“เวลามองภาพของคุณ Sisterdeernose เรารู้สึกเหมือนอยู่ในเทศกาลคริสต์มาสตลอดเวลาเลย”
คือคำพูดแรกที่เราบอกกับ ‘Sisterdeernose’ หรือ ‘ไอซ์-นิภาภัทร ตันประดับสิงห์’ ศิลปินผู้ออกตัวว่าเป็นนักวาดภาพประกอบมือสมัครเล่นและกำลังทำธุรกิจส่วนตัวกับครอบครัวอยู่ เราเห็นผลงานของเธอครั้งแรกจากโพสต์ชวนศิลปินหรือคนทำงานศิลปะมาแนะนำตัวและแปะพอร์ตของ GroundControl ที่โพสต์ไว้เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเมื่อเราเห็นการคุมโทนสีแดง-เขียว ที่ผสมผสานเข้ากับกลิ่นอายความเป็นเทพนิยาย นิทานเด็ก แฟนอาร์ต และเทพเจ้าจากหลากความเชื่อได้อย่างน่าสนใจ เราจึงตัดสินใจเข้าไปพูดคุยกับเธอทันที
Sisterdeernose เริ่มต้นบทสนทนาง่าย ๆ กับเราด้วยการเล่าถึงที่มาของนามปากกาว่า “มันเริ่มต้นหลังจากพี่สาวให้เมาส์ปากกาเป็นของขวัญรับปริญญากับเรามา พอได้มาปุ๊บเราเลยทดลองวาดอะไร ๆ หลายอย่างได้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่เราชอบและสนใจอย่างวัฒนธรรมและศิลปะของอินเดีย จากนั้นเราก็เริ่มพบแพทเทิร์นของตัวเองว่าชอบวาดผู้หญิงเป็นพิเศษ ก็เลยเลือกใช้คำว่า ‘Sister’ ในนามปากกาไปเลย”
“ส่วนคำว่า ‘Deernose’ หรือ ‘จมูกกวาง’ มาจากการที่เราวาดจมูกคนไม่เก่งเอาเสียเลย เลยเริ่มต้นร่างจมูกให้เป็นรูปสามเหลี่ยมแทนการวาดจมูกเต็ม ๆ แต่พอมองไปมองมาเราคิดว่า เอ๊ะ มันดูเหมือนจมูกกวางดีนะ (อันนี้คิดเข้าข้างตัวเองค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า) ก็เลยเอาทั้งสองอย่างมาผสมกันเป็นนามปากกาว่า ‘Sisterdeernose’ ที่แปลว่า ‘พี่สาวจมูกกวาง’ นี่แหละ”
“แต่ถ้าจะพูดถึงเอกลักษณ์ในงานของเรา เราคิดถึง ‘สีแดง’ เป็นอย่างแรกเลย เพราะส่วนตัวเราเองก็ชอบสีแดงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แล้วพอคุณบอกว่านึกถึงคริสต์มาสเราก็รู้สึกขอบคุณมากเลย คือเราจะบอกว่าเราชอบช่วงเวลานั้นมากเป็นพิเศษ อยากให้มีทั้งปี อยากให้มีทุกวัน แล้วการที่มีคนมองว่างานเราเหมือนอยู่ในวันคริสต์มาสตลอดเวลาได้ ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากคู่สีที่เราชอบใช้ คือสีแดงและสีเขียว”
“อีกเรื่องหนึ่งคือ ‘ความรก’ คือภาพของเรามันจะดูรก ๆ หน่อย ดูมีภาพอะไรเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่เนี้ยบ ไม่สมบูรณ์ ผิดสัดส่วน ดูเหนือจริงนิด ๆ และยังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเวลาเราโตขึ้น บางอย่างที่ชอบ บางอย่างที่สนใจ บางอย่างที่เราเคยรู้สึกก็เปลี่ยนไป พอมองย้อนงานเก่า ๆ เราเลยเห็นแต่ความไม่สมบูรณ์ และความบกพร่องของชิ้นงาน แต่นั่นแหละคือข้อดีของมัน แถมมันยังดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบด้วย เพราะตรงไหนที่ไม่ดี เราก็จำแล้วนำไปแก้ เป็นการพยายามพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ ได้ด้วยนะ”
เธอยังย้ำให้เราฟังถึงการทำงานแบบปล่อยจอยของตัวเองด้วยว่า “ถ้าให้เล่าจริง ๆ คือเราทำงานแบบไม่มีแบบแผนเลยจริง ๆ นะ แบบว่าส่วนใหญ่มันจะมาจากความรู้สึก ความคิดในเวลานั้น ๆ หรือบางทีก็มาจากประโยคหรือคำพูดน่าสนใจที่บังเอิญได้ยินมา พอได้ไอเดียแล้วเราก็จะแปลงให้เป็นภาพก่อน แล้วนำมาร่างคร่าว ๆ จนสำเร็จเป็นงานได้จริง ๆ เรียกว่าเราถือคติจดเก็บไว้ก่อน ได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ค่อยว่ากันอีกเรื่อง ฮ่าฮ่าฮ่า”
ภาพนี้เราได้ไอเดียมาจากคำพูดที่ว่า ‘รู้อะไรก็ไม่เท่ารู้งี้’ ซึ่งเราคิดว่ามันจริงมากนะ เพราะเวลาคนเราทำอะไรแล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาก็มักจะชอบพูดประมาณว่า รู้งี้ไม่ทำแบบนี้ดีกว่า เราเลยตีความออกมาให้เป็นภาพคนที่มีดวงตามากกว่าสองดวง เพราะยิ่งมีตามากก็จะยิ่งมองเห็นได้มาก จะได้ไม่ต้องพูดว่ารู้งี้นะขึ้นมาอีก
เราวาดภาพนี้ในวันที่มีอากาศร้อนมาก แรงบันดาลใจก็เลยมาจากความรู้สึกที่ร้อนมาก ๆ จนกระวนกระวายใจและหงุดหงิดไปหมด จนมาคิดได้ว่า เอ้อ หงุดหงิดไปก็ไม่หายร้อน งั้นก็หาอะไรทำดับร้อนสิ วันนั้นเราเลยตัดสินใจแก้ผ้าแก้ผ่อนทำงานไปเลย ก็เลยได้ภาพนี้มาค่ะ มันเป็นเหมือนภาพแทนของเราในเวลานั้น แต่ต่างตรงตัวจริงไม่เซ็กซี่เท่านี้ค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า
แรงบันดาลใจแรกในการวาดภาพนี้ มาจากการมองว่าคนไทยแปลกมาก เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน แต่คนที่นี่ก็ดันชอบกินของร้อน ๆ ก็เลยเป็นภาพคนกินก๋วยเตี๋ยว ส่วนที่เราวาดหัวใจลงไปในชามและตามจุดต่าง ๆ ของภาพ ก็มาจากประโยคหนึ่งในหนังสือที่เราอ่าน มันเขียนว่า “เธอมีหัวใจนะ แต่เธอใช้รักกับใครไม่เป็นเลย” เราก็เลยใช้ไอเดียนี้วาดภาพหัวใจออกมา และส่วนตัวเราเองก็ชอบสีที่ใช้ในภาพด้วย
เราวาดภาพนี้ขึ้นในช่วงที่กำลังตันมาก ๆ แบบว่าคิดงานไม่ออกเลย เหมือนว่าเรากำลังหมดไฟ เหนื่อยกับงานที่ทำอยู่ค่ะ แล้วก็นั่งคิด นั่งภาวนา ให้มันผ่านไปได้ด้วยดี ผ่านไปได้ไว ๆ ทีเถอะ เพราะคงไม่มีอะไรที่มันจะเลวร้ายไปได้ตลอดขนาดนั้นหรอกมั้ง เราก็เลยวาดงานนี้ออกมา แล้วใช้ชื่อภาพว่า ‘คงไม่มีน้ำตาหรือหยาดเหงื่อใดอยู่ในใจไปตลอดกาล’ สักวันหนึ่งมันก็จะต้องจางหายไปค่ะ
เราวาดภาพนี้หลังจากที่เราไปฮีลหัวใจตัวเองและไม่ได้วาดรูปมาสักพักใหญ่เลยค่ะ พอเราคิดว่าเราพร้อมที่จะวาดแล้วนะ เราก็ยังไม่รู้จะวาดอะไรดี เราเหมือนหาตัวเองไม่เจอ จำตัวเองไม่ได้ จำลายเส้นของตัวเองแทบไม่ได้ วาดไม่ออกเหมือนเดิม เราก็เลยคิดว่า “เออ ถ้าเราหาตัวเองไม่เจออะ เราก็คงต้องสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่” ทำนองนี้ค่ะ เลยได้ภาพนี้มาค่ะ
ก่อนจากกัน Sisterdeernose ยังโชว์ภาพหนึ่งให้เราดูแล้วบอกกับเราว่า “อย่างภาพนี้ เราได้ไอเดียมาจากคำพูดที่ว่า ‘รู้อะไรก็ไม่เท่ารู้งี้’ ซึ่งเราคิดว่ามันจริงมากนะ เพราะเวลาคนเราทำอะไรแล้วเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาก็มักจะชอบพูดประมาณว่า รู้งี้ไม่ทำแบบนี้ดีกว่า เราเลยตีความออกมาให้เป็นภาพคนที่มีดวงตามากกว่าสองดวง เพราะยิ่งมีตามากก็จะยิ่งมองเห็นได้มาก จะได้ไม่ต้องพูดว่ารู้งี้นะขึ้นมาอีก”
“จริง ๆ แล้วเราทำงานทุกชิ้นเพื่อปลอบประโลมจิตใจตัวเองนะ แล้วเราก็คิดไว้เสมอว่า คงไม่มีใครที่จะปลอบใจเราได้ดีเท่ากับตัวเราเองแล้วแหละ” เธอกล่าว
ถ้าใครชื่นชอบภาพวาดสไตล์ Sisterdeernose ก็สามารถไปติดตามเธอได้ที่ Instragram: https://www.instagram.com/sisterdeernose/