกับเพื่อน ครอบครัว หรือคนพิเศษ การมีเบียร์ Kronenbourg เสิร์ฟบนโต๊ะจึงช่วยให้เราดื่มด่ำเวลาดีๆ แบบนั้นได้อย่างลึกซึ้งและสนุกขึ้น
สัมผัสรสชาติความพรีเมียมแบบฝรั่งเศสผ่านเบียร์ Kronenbourg
อ่านจนถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากวาร์ปไปฝรั่งเศสแล้วใช่มั้ยล่ะ แต่ช้าก่อน ไม่ต้องตีตั๋วไปข้ามทวีปเราก็สัมผัสกับความพรีเมียมอันเป็นเอกลักษณ์ของฝรั่งเศสกันได้ง่ายๆ ผ่าน Kronenbourg เบียร์ที่รวมทุกความโดดเด่นของเมืองไว้ในขวดเดียว
Kronenbourg เป็นเบียร์ข้าวสาลีที่หมักด้วยพืชตระกูลส้มซีตรัส รสชาติของ Kronenbourg จึงถือเป็น Good Taste With A Twist เหมือนพาเราไปสัมผัสวัฒนธรรมฝรั่งเศสที่หรูหราแต่มีลูกเล่นได้ยังไงยังงั้น
ถ้าใครอยากสัมผัสความรู้สึกนี้เหมือนกัน ติดตามรายละเอียดความพรีเมียมแบบมีเอกลักษณ์ของ Kronenbourg ได้ที่เพจ Kronenbourg Thailand ได้เลย