ภายใน “Haunted House” ของ Fondazione Prada ในมิลาน คือสถานที่ที่พาผู้ชมไปพบกับโลกศิลปะสุดประหลาด ทั้งกล่องซีเรียลยักษ์ ชิ้นส่วนมนุษย์ที่ไม่ครบถ้วน และห้องที่มีแต่ประตูซ้อนประตูที่ไม่อาจเปิดออกได้ ทั้งหมดนั้นคือผลงานของ โรเบิร์ต โกเบอร์ (Robert Gober) ศิลปินผู้เป็นที่รู้จักในฐานะนักปั้นแห่งสิ่งธรรมดาที่เปลี่ยนแปลงฟังก์ชันจนทำให้คนดูรู้สึก “uncanny” และตั้งคำถามถึงชีวิตและอัตลักษณ์ของตัวเอง
แม้งานของเขาจะชวนให้หัวเราะ แต่ก็พร้อมจะบีบหัวใจในขณะเดียวกัน เพราะเบื้องหลังความขำขันแฝงไว้ด้วยคำถามที่หนักหน่วงเกี่ยวกับเพศ ศาสนา ความเปราะบางของร่างกาย และความสูญเสียของมนุษย์ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป




จากครอบครัวแรงงานสู่ศิลปะในโลกที่ไม่ปลอดภัย
โรเบิร์ต โกเบอร์ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1954 ที่เมือง Wallingford, Connecticut สหรัฐอเมริกา ในครอบครัวคาทอลิกที่เคร่งครัด พ่อของเขาเป็นแรงงานในโรงงาน และยังเป็นช่างไม้สมัครเล่นที่สร้างบ้านทั้งหลังด้วยสองมือ บ้านที่พ่อสร้างขึ้นเองนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ “American Dream” ที่ฝังอยู่ในวัฒนธรรมอเมริกัน และเป็นภาพจำของ “ความเป็นชาย” และความมั่นคงที่ครอบครัวควรมี
แต่ในขณะที่พ่อของเขาใช้แรงกายสร้างบ้านจริง ๆ โกเบอร์กลับสนใจศิลปะตั้งแต่เด็ก แม้สอบไม่ติดโรงเรียนศิลปะที่หวังไว้ เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาย้ายไปเรียนต่อที่ Middlebury College ในรัฐ Vermont ก่อนจะเข้าศึกษา Tyler School of Art ใน Philadelphia และได้เดินทางไปเรียนต่อที่โรม ประเทศอิตาลี ในปี 1973–74 ที่นั่นเองเขาได้พบกับงานจิตรกรรม Mannerist ของ Pontormo ที่แสดงภาพร่างกายบิดเบี้ยวและดูเหนือจริง เป็นแรงบันดาลใจให้เขามองเห็น “ร่างกาย” ในแบบที่ไม่ปกติ

หลังเรียนจบในปี 1976 โกเบอร์ย้ายไปนิวยอร์กในปี 1977 และเริ่มทำงานหลากหลาย ทั้งเป็นผู้ดูแลเด็ก พนักงานแกลเลอรี่ และช่างไม้ เพื่อหารายได้เสริม ช่วงนี้เขายังฝึกฝนทักษะการปั้นด้วยมือจากประสบการณ์งานช่างไม้ ซึ่งกลายเป็นรากฐานของการสร้างงานประติมากรรมของเขาในเวลาต่อมา
ในช่วงทศวรรษ 1980 โกเบอร์เปิดเผยตัวเองว่าเป็นเกย์ และเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่ม ACT UP (AIDS Coalition to Unleash Power) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในวิกฤตการณ์เอดส์ในอเมริกา ประสบการณ์ชีวิตนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างงานศิลปะที่ตั้งคำถามต่ออัตลักษณ์ ความเปราะบางของร่างกาย และการตีตราทางสังคม
Half Stone House: บ้านตุ๊กตา และการท้าทายบทบาทเพศ
ปี 1979 คือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ เมื่อโกเบอร์สร้างผลงานแรกของตัวเอง: Half Stone House บ้านตุ๊กตาที่ดูคล้ายบ้านในฝันของครอบครัวอเมริกันชนชั้นกลาง แต่กลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นและแปลกแยก มันสะท้อนสิ่งที่ฟรอยด์เคยเรียกว่า uncanny—สิ่งที่คุ้นเคยแต่กลับรู้สึกประหลาดใจและน่ากลัว
นอกจากนี้ การเลือกสร้าง “บ้านตุ๊กตา” ที่เปรียบเสมือนวัตถุที่มักถูกมองว่าเป็นของเล่นเด็กผู้หญิง ในขณะที่สังคมคาดหวังว่าผู้ชายต้องสร้าง “บ้านจริง” ทำให้ผลงานนี้ท้าทายอัตลักษณ์ทางเพศและความคาดหวังของสังคมได้อย่างแหลมคม

การสำรวจพื้นที่ภายในบ้านยังปรากฏในงานประติมากรรมอาหารของโกเบอร์ที่มักสำรวจธีมความไม่จีรังและร่างกาย โดยการแปลงวัตถุในชีวิตประจำวันให้กลายเป็นงานศิลปะที่แปลกและทำด้วยมือ เช่น Short Haired Cheese (1992–1993) งานประติมากรรมอาหารที่นำเสนอภาพชีสปั้นจากขี้ผึ้งที่มีเส้นผม เพื่อสื่อถึงความไม่จีรังของชีวิตและร่างกาย การใช้วัสดุ เช่น ขี้ผึ้งและเส้นผม เป็นการอ้างถึงการมีอยู่ของร่างกายและการเน่าเปื่อย ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารกับร่างกายผ่านการบริโภคและการแปรเปลี่ยน ทำให้เกิดความรู้สึกเปราะบางและความตาย เพราะวัตถุอาหารดูคุ้นตาแต่ก็ชวนขนลุกในเวลาเดียวกัน สะท้อนถึงลักษณะไม่จีรังของร่างกายมนุษย์เอง
เทคนิคการสร้างสรรค์ด้วยมือของโกเบอร์ยังเผยให้เห็นถึงกระบวนการสร้างและการเสื่อมสลายของผลงาน ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่าวัตถุเหล่านี้ เช่นเดียวกับร่างกายมนุษย์ เป็นสิ่งชั่วคราวและเปลี่ยนแปลงได้ งานของเขายังชวนให้ผู้ชมเผชิญหน้ากับความเป็นกายภาพและความตายของตัวเอง ผ่านฉากบ้านจำลองที่เขาสร้างขึ้น ซึ่งโยงไปถึงประเด็นส่วนตัว สังคม และการเมือง เช่น อัตลักษณ์ ความเจ็บป่วย (โดยเฉพาะวิกฤตการณ์เอดส์) และความเปราะบางของร่างกาย
ศิลปะของโกเบอร์ยังหยิบเอาความเชื่อทางศาสนามาตีความใหม่ด้วยวิธีที่ย้อนแย้งและเปราะบาง เขาไม่เคยยกย่องศาสนาแบบศรัทธาสุดโต่ง แต่ใช้เป็นสัญลักษณ์เพื่อสะท้อนชีวิตจริงของผู้คน งาน “Untitled” (2003–2005) ที่ประกอบด้วยอินสตอลเลชันไม้กางเขนคอนกรีต รูปพระเยซูไร้ศีรษะ และผนังที่มีหัวนมซึ่งมีน้ำไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เป็นผลงานที่แสดงให้เห็นการเชื่อมโยงระหว่างเพศ ศาสนา และร่างกายได้อย่างทรงพลัง น้ำที่ไหลออกจากหัวนมสะท้อนการกลับหัวกลับหางสัญลักษณ์การให้นม (การเลี้ยงดู) และพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในคริสต์ศาสนา ทำให้ผู้ชมต้องตั้งคำถามต่ออำนาจของศาสนจักรที่ตีตราความเป็นเกย์ว่าเป็นบาป ในขณะเดียวกัน หัวนมในงานก็เป็นตัวแทนของร่างกายเพศชายที่ถูกมองในฐานะวัตถุของศาสนาและการควบคุม

“Untitled” (2003–2005)
AIDS Crisis: ศิลปะที่เป็นทั้งเสียงไว้อาลัยและการต่อสู้
เมื่อวิกฤตโรคเอดส์ระบาดในทศวรรษ 1980 ชุมชน LGBTQ+ ต้องเผชิญกับความสูญเสียและการถูกตีตราจากสังคม โกเบอร์ไม่เพียงสร้างงานเพื่อแสดงความเศร้า แต่ยังร่วมเคลื่อนไหวกับ ACT UP เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเข้าถึงการรักษา หนึ่งในงานที่ทรงพลังที่สุดคือ Untitled (Leg) (1989–1990)—ขาข้างเดียวที่หล่อด้วยขี้ผึ้งและฝังขนมนุษย์จริงลงไป มันดูบอบบางและโดดเดี่ยว เป็นร่างกายที่ถูกทอดทิ้งและลืมเลือน ผลงานชิ้นนี้ยังถูกนำไปประมูลเพื่อระดมทุนช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์อีกด้วย

Untitled (Leg) (1989–1990)
ในช่วงทศวรรษ 1980s ซึ่งเป็นช่วงที่โรคเอดส์ระบาดหนักและสร้างความหวาดกลัวให้กับสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชาย โกเบอร์สร้างผลงานที่ทั้งส่วนตัวและเปี่ยมไปด้วยการวิพากษ์วิจารณ์สังคม เช่น “Untitled (Leg)” (1989–1990) งานประติมากรรมขาข้างเดียวที่ดูเหมือนถูกตัดขาดออกมาจากผนังห้อง ผลงานชิ้นนี้ทำจากขี้ผึ้ง ขนจริง และผ้าขนหนู ดูเหมือนเป็นเพียงร่างกายส่วนหนึ่งแต่กลับเต็มไปด้วยนัยยะถึงการแตกสลายของอัตลักษณ์ชายรักชายในยุคที่สังคมตีตราและหวาดกลัวการระบาดของโรคเอดส์ การใช้ขนจริงที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาย กลับทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งระหว่างสิ่งที่ดูสมจริงกับสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมา งานนี้สื่อถึงความเปราะบางของร่างกายและการแยกส่วนที่เกิดขึ้นเมื่อสังคมมองร่างกาย LGBTQ+ เป็นเพียงวัตถุของโรคภัยหรือบาปตามความเชื่อทางศาสนา
อีกผลงานที่น่าสนใจคือ “Untitled” (1990) ชุดอ่างล้างหน้าที่ทำจากไฟเบอร์กลาสและเหล็ก ถูกติดตั้งบนผนังเหมือนพร้อมใช้งาน แต่กลับไม่มีท่อน้ำหรือท่อระบายน้ำ ทำให้อ่างล้างหน้าดูใช้งานไม่ได้ ผลงานชุดนี้เหมือนเป็นการตั้งคำถามต่อพิธีกรรมการชำระล้างบาปในคริสต์ศาสนา ซึ่งมักถูกใช้เป็นเครื่องมือกดทับความเป็นเกย์ของผู้คนในสังคมตะวันตก โกเบอร์ในฐานะศิลปินเกย์ที่เติบโตในวัฒนธรรมคาทอลิก จึงใช้สัญลักษณ์การชำระล้างที่ดู “ใช้งานไม่ได้” นี้ เพื่อตั้งคำถามว่าใครเป็นผู้ตัดสินว่าร่างกายหรืออัตลักษณ์ใดควรถูก “ล้างบาป” และใครมีสิทธิ์ปฏิเสธความเป็นตัวตนของผู้อื่น

“Untitled” (1990)
ในผลงาน “Untitled” (1997) หรือที่หลายคนเรียกว่า The Prison Window เป็นหน้าต่างเหล็กดัดที่ฝังอยู่ในผนัง เมื่อผู้ชมมองผ่านไป จะเห็นทุ่งหญ้าและท้องฟ้าสีฟ้าสวยงาม แต่กลับถูกขังอยู่หลังลูกกรงเหล็กดัดราวกับคุก นี่คือภาพแทนความฝันถึงอิสรภาพที่เหมือนอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับถูกจำกัดด้วยโครงสร้างทางสังคมและศาสนา โดยเฉพาะการตีตราความเป็นเกย์ในยุคที่ศิลปินเติบโตขึ้นมา

The Prison Window
ผลงานทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า โรเบิร์ต โกเบอร์ ไม่เพียงแต่วิจารณ์โครงสร้างอำนาจที่กดทับ LGBTQ+ แต่ยังเปิดโปงให้เห็นความเปราะบางของร่างกายและจิตใจ การที่เขาใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาและวัตถุในชีวิตประจำวันมาบิดเบือนและชำแหละ ทำให้งานของเขากลายเป็นสนามต่อสู้ระหว่างการกดทับและการปลดปล่อย งานเหล่านี้จึงเป็นการเล่าเรื่องราวส่วนตัวของชายรักชายที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัว การสูญเสีย และความพยายามจะนิยามตัวตนของตัวเองท่ามกลางแรงกดดันของสังคมศาสนาในยุคนั้น
อารมณ์ขัน: ประตูสู่ความเข้าใจงานศิลปะ
แม้งานของโกเบอร์มักถูกตีความว่าเศร้าและหม่นหมอง แต่เขาเองกลับบอกว่า “อารมณ์ขัน” คือหัวใจสำคัญในการเชื่อมโยงกับผู้ชม “หลายครั้งในสตูดิโอ ผมจะทำงานไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะทำให้ผมหัวเราะออกมา” เขาเคยให้สัมภาษณ์กับ BOMB Magazine ในปี 1989 “อารมณ์ขันเป็นวิธีหนึ่งที่เปิดประตูให้คนเข้าถึงงาน จากนั้นค่อยพาพวกเขาไปสู่เนื้อหาที่หนักหน่วง”
ล่าสุด งานของเขาที่ Fondazione Prada กลายเป็นไวรัลใน TikTok กับคลิปที่มียอดชมกว่าล้านครั้ง หญิงสาวสองคนหัวเราะลั่นในนิทรรศการของเขา พร้อมแคปชั่น “Try not to laugh challenge: Impossible” และ “I dare you to take this place seriously” ตอกย้ำว่าโกเบอร์เองก็คงยิ้มได้ เพราะในที่สุดก็มีคนมองเห็น “อารมณ์ขัน” ที่เขาพยายามซ่อนเอาไว้ในความเปราะบาง


ในวัยกว่า 70 ปี โรเบิร์ต โกเบอร์ยังคงสร้างงานศิลปะที่ตั้งคำถามต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว งานของเขายังคงท้าทายให้ผู้ชมตั้งคำถามกับสิ่งที่เราคุ้นเคย ตั้งแต่บ้าน อ่างล้างหน้า ไปจนถึงชิ้นส่วนร่างกาย ความเชื่อทางศาสนา และอัตลักษณ์ทางเพศ ผลงานของเขายังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินร่วมสมัยหันกลับมาสนใจ “ฝีมือ” และ “ความหมาย” ในยุคที่ศิลปะคอนเซ็ปชวลครองพื้นที่
โรเบิร์ต โกเบอร์จึงไม่ได้เป็นเพียงศิลปินผู้สร้างความประหลาดจากสิ่งธรรมดา แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนความเปราะบางของมนุษย์ ในโลกที่บางครั้งเสียงหัวเราะและน้ำตาอาจอยู่ในห้องเดียวกันได้