249404949_448594033450643_1095646813563493688_n.jpeg

ถอดรหัสใต้ผืนทรายใน DUNE

Post on 30 June

Atreides! Atreides! Atreides!

หลังจากปลุกความฮึกเหิมจาก DUNE: Part One ปฐมบทของมหากาพย์ภาพยนตร์ Sci-Fi วิทยาศาสตร์ ผลงานจาก Denis Villeneuve ผู้กำกับสุดเนี๊ยบชาวฝรั่งเศส-แคนาดา ไปในโรงภาพยนตร์ เชื่อหลายคนคงยังอินกับผืนทรายสุดลูกหูลูกตา และความโอ่อ่าทรงพลังของโถงใหญ่ เพดานสูง ที่ติดตาติดใจอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งที่เป็นแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ นะ เพราะ Villeneuve เขาคิดมาแล้ว !

เรื่องราวใน DUNE ที่กินเวลาอันยาวนาน ไม่ต่างจากแพชชั่นของ Villeneuve ที่มีต่อนิยายเล่มโปรดของเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะโปรเจ็กต์นี้ ถูกเก็บขึ้นหิ้งไว้ตั้งแต่แรกเริ่มที่เขาฝันอยากจะเป็นผู้กำกับ จนเมื่อถึงเวลาเหมาะสม Villeneuve จึงจับมือกับ Patrice Vermette ผู้ออกแบบงานสร้างคู่ใจ เพื่อเสกความฝันสุดยิ่งใหญ่นี้ให้เป็นจริง ด้วยความที่ Villeneuve กับ Vermette เป็นคนบ้านเดียวกัน ภาพในหัวของทั้งคู่ จึงตอบรับกันอย่างดีชนิดที่มองตาก็รู้ใจ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาพยายามค้นหาสมดุลระหว่างความประณีตทางภาพ และความชัดเจนในมุมมองการสร้างภาพยนตร์อยู่เสมอ จนสรุปได้ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการคือความ ‘น้อย แต่ มาก’ ด้วยความคิดนี้ ทั้งสองจึงเริ่มย้อนรอยกลับไปหารากเหง้าของ DUNE แล้วจึงลบภาพจำทั้งหมดที่มี (รวมถึงภาพจำ DUNE เวอร์ชั่นผู้กำกับคนอื่น ๆ และภาพในหนังสือของ Frank Herbert ผู้แต่ง)  ก่อนจะเริ่มทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดใหม่และสร้าง DUNE ออกมาด้วยรูปแบบเฉพาะตัว แต่จะมีอะไรที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบ 'ฉาก' ใน DUNE บ้าง วันนี้ GroundControl จะชวนทุกคนมาไขความลับ จับทาง DUNE กัน

Villeneuve และ Vermette ค้นพบว่าการจะทำเรื่องที่ยากให้ง่ายนั้น พวกเขาต้องสร้างฉากที่สมจริงและเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ ดังนั้น ทั้งคู่จึงเริ่มต้นด้วยการตีความดาวเคราะห์แต่ละดวงเป็นความรู้สึก ก่อนเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้เป็นภาพ

นั่นทำให้ Caladan ดาวเคราะห์แห่ง House of Atreides บ้านของเจ้าชายหนุ่ม Paul Atreides (Timothée Chalamet) ดาวที่ดูเศร้าหมอง ถูกแทนด้วยภาพของฤดูใบไม้ร่วงบนแถบชายฝั่งของแคนาดา ที่มีท้องฟ้ามืดครึ้มและหมอกหนา จนทำให้หน้าผาสูงตั้งตระหง่านอยู่ริมอ่าวทะเล แม้บรรยากาศของชายฝั่งจะไม่หนาวจนชวนทรมาน แต่ภาพตรงหน้าของ Paul ก็ทำให้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังเดินทางไปสู่จุดสิ้นสุดของวงจร เพื่อจุดเริ่มต้นรอบวงโคจรใหม่ เหมือนรอการเปลี่ยนแปลง จึงไม่แปลกใจเลยที่ภาพของ Paul จะทำให้ใครหลายคนนึกถึง Wanderer Above the Sea of Fog (1818) ภาพวาดชิ้นสำคัญของ Caspar David Friedrich

ถัดจาก Caladan มา Arrakis หรือเมืองทะเลทรายที่ทุกคนรู้จักกัน Villeneuve และ Vermette ได้ออกแบบให้เมืองนี้เป็นตัวแทนของความสุดขั้ว และโลกใต้อาณานิคมที่โหดร้าย ในที่แห่งนี้ Paul Atreides รวมถึงผู้ชม จะได้เห็นโลกที่มองทางไหนก็เจอแต่สีเหลืองทองของทราย ที่นี่ไม่มีฝนตามธรรมชาติ และน้ำที่มีในเมือง กลับถูกใช้เพื่อดูแลต้นปาล์มไม่กี่ต้น ความแห้งแล้งของ Arrakis จึงไม่ต่างจากชีวิตคนตัวเล็ก ๆ ที่ต้องดิ้นรนอยู่ใต้อำนาจของผู้ปกครอง เมื่ออธิบายแบบนี้ โมเดลของ Arrakis คงหนีไม่พ้นการออกแบบเมืองที่แสดงถึงอำนาจและการถูกกดขี่ ดังนั้น แนวคิดในการสร้าง Arrakeen ซึ่งเป็นเมืองหลักของ Arrakis จึงอ้างอิงมาจากสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมาย อาทิ Ziggurat โบราณ, อาคาร Brutalism ช่วงสงครามเย็นในโซเวียตและบราซิล, ภาพของเขื่อนพลังงาน (Power Dams), ธารน้ำแข็งที่ปกคลุมหุบเขา, เหมืองหินอ่อน รวมถึงบังเกอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามแนวชายฝั่งยุโรปตะวันตก ที่สะท้อนผ่านผลงานของ Super Studio สตูดิโอออกแบบสัญชาติอิตาลีที่เลิกกิจการไปแล้ว และศิลปินชาวฝรั่งเศสอย่าง Nicolas Moulin

ภาพสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่แสดงพลังของ ‘รัฐชาติ’ ซึ่งเกิดจากน้ำพักน้ำแรงคนตัวเล็ก เมื่อมีอำนาจทางการเมือง และชนชั้นทางสังคม สถาปัตยกรรมในประวัติศาสตร์ชวนหดหู่เหล่านี้ จึงเป็นภาษาภาพที่นอกจากจะสวยงามแล้ว ยังบอกเล่าถึง ‘ฝันร้าย’ ของชาว Fremen ชนพื้นเมืองของ Arrakis จนเรียกได้ว่าน้อยแต่มากตามที่ Villeneuve ตั้งใจขนานแท้

สถาปัตยกรรมของเหล่า Elite มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ .. อะไรจะเป็น ‘อำนาจ’ ของคนตัวเล็กที่จะยิ่งใหญ่พอต่อกลอนกับผู้ปกครองได้ล่ะ?

หาก ‘Spice-เครื่องเทศ’ วัตถุดิบอันล้ำค่านี้สยบต่อใคร เขาจะสามารถ ‘ควบคุม’ จักรวาลได้

พื้นฐานของวิทยาศาสตร์ หมุนไปตามหลักของ ‘ธรรมชาติ’ และธรรมชาติเป็นจริงเสมอ เช่นเดียวกับชนพื้นเมืองก่อนการล่าอาณานิคม ชาว Freman เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติที่แวดล้อมพวกเขาอยู่ นำมาสู่การออกแบบพื้นที่ซึ่งอิงตามกฎความสมเหตุสมผล “Arrakis มีความเร็วลมสูงถึง 530 ไมล์/ชั่วโมง” แม้ DUNE จะแปลว่าทะเลทราย แต่ลองคิดภาพตามว่าถ้าตัวเราต้องเดินทางไกลบนทรายที่พยายามกลืนเท้าเราในทุกก้าวเดิน เห็นแบบนี้คงมีคนยอมถอดใจไปไม่น้อย ดังนั้น เพื่อให้ชาว Fremen ไม่เหนื่อยเปล่าเกินไป และปลอดภัย สบายหายห่วง Villeneuve และ Vermette จึงออกแบบให้มี ‘ภูเขาหิน’ ที่หยั่งรากลึกลงดินอย่างมั่นคง เพื่อให้สิ่งนี้เป็นเกาะป้องกันชาว Freman จากอันตรายรอบตัว ไม่เว้นแม้แต่ธรรมชาติและการรุกรานของศัตรู เมื่อได้ไอเดียแล้ว ผู้สร้างจึงเริ่มหาเนินทรายและชั้นหินที่สวยงามตรงสเปคที่สุด จากเครื่องมือง่าย ๆ อย่างอินเทอร์เน็ต ก่อนจะเริ่มสำรวจพื้นที่จริง จนไปจบที่ จอร์แดน และ อาบูดาบี

เมื่อโลกของ Arrakis เป็นหนึ่งเดียวกับ ธรรมชาติ ทุกสิ่งที่อยู่รายล้อมชาว Fremen (นอกจากสถาปัตยกรรม) จึงตอบรับกับความมี ‘ชีวิตชีวา’ ทั้งหมด ดังนั้น Villeneuve และ Vermette จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบภาพที่ดูสมจริงและออร์แกนิก โดยพยายามเลี่ยง CG มากเท่าที่จะทำได้ นำมาสู่การสร้าง Ornithopters ยานขนาดสองคนนั่ง รูปทรงคล้ายแมลงปอ โดย BGI บริษัทสัญชาติอังกฤษ ฝันที่เป็นจริงนี้ ทำให้ Vermette ถึงกับเอ่ยว่า การได้เห็นภาพ Ornithopters ลงจอด เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้ !

คุณต้องเชื่อว่าสิ่งที่ไม่ธรรมดานั้น เป็นปกติธรรมดา

ตามที่ได้เห็นกันในไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า DUNE ภาคสอง กำลังเปิดฉากการถ่ายทำขึ้นอีกครั้ง Villeneuve และ Vermette ยังคงเดินหน้าสร้างโลกที่ผู้คนสามารถเชื่อได้มีอยู่จริง แม้จะทุกสิ่งจะไปไกลกว่าจินตนาการก็ตาม

เปรียบเทียบฉากในเรื่องกับภาพ Ziggurat โบราณ ซึ่งเป็นหนึ่งในไอเดียที่ถูกใช้อ้างอิงในการออกแบบโลกของ DUNE

อ้างอิง : 
sciencefocus
moviemaker