Atreides! Atreides! Atreides!
หลังจากปลุกความฮึกเหิมจาก DUNE: Part One ปฐมบทของมหากาพย์ภาพยนตร์ Sci-Fi วิทยาศาสตร์ ผลงานจาก Denis Villeneuve ผู้กำกับสุดเนี๊ยบชาวฝรั่งเศส-แคนาดา ไปในโรงภาพยนตร์ เชื่อหลายคนคงยังอินกับผืนทรายสุดลูกหูลูกตา และความโอ่อ่าทรงพลังของโถงใหญ่ เพดานสูง ที่ติดตาติดใจอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งที่เป็นแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ นะ เพราะ Villeneuve เขาคิดมาแล้ว !
เรื่องราวใน DUNE ที่กินเวลาอันยาวนาน ไม่ต่างจากแพชชั่นของ Villeneuve ที่มีต่อนิยายเล่มโปรดของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะโปรเจ็กต์นี้ ถูกเก็บขึ้นหิ้งไว้ตั้งแต่แรกเริ่มที่เขาฝันอยากจะเป็นผู้กำกับ จนเมื่อถึงเวลาเหมาะสม Villeneuve จึงจับมือกับ Patrice Vermette ผู้ออกแบบงานสร้างคู่ใจ เพื่อเสกความฝันสุดยิ่งใหญ่นี้ให้เป็นจริง ด้วยความที่ Villeneuve กับ Vermette เป็นคนบ้านเดียวกัน ภาพในหัวของทั้งคู่ จึงตอบรับกันอย่างดีชนิดที่มองตาก็รู้ใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาพยายามค้นหาสมดุลระหว่างความประณีตทางภาพ และความชัดเจนในมุมมองการสร้างภาพยนตร์อยู่เสมอ จนสรุปได้ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการคือความ ‘น้อย แต่ มาก’ ด้วยความคิดนี้ ทั้งสองจึงเริ่มย้อนรอยกลับไปหารากเหง้าของ DUNE แล้วจึงลบภาพจำทั้งหมดที่มี (รวมถึงภาพจำ DUNE เวอร์ชั่นผู้กำกับคนอื่น ๆ และภาพในหนังสือของ Frank Herbert ผู้แต่ง) ก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดใหม่และสร้าง DUNE ออกมาด้วยรูปแบบเฉพาะตัว แต่จะมีอะไรที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบ 'ฉาก' ใน DUNE บ้าง วันนี้ GroundControl จะชวนทุกคนมาไขความลับ จับทาง DUNE กัน
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/52dd8738209e0247aa65533c2884ab56.jpeg)
Villeneuve และ Vermette ค้นพบว่าการจะทำเรื่องที่ยากให้ง่ายนั้น พวกเขาต้องสร้างฉากที่สมจริงและเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ ดังนั้น ทั้งคู่จึงเริ่มต้นด้วยการตีความดาวเคราะห์แต่ละดวงเป็นความรู้สึก ก่อนเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เป็นภาพ
นั่นทำให้ Caladan ดาวเคราะห์แห่ง House of Atreides บ้านของเจ้าชายหนุ่ม Paul Atreides (Timothée Chalamet) ดาวที่ดูเศร้าหมอง ถูกแทนด้วยภาพของฤดูใบไม้ร่วงบนแถบชายฝั่งของแคนาดา ที่มีท้องฟ้ามืดครึ้มและหมอกหนา จนทำให้หน้าผาสูงตั้งตระหง่านอยู่ริมอ่าวทะเล แม้บรรยากาศของชายฝั่งจะไม่หนาวจนชวนทรมาน แต่ภาพตรงหน้าของ Paul ก็ทำให้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเดินทางไปสู่จุดสิ้นสุดของวงจร เพื่อจุดเริ่มต้นรอบวงโคจรใหม่ เหมือนรอการเปลี่ยนแปลง จึงไม่แปลกใจเลยที่ภาพของ Paul จะทำให้ใครหลายคนนึกถึง Wanderer Above the Sea of Fog (1818) ภาพวาดชิ้นสำคัญของ Caspar David Friedrich
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/5aaa5994f5faf1eceb1ebe85290c09cc.jpeg)
ถัดจาก Caladan มา Arrakis หรือเมืองทะเลทรายที่ทุกคนรู้จักกัน Villeneuve และ Vermette ได้ออกแบบให้เมืองนี้เป็นตัวแทนของความสุดขั้ว และโลกใต้อาณานิคมที่โหดร้าย ในที่แห่งนี้ Paul Atreides รวมถึงผู้ชม จะได้เห็นโลกที่มองทางไหนก็เจอแต่สีเหลืองทองของทราย ที่นี่ไม่มีฝนตามธรรมชาติ และน้ำที่มีในเมือง กลับถูกใช้เพื่อดูแลต้นปาล์มไม่กี่ต้น ความแห้งแล้งของ Arrakis จึงไม่ต่างจากชีวิตคนตัวเล็ก ๆ ที่ต้องดิ้นรนอยู่ใต้อำนาจของผู้ปกครอง เมื่ออธิบายแบบนี้ โมเดลของ Arrakis คงหนีไม่พ้นการออกแบบเมืองที่แสดงถึงอำนาจและการถูกกดขี่ ดังนั้น แนวคิดในการสร้าง Arrakeen ซึ่งเป็นเมืองหลักของ Arrakis จึงอ้างอิงมาจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย อาทิ Ziggurat โบราณ, อาคาร Brutalism ช่วงสงครามเย็นในโซเวียตและบราซิล, ภาพของเขื่อนพลังงาน (Power Dams), ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมหุบเขา, เหมืองหินอ่อน รวมถึงบังเกอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามแนวชายฝั่งยุโรปตะวันตก ที่สะท้อนผ่านผลงานของ Super Studio สตูดิโอออกแบบสัญชาติอิตาลีที่เลิกกิจการไปแล้ว และศิลปินชาวฝรั่งเศสอย่าง Nicolas Moulin
ภาพสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่แสดงพลังของ ‘รัฐชาติ’ ซึ่งเกิดจากน้ำพักน้ำแรงคนตัวเล็ก เมื่อมีอำนาจทางการเมือง และชนชั้นทางสังคม สถาปัตยกรรมในประวัติศาสตร์ชวนหดหู่เหล่านี้ จึงเป็นภาษาภาพที่นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังบอกเล่าถึง ‘ฝันร้าย’ ของชาว Fremen ชนพื้นเมืองของ Arrakis จนเรียกได้ว่าน้อยแต่มากตามที่ Villeneuve ตั้งใจขนานแท้
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/6a75d989df5708d6e98cfa0af8a80f1c.jpeg)
สถาปัตยกรรมของเหล่า Elite มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ .. อะไรจะเป็น ‘อำนาจ’ ของคนตัวเล็กที่จะยิ่งใหญ่พอต่อกลอนกับผู้ปกครองได้ล่ะ?
หาก ‘Spice-เครื่องเทศ’ วัตถุดิบอันล้ำค่านี้สยบต่อใคร เขาจะสามารถ ‘ควบคุม’ จักรวาลได้
พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ หมุนไปตามหลักของ ‘ธรรมชาติ’ และธรรมชาติเป็นจริงเสมอ เช่นเดียวกับชนพื้นเมืองก่อนการล่าอาณานิคม ชาว Freman เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติที่แวดล้อมพวกเขาอยู่ นำมาสู่การออกแบบพื้นที่ซึ่งอิงตามกฎความสมเหตุสมผล “Arrakis มีความเร็วลมสูงถึง 530 ไมล์/ชั่วโมง” แม้ DUNE จะแปลว่าทะเลทราย แต่ลองคิดภาพตามว่าถ้าตัวเราต้องเดินทางไกลบนทรายที่พยายามกลืนเท้าเราในทุกก้าวเดิน เห็นแบบนี้คงมีคนยอมถอดใจไปไม่น้อย ดังนั้น เพื่อให้ชาว Fremen ไม่เหนื่อยเปล่าเกินไป และปลอดภัย สบายหายห่วง Villeneuve และ Vermette จึงออกแบบให้มี ‘ภูเขาหิน’ ที่หยั่งรากลึกลงดินอย่างมั่นคง เพื่อให้สิ่งนี้เป็นเกาะป้องกันชาว Freman จากอันตรายรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่ธรรมชาติและการรุกรานของศัตรู เมื่อได้ไอเดียแล้ว ผู้สร้างจึงเริ่มหาเนินทรายและชั้นหินที่สวยงามตรงสเปคที่สุด จากเครื่องมือง่าย ๆ อย่างอินเทอร์เน็ต ก่อนจะเริ่มสำรวจพื้นที่จริง จนไปจบที่ จอร์แดน และ อาบูดาบี
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/bd89acff4d9886163a41d0498bc98517.jpeg)
เมื่อโลกของ Arrakis เป็นหนึ่งเดียวกับ ธรรมชาติ ทุกสิ่งที่อยู่รายล้อมชาว Fremen (นอกจากสถาปัตยกรรม) จึงตอบรับกับความมี ‘ชีวิตชีวา’ ทั้งหมด ดังนั้น Villeneuve และ Vermette จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบภาพที่ดูสมจริงและออร์แกนิก โดยพยายามเลี่ยง CG มากเท่าที่จะทำได้ นำมาสู่การสร้าง Ornithopters ยานขนาดสองคนนั่ง รูปทรงคล้ายแมลงปอ โดย BGI บริษัทสัญชาติอังกฤษ ฝันที่เป็นจริงนี้ ทำให้ Vermette ถึงกับเอ่ยว่า การได้เห็นภาพ Ornithopters ลงจอด เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้ !
คุณต้องเชื่อว่าสิ่งที่ไม่ธรรมดานั้น เป็นปกติธรรมดา
ตามที่ได้เห็นกันในไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า DUNE ภาคสอง กำลังเปิดฉากการถ่ายทำขึ้นอีกครั้ง Villeneuve และ Vermette ยังคงเดินหน้าสร้างโลกที่ผู้คนสามารถเชื่อได้มีอยู่จริง แม้จะทุกสิ่งจะไปไกลกว่าจินตนาการก็ตาม
![](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/a96d586683663e899141f6fb793d1af2.jpeg)
เปรียบเทียบฉากในเรื่องกับภาพ Ziggurat โบราณ ซึ่งเป็นหนึ่งในไอเดียที่ถูกใช้อ้างอิงในการออกแบบโลกของ DUNE
อ้างอิง :
sciencefocus
moviemaker