One Battle After Another วงจรแห่งอุดมการณ์ทางสังคมและการเมือง กับความหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า

Post on 26 September 2025

ในช่วงที่สังคมและการเมืองของอเมริกากำลังเข้าสู่สภาวะตึงเครียดและความรุนแรง ทั้งเรื่องปัญหาของสีผิวและเชื้อชาติที่รุนแรงมากขึ้น หรือแม้กระทั่งการแบ่งแยกอุดมการณ์ทางการเมืองจนนำมาสู่ความรุนแรงชนิดที่คิดไม่ถึง การมาถึงของ One Battle After Another ของพอล โทมัส แอนเดอร์สัน (Paul Thomas Anderson หรือที่ชาว Cinephile เรียกว่า PTA) จึงเป็นเหมือนสิ่งที่ยิ่งตอกย้ำถึงสภาวะของอเมริกาในช่วงเวลานี้ได้อย่างเจ็บแสบ แต่ในอีกแง่หนึ่งหนังเรื่องนี้ก็ยิ่งตอกย้ำกับเราว่าสังคมและการเมืองของมนุษย์มันเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว

One Battle After Another บอกเล่าเรื่องราวของ บ๊อบ (Bob) ชายวัยกลางคนอดีตนักปฏิวัติหัวรุนแรงแห่ง French 75 ที่หลีกหนีการกระทำในอดีตเพื่อมาใช้ชีวิตบั้นปลายกับลูกสาวเจนซีอย่าง วิลล่า (Willa) แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ต้องเผชิญกับอดีตของเขาอีกครั้ง เมื่อ ล็อคจอว์ (Lockjaw) นายทหารผู้เอียงขวาได้กลับมาไล่ล่าเขาอีกครั้ง พร้อมกับจับตัวลูกสาวของเขาไป เรื่องจึงวุ่นวายขึ้นเมื่อ Bob ต้องทำทุกอย่างเพื่อพาตัวลูกสาวของเขากลับมาอีกครั้ง

แน่นอนว่าหากนึกถึงหนังของ PTA ที่ผ่านมาอย่าง There Will Be Blood (2007) หรือ Magnolia (1999) ผู้ชมอย่างเราก็คงจะนึกถึงความตึงเครียดและหนักอึ้งโดยไม่มีเวลาให้พักแม้แต่เสี้ยววิ แต่ถึงอย่างนั้น One Battle After Another กลับตึงเครียดและหนักอึ้งในแบบที่แตกต่างออกไป จนทำให้เรากลับมานึกถึงหนังอย่าง Boogie Night (1997) และ Licorize Pizza (2021) ที่มันชวนตลกร้ายเสียจนเราลืมไปว่านี่มันคือหนังของ PTA

อย่างไรก็ตามแก่นแท้ในหนังของ PTA คงจะไม่ใช่ความอื้ออึงหรือความตลกร้ายเพียงอย่างเดียว กลับกันจุดร่วมหลาย ๆ อย่างในหนังหลาย ๆ เรื่องของ PTA กลับเป็นสาส์นบอกเล่าถึงการเมืองและสังคมในแต่ละยุคสมัยด้วยซ้ำ

อย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้นว่า One Battle After Another เป็นการย้ำกับเราว่าสังคมและการเมืองของมนุษย์นั้นเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เพราะถึงขณะที่ว่าการหยิบยก ‘Vineland’ นวนิยายขึ้นหิ้งของ โทมัส พินชอน (Thomas Pynchon) ตั้งแต่ปี 1990 มาใช้ในยุคสมัยนี้นั้น ก็ไม่ทำให้ใจความสำคัญของนิยายเรื่องนี้เปลี่ยนไปเลย

Vineland เป็นหนังสือที่จะพาเราไปสำรวจความเสื่อมถอยของลัทธิหัวรุนแรงและความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในอเมริกาในยุค โรนัลด์ เรแกน (Ronald Reagan) หรือก็คือช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ผ่านกลุ่มฮิปปี้และกลุ่มหัวรุนแรงต่าง ๆ แต่ถึงอย่างนั้น PTA ก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องราวของ Vineland มาทั้งหมด โดยเขาเลือกที่จะเปลี่ยนฉากจากยุค 60s มาสู่ยุคปัจจุบัน ด้วยความตั้งใจที่ว่า “แก่นของหนังสือเล่มนี้จะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนหากช่วงเวลามันผ่านไปเป็น 10-20 ปี?"

และแน่นอนหากใครที่ได้ดู One Battle After Another ก็จะได้คำตอบว่า “แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ” ถึงแม้วัฒนธรรมการต่อต้านจะหายไป แต่วิธีการกดขี่จากผู้มีอำนาจก็ยังคงเหมือนเดิมและแน่นอนว่ามันก็ไม่ได้ดูรุนแรงน้อยลงเลย

ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง 50 นาทีของ One Battle After Another จึงเป็นเหมือนการพาเราไปสำรวจแกนหลักของความขัดแย้ง และจุดบรรจบระหว่างอัตลักษณ์ทางเชื้อชาติ การปฏิวัติ และการอยู่รอดในอนาคตที่เลวร้าย ซึ่งแน่นอนว่าจุดมุ่งหมายของการสำรวจนี้ ไม่ใช่การโทษหาแพะว่าฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวา ใครกันแน่ที่เป็นต้นตอที่ทำให้เกิดเรื่องราวอันเลวร้ายเหล่านี้ขึ้น แต่เป็นการชวนให้เราตระหนักคิดได้มากกว่า ว่าสุดท้ายแล้วการกระทำอันมืดบอดของทั้งสองฝั่งกลับไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย และมันจะวนลูปไปเรื่อย ๆ เหมือนกับคำว่า One Battle After Another..

One Battle After Another ฉายแล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์