บทสนทนากับถนอม การปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์และสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้าน (1)

Post on 25 August 2025

ผศ.ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
สาขาวิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ระหว่างทางเดินไปริมแม่น้ำปิง อาจารย์ถนอม ชาภักดี ถามผมว่าคิดอย่างไรกับสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้าน (Aesthetic of resistance) มันช่างเป็นคำถามที่ขัดแย้งกับบรรยากาศโดยรอบอย่างมาก ยามพลบค่ำ วัยรุ่นเชียงใหม่กำลังสังสรรค์กันอย่างมีความสุข เพลงแจ๊สพันธุ์ผสมล่องลอยออกมาจากร้านริมทาง นักท่องเที่ยวเดินกอดคอฮัมเพลงกันอย่างมีความสุข ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจถนอมให้คิดถึงเรื่องนี้ มันอาจเป็นความคิดที่ตกค้างในใจมานานหรืออะไรสักอย่างที่เขาเห็นและรู้สึกในช่วงชีวิตของเขาที่ทำให้คำถามนี้ค่อย ๆ ก่อรูปอยู่ภายใน แน่นอน ความเงียบสลับเสียงหอบคือสิ่งที่ผมตอบกลับไป พวกเราดื่มและเดินกันจนเหนื่อย เสียงย่ำเท้าและน้ำที่กระฉอกจากฟุตบาทน่าจะมีส่วนช่วยให้ถนอมคิดถึงเรื่องอื่น ๆ บ้าง ในทิศทางที่เราเดินไป แสงไฟสลัวส่องประกายออกมาเหมือนกลุ่มดาวเล็ก ๆ ที่เคลื่อนไหวโยนตัวตามแรงลม ผมใช้นิ้วเคาะขวดเบียร์ในมือเป็นจังหวะประสานกับเสียงงึมงำจากคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ

ที่หมายของเราคือเพิงร้านอาหารเล็ก ๆ ริมน้ำ เราสองคนเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งกับมิตรสหาย วันนั้น ผมไม่แน่ใจเหมือนกันทำไมเราสองคนเลือกที่จะมาร้านนี้อีกครั้ง ขณะที่ก้นกำลังจะหย่อนลงบนเก้าอี้ ถนอมก็ถามด้วยเสียงที่นุ่มลึกแฝงสำเนียงแหบปร่าเล็กน้อย “โหยย เราเดินกันมาจนเมื่อยแล้ว ตกลงคุณคิดยังไงกับสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้าน คุณต้องตอบผมแล้วล่ะ” ผมตะลึงงันกับความเอาจริงของเขา และคงไม่สามารถใช้ความเงียบหรือกิจกรรมอื่น ๆ มาแทรกหรือเบี่ยงประเด็นได้อีกต่อไป

“น้องน้อง ขอเบียร์สองขวด ลาบคั่ว กับย่างรวมด้วยครับ” ผมชูมือขึ้นเรียกคนในเพิงพร้อมสั่งอาหาร เมื่อหันไปสบตากับถนอมที่กำลังทำตาโตใส่ เรายิ้มให้กันและหัวเราะร่าออกมา ผมพยายามหลีกเลี่ยงอีกครั้ง และถนอมก็รู้ดีว่าผมไม่มีทางหนีพ้น

ภาพจาก [Thanom Chapakdee](https://www.facebook.com/thanom.chapakdee)

ภาพจาก Thanom Chapakdee

หลังจากที่จิ้มไส้ย่างลงในน้ำจิ้มและกัดเคี้ยวเข้าไปหนึ่งคำตามด้วยข้าวนึ่งร้อน ๆ ผมบอกกับถนอมว่า ไม่ได้สนใจแนวความคิดนี้นัก แม้จะพออ่านมาบ้างก็ตาม กล่าวอีกแบบหนึ่งคือผมไม่แน่ใจว่าจะวางตำแหน่งแห่งที่ของเรื่องนี้อย่างไร เนื่องจากสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านไม่ใช่สิ่งที่พัฒนาขึ้นมาจากแนวคิดหรือนักคิดทฤษฎี ไม่เป็นแม้กระทั่งแนวความคิดในตัวของมันเอง ปีเตอร์ ไวส์ (Peter Weiss) นักเขียน นักทำภาพยนตร์ และจิตรกรชาวเยอรมันผู้ได้รับอิทธิพลจากแนวชีวิตของเซอร์เรียลลิสม์ (surrealism) เป็นคนทำให้ความคิดนี้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายผ่านการเขียนวรรณกรรมเรื่อง The Aesthetic of Resistance (Die Ästhetik des Widerstands) ขึ้นมาจำนวนสามเล่มระหว่างปี 1975 – 1981 และได้รับการขนานนามว่าเป็นงานวรรณกรรมชั้นครูและยิ่งใหญ่อย่างมากในโลกของผู้ใช้ภาษาเยอรมันในช่วงทศวรรษที่ 80 สำหรับผม วรรณกรรมไม่ใช่งานเขียนเชิงวิชาการ แต่มันคือการถ่ายทอดและส่งต่อสามัญสำนึกและจิตวิญญาณบางประการมากกว่า การมองวรรณกรรมในฐานะแนวทฤษฎีรังแต่จะลดทอนศักยภาพของตัวมันเอง ผมตอบถนอมไปว่าสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านคงไม่สามารถเริ่มต้นได้จากการคิดแต่มันคือชุดปฏิบัติการของความรู้สึกซึ่งเชื่อมโยงตัวตนของพวกเราไปสู่การคิดในรูปแบบอื่น ๆ

“แล้วมันจะต้องเริ่มต้นอย่างไง?” เขาถามพร้อมละเลียดเบียร์ โดยไม่แตะจานย่างรวมแม้แต่น้อย

“มันต้องเริ่มจากการวิพากษ์การปกครองในเชิงสุนทรียศาสตร์ครับ เราอยู่ในรัฐที่ไม่ได้ควบคุมเราด้วยกระบอกปืนหรืออำนาจทางตรง แต่คุมเราด้วยระบอบสุนทรียศาสตร์” ผมตอบถนอมไปเช่นนั้น ใจคิดไปไกลถึงความเป็นไปได้ของคำตอบ เนื่องจากมันเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทั้งถ้อยคำและจังหวะของการตอบ แม้จะมีแรงจูงใจและการอ่านมาบ้างเป็นพื้นฐาน สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนั้นคือการปล่อยให้ถ้อยคำบังเอิญคิดขึ้นได้นั้นล่องลอยไปกับน้ำปิงที่ไหลเอื่อย ๆ มันเป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว ลาบคั่วที่ยังคงเหลืออยู่เต็มจาน และเบียร์ที่ถูกสั่งเพิ่มเข้ามา คืนนั้น ยาวนานเป็นพิเศษเหมือนถนอมไม่อยากกลับที่พัก แววตาเขาลึกซึ้งซ่อนความรู้สึกบางอย่างไว้ บางทีฉายแววอ่อนโยน บางครั้งไม่สามารถคาดเดาได้

ไม่นานนัก ถนอมได้พัฒนาความคิดสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านผ่านปฏิบัติการทางศิลปะที่อีสาน เขาเสียชีวิตในวัย 64 ปี เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2565 ผมไม่มีโอกาสตอบคำถามของเขาอย่างจริงจังเลย
……………………………………………………………………………………………………………………………………

ปกติผมเป็นคนหลับง่ายแต่หลังจากถนอมเสียชีวิต ผมกลายเป็นคนนอนยากไปประมาณเดือนหนึ่ง เขาเป็นคนน่ารักขนาดที่ว่าตนเองออกเดินทางจากโลกนี้ไปแล้วยังทิ้งคำถามให้คนที่ยังอยู่ได้คิดต่อ คืนหนึ่ง ผมนั่งรวบรวมสติและความคิดเพื่อจะตอบคำถามของเขา ทว่า ผมต้องตอบให้ได้ก่อนว่า การปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์นั้นคืออะไรและทำงานอย่างไร?

ในวัยเด็ก ผมเคยชินกับภาพการเดินสวนสนามของกองทัพเป็นอย่างมาก ภาพของสนามหญ้าสีเขียวถูกตัดจนเรียบเตียน ถูกโอบล้อมด้วยทางเดินที่ถูกแบ่งเป็นช่อง แสงไฟจากเสาที่สูงเรียงรายส่องความสว่างออกมาอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ ทหารเหล่าทัพต่าง ๆ เดินในจังหวะและท่วงท่าที่ถูกออกแบบมาราวกับหุ่นยนต์ มันเป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายในแบบมิใช่มนุษย์ปกติทั่วไป ทั้งจังหวะการแกว่งมือ การเหยียดแขน การตบเท้า ใบหน้าที่แสดงออกอย่างไร้ความรู้สึก รวมไปถึงจังหวะสะบัดหน้าทำความเคารพ ผมนั่งดูการถ่ายทอดสดเหล่านี้ที่บ้าน ราวกับมุมมองของกล้องถูกออกแบบมาเพื่อดวงตาของผู้ชมทางบ้านได้มีโอกาสรับรู้ถึงความเป็นระเบียบและวินัยของทหาร ภาพการก้าวเดินของของขบวนทหารนับพันและเครื่องแบบที่ถูกขัดจนเงาวับ เคลื่อนไหวอย่างสอดประสานกับเสียงกลองและแตรได้กลายเป็นจังหวะอันไร้ที่ติ ในบางปี ซึ่งอาจมีเทศกาลหรืองานเฉลิมพิเศษแบบราชการและรัฐพิธี การเดินสวนสนามเหล่านี้ได้ผสานตัวกับแสงและเสียง กลายเป็นประสบการณ์ที่ผู้คนทั่วประเทศได้รับรู้ร่วมกันผ่านจอโทรทัศน์ที่ต้องรับรู้พร้อมกันทั่วประเทศ

สิ่งที่ผมพรรณนาในข้างต้นนี้ไม่ใช่แค่การสวนสนามหรือการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ซึ่งหลายคนจะรู้สึกเบื่อหน่ายและไม่รู้จะดูอะไรในขบวนสวนสนามเช่นนี้ แต่ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐและการสาธิตรูปแบบหนึ่งในสิ่งที่ผมเรียกมันว่าการปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์ (aesthetic governance) อันหมายถึงการที่รัฐใช้อำนาจผ่านการจัดการประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและการรับรู้ของผู้คน ทั้งในสิ่งที่พวกเราเห็น ได้ยิน และรู้สึก โดยเฉพาะการออกแบบให้สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับระเบียบและการเล่าเรื่องของรัฐ (Smith 2019; 88 - 90) เราอาจไม่ชอบและเห็นว่าเป็นสิ่งที่คร่ำครึ แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าร่างกายในระเบียบวินัยเช่นนี้เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในโรงเรียน สถานที่ราชการ ในงานรัฐพิธี ระเบียบในการจัดโต๊ะประชุมสัมมนา รวมไปถึงภาพสะท้อนในอุดมคติของเราว่าด้วยความมีระเบียบวินัย โดยเฉพาะความเป็นแถวและแนวในการรวมตัวของกลุ่มคนเพื่อทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง แนวคิดในลักษณะนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ ฌาคส์ ร็องซีแยร์ (Jacques Rancière) เรียกว่า ระบบการแจกแจงการรับรู้ (distribution of the sensible) เพื่ออธิบายการเมืองในฐานะการจัดระเบียบว่าอะไรคือสิ่งที่สามารถถูกมองเห็นหรือได้ยินในสังคม (Rancière 2004; 12-13) เนื่องจากสิ่งที่ถูกทำให้ปรากฏนั้นจะได้รับการยอมรับในฐานะ “ความจริง” ขณะที่สิ่งที่ถูกกีดกันออกไปจากการรับรู้จะค่อย ๆ กลายเป็น “สิ่งที่ไม่มีอยู่”

พิจารณาในแง่นี้ การปกครองจึงไม่ใช่สิ่งที่ดำเนินการผ่านกฎหมายหรืออำนาจของกองทัพเพียงอย่างเดียว ทว่าทำงานในระดับโครงสร้างของการรับรู้และประสบการณ์ มันจึงเป็นการยากที่เราจะนึกถึงความมีระเบียบในรูปแบบอื่นที่นอกเหนือไปจากความเป็นแถวและแนว รวมไปถึงความพร้อมเพรียงในการทำกิจกรรมของกลุ่มคน “ภาพระเบียบ” (image of order) เหล่านี้ ได้กลายสภาพเป็นสุนทรียศาสตร์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ระเบียบและวินัยกลายเป็นอุดมคติของความงามและความจริง ขณะที่สภาวะการแตกแถว ผ่าเหล่า ผ่ากอ กลายเป็นภาพอุจาดตา กลไกการดำรงอยู่ของอำนาจทำงานกับระบบสุนทรียศาสตร์อย่างแยบยลจนเราจินตนาการไม่ออกว่าจะหาระเบียบจากฝูงชนที่ซื้อข้าวในโรงอาหารหรือในห้างสรรพสินค้า หรือบรรดาผู้คนที่เดินอยู่บนทางเท้าอย่างขวักไขว่ได้อย่างไร

ขบวนพาเหรดในรัฐพิธี ขบวนแห่ของงานราชการ หรือกระทั่งขบวนฟ้อนรำอย่างเป็นทางการบนท้องถนนก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับการเดินสวนสนามของทหาร แม้จะไม่ได้เป็นการสาธิตแสนยานุภาพของกองทัพโดยตรง ทว่าบ่งบอกถึงสุนทรียศาสตร์ของระเบียบวินัยอย่างน่าสนใจ ความพร้อมเพรียงในด้านจังหวะก้าวสืบเท้าเดินหน้าและถอยหลัง การแกว่งแขนและจีบมือตามท่วงท่าทำนองรำได้กลายเป็นเกณฑ์วัดความงามและคำตัดสินว่าขบวนไหนรำสวยกว่ากัน มากไปกว่านี้ การถ่ายทอดสดกิจกรรมดังกล่าวถูกจัดมุมอย่างแม่นยำโดยมืออาชีพ โดยเฉพาะการซิงโครไนซ์ (synchronize) ประสาทการรับรู้ของผู้ชมทางบ้านให้สอดคล้องกับเท้าอันพร้อมเพรียงและท่วงท่ากันมั่นคง บางงานซึ่งจัดในเวลากลางคืน สนามพาเหรดหรือลานกิจกรรมก็สว่างไสวราวกับกลางวัน บางงานจัดบินโดรนเป็นรูปภาพต่าง ๆ ซึ่งสอดรับกับโครงสร้างความคิดหลักของสังคม ผมไม่อาจเดาได้ว่าจังหวะหัวใจของผู้ชมทางบ้านจะเต้นตามเสียงจากวงดุริยางค์หรือแสง สี และเสียงบ้างไหม แต่ในเชิงทฤษฎี ซูซาน บัค-มอร์สส์ (Susan Buck-Morss) นักรัฐศาสตร์และวัฒนธรรมทัศนาคนสำคัญชาวอเมริกัน อาจเสริมว่าประสาทสัมผัสของมนุษย์เรานั้นเป็นเสมือนสนามรบของการเมืองสมัยใหม่ (Buck-Morss 1989; 12-15) เนื่องจากเทคโนโลยีสื่อ พิธีสาธารณะ และการออกแบบภูมิทัศน์ต่าง ๆ นั้นสามารถสร้างโหมดในการรับรู้ร่วม (collective perception modes) ซึ่งทำให้คนจำนวนมาก “ประสบโลก” ในจังหวะเดียวกันและรับรู้ความหมายที่รัฐกำหนดขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าเราจะอยากดู ถูกบังคับให้ดู หรือดูแบบผ่าน ๆ ตา แต่การซิงโครไนซ์ดังกล่าวกำลังทำให้ทุกสายตาและหูอยู่ในจังหวะเดียวกันกับเรื่องเล่าของรัฐ สำหรับบัค-มอร์สส์ เธอมีความเห็นว่าผู้ชมในหมู่บ้านอันห่างไกลที่เฝ้าดูผ่านโทรทัศน์กำลังมีประสบการณ์เดียวกันกับผู้อยู่ในสนามจริง (Buck – Morss 1992; 12-15) ผมคิดว่าบัค-มอร์สส์ เสนอความคิดได้อย่างน่าสนใจ ทว่า บริบททางความคิดในช่วงเวลานั้นให้ความสำคัญกับสื่อด้านภาพและเสียงอย่างโทรทัศน์ และอาจแตกต่างไปจากเงื่อนไขของสังคมปัจจุบันซึ่งสื่อดิจิทัลและสื่อใหม่ประเภทต่าง ๆ ได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการรับรู้ ผู้ชมไม่ว่าจะอยู่ในแห่งหนตำบลใด ชายขอบหรือศูนย์กลางของเมืองที่สามารถรับชมผ่านการถ่ายทอดสดทางทีวีหรือการไลฟ์ผ่านแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ ชุดประสบการณ์เหล่านี้อาจเป็นทั้งเสมือนพาผู้ชมไปสู่สนามจริง แต่ในขณะเดียวกันก็ราวกับพาสนามจริงไปสู่ทุก ๆ ที่ซึ่งมีการรับชม การรับรู้ร่วมจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์โดยตรงของผู้คนแต่เกิดจากการถูกจัดระเบียบการรับรู้ผ่านจังหวะของภาพและเสียงโดยกลไกรัฐเป็นสำคัญ

ภาพสะท้อนสำคัญประการหนึ่งก็คือ การแชร์คลิปสงครามและการปะทะกันในบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา เราอาจเห็นทั้งภาพอันน่าสยดสยอง ภาพชีวิตของทหาร ภาพการปะทะคารม รวมไปถึงทัศนคติเหยียดเชื้อชาติของทั้งสองฝั่งประเทศซึ่งล้วนลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ ทั้งหมดนี้ก็เป็นการซิงโครไนซ์ประสาทสัมผัสของผู้ชมและผู้สื่อให้เชื่อมโยงกับการจัดระเบียบการรับรู้ที่มีรัฐและอุดมการชาตินิยมเป็นกลไกสำคัญ ภาพของ “ศัตรู” กลายเป็นการรับรู้ร่วมของคนในสังคม เราจึงสามารถหัวเราะเยาะความตายและดูแคลนศพในคลิปที่เพิ่งไถดูด้วยปลายนิ้วได้ จากนั้นก็สามารถสงสารหมาแมวที่ถูกทอดทิ้งได้ในคลิปสั้น ๆ ตามด้วยความขบขันจากเรื่องราวชวนหัวอื่น ๆ ในหน้าจอมือถือ นี่คือรูปการหนึ่งของระบอบการปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์ที่ก่อรูปขึ้นมาในสังคมของเรา

Walter Benjamin

Walter Benjamin

ถนอมกับผมคุยกันบ่อยครั้งเรื่อง วัลเตอร์ เบนยามิน (Walter Benjamin) โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญว่าด้วยกระบวนการทำให้เป็นสุนทรียศาสตร์ของการเมือง (aestheticization of politics) ระบอบเผด็จการมักใช้ศิลปะและแง่มุมเชิงสุนทรียศาสตร์เปิดที่ทางให้กับการใช้อำนาจครอบงำและความรุนแรงผ่านรูปแบบที่ถูกนำเสนออย่างงดงามจนผู้คนชื่นชมแทนที่จะต่อต้าน ความละมุนของอำนาจทางการเมืองเช่นนี้มิใช่การแสดงออกผ่านวินัยทางทหารแต่เป็นเสมือนนำเอาจิตวิญญาณของระเบียบวินัยทางทหารไปใส่ในผืนผ้าแคนวาส ใส่ในโลกทางความคิดของผู้ถือกล้องถ่ายภาพและกล้องวิดีโอ และใส่ในมือกับสายตาของผู้สร้างแอนิเมชั่น การปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์ได้กลายเป็นโครงการทางการเมืองขนาดใหญ่ที่สะท้อนวินัยทางทหารและอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดออกมาผ่านโลกแห่งความรื่นรมย์ ความรุนแรงเชิงโครงสร้างของการปกครองถูกทำให้กลายเป็นภาพงดงามผ่านเครื่องแต่งกายและคาแรกเตอร์ที่ถูกออกแบบมาอย่างร่วมสมัย องค์ประกอบอย่างเสียง แสง และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในสื่อซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องกับแกนหลักเรื่องราวได้กลายเป็นแกนกลางที่ถูกออกแบบมาอย่างเชื่อมโยงประสาทการรับรู้ของผู้ชมให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการทางการเมืองนั้น ๆ จนไม่สามารถตั้งคำถามต่ออำนาจที่ผลิตสร้างระบอบสุนทรียศาสตร์ขึ้นมา ไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นศิลปินรักชาติถือกำเนิดและคงอยู่เรื่อยมา ทั้งที่ดูผิวเผินภาพลักษณ์ของทหารกับศิลปินนั้นมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เนื้อในกลับเป็นพรมแดนที่แสนจะพร่าเลือน

ระบอบเผด็จการไม่ได้รังเกียจศิลปะและสุนทรียศาสตร์ ทั้งยังสร้างระบอบการปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์เพื่อค้ำจุนการดำรงอยู่ของอำนาจและผลิตซ้ำอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเสียด้วยซ้ำ หากจะกล่าวให้ดูน่าวิตกกังวลขึ้นไปอีก กระบวนการบ่มเพาะระบอบสุนทรียศาสตร์แบบโอบรับเผด็จการยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเรื่อยมา เสรีภาพในการทำงานทางศิลปะกลายเป็นสิ่งหอมหวนยวนใจภายใต้เพดานที่ถูกจำกัด เสรีภาพดังกล่าวดำรงอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการมีสิทธิ์เลือกภายใต้ตัวเลือกที่ถูกกำหนด ศิลปินผู้รังสรรค์งานศิลปะจึงมักติดอยู่ในกับดักของการเป็นผู้ผลิตที่สามารถเลือกในการมีวิถีชีวิต เลือกแนวทางการทำงาน และเลือกที่จะแสดงงาน ภายใต้เงื่อนไขล่องหนที่ว่าไม่สามารถเลือกหรือเปลี่ยนโครงสร้างสังคมของตนเองได้ การปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์มีพลังอยู่ได้เพราะมันไม่ได้พึ่งพาการโฆษณาชวนเชื่อหรือการบังคับทางกายภาพ แต่มันทำงานผ่านการ “สร้างโลก” ให้ผู้คนได้อยู่อาศัย โลกที่ภาพ เสียง พื้นที่สื่อ และพื้นที่ชีวิตล้วนสอดคล้องกับโครงเรื่องที่ถูกกำกับโดยรัฐ

นี่คือ อำนาจเผด็จการเชิงสุนทรียศาสตร์ที่ครอบครองสังคมของเราอยู่

……………………………………………………………………………………………………………………………………

หลายครั้งผมไปทำงานที่กรุงเทพฯ และย่ำบนฟุตบาทอย่างเดียวดายยามค่ำคืน ความชื้นและเหนียวเหนอะตัวของอากาศทวีตัวขึ้นจนสายลมที่พัดมาไม่อาจบรรเทา มิต้องถามถึงเบียร์ในขวดที่ไร้รสชาติ บางครา ตามมิตรสหายไปพบปะกันแถวร้านลาบสะพานหัวช้าง แต่ไม่นานก็พบว่าความรู้สึกบางประการเข้ามายึดพื้นที่ในสำนึกไปเสียทั้งหมด มนุษย์เรามีหลายสาเหตุและไม่จำเป็นต้องมีสาเหตุในการคิดถึงหรือระลึกถึงใครสักคน รวมไปถึงความพยายามที่จะลืมกันและกัน แต่สำหรับผม คำถามของถนอมเป็นประหนึ่งร่องรอย (trace) ที่เชื่อมเรื่องราวในอดีตที่สมควรจบไปกับกาลเวลาให้ยึดโยงกับสภาวะการปัจจุบัน ผมระลึกถึงถนอมไม่ใช่เพียงเพราะน้ำเสียง รูปร่าง หรือใบหน้าของเขา หากเป็นเงื่อนไขของโลกทางศิลปะที่สัมพันธ์กับอำนาจการปกครองในสังคมของเราต่างหาก

น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสตอบคำถามของเขาอย่างเห็นหน้าค่าตา ผมอยากชวนถนอมแลกเปลี่ยนเหลือเกินว่าการปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์ในสังคมไทยนั้นเป็นอย่างไร เพื่อที่จะทำการประเมินคุณค่าและกำหนดทิศทางของสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านได้ แน่นอน ถนอมอาจบอกกับผมว่าแม้รัฐจะพยายามควบคุมการรับรู้และความรู้สึกของผู้คน แต่ทุกระเบียบย่อมมีรอยรั่ว ในรอยรั่วเหล่านี้อาจถูกเรียกว่าสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้าน ทว่า ในส่วนลึกแล้วผมเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย บางทีความคิดเรื่องการปลดปล่อยก็ไม่อาจไปถึงเสียงทุบตีของกระบอง แก๊สน้ำตา เสียงครวญคร่ำโกรธเกรี้ยวของนักโทษทางการเมือง ไปไม่ถึงการด้อยค่าเย้ยหยันชีวิตของของ “ศัตรู” ที่เคยเป็นเพื่อนบ้าน ตลอดจนไปไม่ถึงการเซ็นเซอร์ผลงานศิลปะที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านอาจไม่ใช่เพียงการผลิตผลงานศิลปะวิพากษ์รัฐ จริง ๆ แล้วมันคืออะไรและทำงานอย่างไรกันแน่

ผมไม่แน่ใจว่าถนอมจะตอบคำถามนี้อย่างไร?

เขียนครั้งแรก 15 สิงหาคม 2565
แก้ไขปรับปรุง 11 สิงหาคม 2568

อ้างอิง
Benjamin, Walter. “The Work of Art in the Age of Its Technological Reproducibility.” In Selected
Writings, Volume 3, 1935–1938, edited by Howard Eiland and Michael W. Jennings, 101–133. Cambridge, MA: Harvard University Press, 2002.
Buck-Morss, Susan. The Dialectics of Seeing: Walter Benjamin and the Arcades Project.
Cambridge, MA: MIT Press, 1989.
Buck-Morss, Susan. “Aesthetics and Anaesthetics: Walter Benjamin’s Artwork Essay
Reconsidered.” October 62 (1992): 3–41.
Rancière, Jacques. The Politics of Aesthetics: The Distribution of the Sensible. Translated by
Gabriel Rockhill. London: Continuum, 2004.
Smith, Terry. The Contemporary Composition: Art, Architecture, and Politics. Chicago: University
of Chicago Press, 2019, 88–90.