บทสนทนากับถนอม การปกครองเชิงสุนทรียศาสตร์และสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้าน (2)

Post on 23 September 2025

ผศ.ศรยุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ
สาขาวิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ผมกลับมาคิดสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านอย่างจริงจังอีกครั้งหลังจากที่ถนอมเสียชีวิต หลายคนบ่นคิดถึงถนอมในห้วงยามที่วงการศิลปะเข้าไปพัวพันและกลายเป็นนั่งร้านให้กับระบอบอำนาจนิยม ขณะที่อีกหลายคนคิดถึงเขาเพียงเพราะรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ถนอมมีและแจกจ่ายกับมิตรสหาย

ผมคิดถึงถนอมบ่อยขึ้นในวันที่ต้องขึ้นศาลในฐานะพยานทางวิชาการ (academic witness) ให้กับคนทำงานศิลปะกลุ่มเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง อาทิ นักวิจารณ์ศิลปะที่ถูกฟ้องร้องหมิ่นประมาท ศิลปินกราฟิตี้ และนักกิจกรรมทางศิลปะที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง ทั้งหมดนี้มีรูปคดีแตกต่างกันไป นับตั้งแต่ คดีหมิ่นประมาท ถูกฟ้องฐานผิดพรบ.ความสะอาด จนไปถึงคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือคดีมาตรา 112 ผมเข้าออกศาลเกินสิบครั้งในรอบสี่ปีที่ผ่านมา และแน่นอนว่าบรรยากาศที่ศาลไม่น่าภิรมย์เท่าไหร่ แต่ผมก็ปรับตัวกับสภาพแวดล้อมอันอึมครึมของที่นั่นได้ระดับหนึ่งด้วยความตระหนักดีว่า เกมทางกฎหมายนั้นค่อนข้างยืดเยื้อยาวนาน เช่นเดียวกับคนที่นั่น ผมมักใช้พื้นที่โรงอาหารเป็นจุดพักใจ บ่อยครั้งเข้าก็ทราบว่า ในโรงอาหารมีร้านไหนอร่อย รู้ว่าโรงอาหารจะเป็นที่คุยและเตรียมคดีกันอย่างออกรสระหว่างทนายกับลูกความ ขณะที่ห่างออกไปเล็กน้อย ผู้พิพากษาอาจมานั่งทานข้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยิ้มแย้ม ไม่คุกคาม แต่ไม่เป็นมิตรกับใคร บางทีคู่กรณีก็นั่งทานข้าวในโรงอาหารเดียวกันและมองใส่กันอย่างเผ็ดร้อนเสียยิ่งกว่ากระเพราเนื้อเจ้าเด็ดของที่นั่น

คำถามว่าด้วยศิลปะกับการเมืองมักผุดขึ้นระหว่างทานข้าวที่โรงอาหารและขณะนั่งรอให้การอยู่ที่ศาล

ด้านหนึ่ง ศิลปะในสังคมไทยไม่เคยเฉยชาต่อการเมือง ทั้งยังมีความตื่นตัวและสรรสร้างวิธีการสื่อสารเพื่อการวิพากษ์วิจารณ์มาโดยตลอด ไวยกรณ์ทางศิลปะและแง่มุมเชิงสุนทรียศาสตร์กลายเป็นตัวเล่าเรื่องสำคัญ ทั้งยังมีพลังในการสื่อสาร อย่างแยบยลและส่งผลให้ศิลปินกลายเป็นผู้ตื่นรู้และตระหนักถึงปัญหาในสังคม งานของพวกเขาและเธอมักซ่อนอะไรสักอย่างให้ผู้ชมคิดเชื่อมโยงกับสภาวการณ์ทางการเมืองด้วยตนเอง ความงามทางศิลปะเช่นนี้จึงมีนัยทางเมืองและการทำงานระหว่างบรรทัดทางศิลปะได้กลายเป็นยุทธวิธีสำคัญของศิลปินที่อยากส่งเสียงในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยม ขณะที่อีกด้าน กลุ่มศิลปินที่ผมมาเป็นพยานทางวิชาการให้นั้นกลับเป็นกลุ่มที่ทำงานออกมาตรง ๆ และไร้ซึ่งความงามในมาตรฐานที่ยอมรับกันในโรงเรียนทางศิลปะหรือแวดวงศิลปะ มันประกอบไปด้วยความดิบ กร้าน กร้าว และทักษะเชิงช่างที่ถูกประเมินค่าว่าชั้นต่ำ ยิ่งพิจารณาสถานะของศิลปินกลุ่มนี้ก็ยิ่งน่าหดหู่ใจ พวกเขาและเธอไม่มีชื่อเสียง ไร้รางวัลเกียรติยศ ทั้งยังเป็นกลุ่มชนที่เพิ่งพ้นวัยมัธยมและมหาวิทยาลัยมาไม่กี่ปี มีคนเคยเปรยให้ผมได้ยินเสียด้วยซ้ำว่าจะเรียกเด็กกลุ่มนี้เป็นศิลปินก็ยังไม่เต็มปาก

แม้ผมจะมีแนวโน้มของรสนิยมที่ชื่นชอบงานของศิลปินในกลุ่มแรก แต่สิ่งสำคัญกว่าคือคำถามที่ว่า ทำไมงานของกลุ่มหลังจึงเป็นปราการด่านแรกที่จะถูกดำเนินคดีความทางการเมือง และถูกดำเนินคดีความในลักษณะของการตบหน้าหรือ SLAPPs ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการตัดแขนขาและความกล้าหาญของคนทำงานศิลปะเพื่อไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมต้องเห็นเยาวชนอายุยี่สิบเศษโดนคดีความทางการเมืองเพียงเพราะใจของเขาและเธอโบยบินอย่างเสรี เป็นเพราะคนกลุ่มนี้ไร้ชื่อเสียง? หรือคนกลุ่มนี้ทำงานที่ล้ำเส้นแบบทื่อ ๆ ตรงไปตรงมา ปราศจากชั้นเชิงใด ๆ ทางศิลปะ คำถามเหล่านี้เกิดขึ้นวนเวียนในความคิดของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“คดีความพวกนี้หาคนมาเป็นพยานทางวิชาการยากมาก คุณมาช่วยผมหน่อยได้ไหม” ทนายหนุ่มวัยกลางคนบอกกับผม เขาสำทับด้วยว่าจะอธิบายอย่างไงให้ผลงานของคนในกลุ่มหลัง (ที่กลายเป็นจำเลย) คือการแสดงออกทางศิลปะที่กระตุ้นคำถามในสังคมและไม่ใช่ภัยความมั่นคง เนื่องจากโจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องว่าการแสดงออกเหล่านี้ไม่ใช่ศิลปะและเป็นการแสดงออกที่ขัดต่อกฎหมาย ผมกับทนายคุยปรึกษากันว่า โดยทั่วไปแล้ว นักวิชาการมักจะเริ่มต้นด้วยการอภิปรายความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงออกอันเป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และการแสดงความคิดเห็นตามกรอบของรัฐธรรมนูญ แต่สาระสำคัญนี้อาจไม่เพียงพอในคดีความทางศิลปะ เนื่องจากมันเป็นการแสดงออกที่เชื่อมโยงกับความเข้าใจเชิงสุนทรียศาสตร์ อาณาบริเวณซึ่งถูกทำให้เข้าใจมาโดยตลอดว่าเกี่ยวข้องกับความงามและศีลธรรมอันดี ศาลหรือผู้พิพากษาจะเข้าใจมุมมองเรื่องนี้อย่างไร และเอาเข้าจริง ๆ เหตุผลที่ทนายมาติดต่อให้เข้ามาเป็นพยานทางวิชาการเพราะเข้าใจว่าผมอยู่ระหว่างโลกทางศิลปะและวิชาการทางสังคมศาสตร์ซึ่ง “น่าจะ” อธิบายอะไรสักอย่างได้ในศาล

ผมนึกถึงถนอมในฐานะเพื่อนสนทนา แต่เขาก็จากไปแล้ว หน้าที่ของผมคือการออกเดินทางค้นหาด้วยตัวเองจากร่องรอยที่เขาได้จารึกเอาไว้ ในสภาวะการณ์ซึ่งเฉดของการแสดงออกทางการเมืองมีส่วนในการกำหนดคุณค่าทางศิลปะและพรมแดนของการแสดงออกในเชิงสุนทรียศาสตร์บรรจบกับหลักการตีความของกฎหมายในบริบทของความขัดแย้งทางการเมือง เราจะพิจารณาศิลป์สถานะอย่างไร? ผมเริ่มต้นทำความเข้าใจแนวความคิดของปีเตอร์ ไวส์ (Peter Weiss) อย่างจริงจัง โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วยปฏิบัติการทางศิลปะกับการรื้อถอนสภาวะการความเป็นการเมืองของสุนทรียศาสตร์

ปีเตอร์ ไวส์

ปีเตอร์ ไวส์

ปีเตอร์ ไวส์ เกิด 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 ที่โนวาเวส เมืองเล็ก ๆ ไม่ไกลจากพอทส์ดัมและเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เขาเป็นบุตรของบิดาชาวเยอรมันและมารดาชาวยิว รากเหง้าทางเชื้อชาติแบบลูกครึ่งทางศาสนาและเชื้อชาติเช่นนี้มีอิทธิพลสำคัญต่อโลกทัศน์ของไวส์เป็นอย่างมาก เขาเติบโตขึ้นในความรู้สึกไม่มั่นคงภายใต้บรรยากาศที่เต็มไปด้วยแรงตึงเครียดทางเชื้อชาติ เมื่อพรรคนาซีขึ้นสู่อำนาจ ครอบครัวของไวส์ต้องอพยพออกนอกเยอรมนี เขาเร่ร่อนอยู่หลายประเทศ ทั้งอังกฤษ เช็กโกสโลวะเกีย และสุดท้ายจึงตั้งรกรากในสวีเดนราวปี 1939

เมื่อไวส์มีอายุประมาณ 23 ปี ที่นั่นเขากลายเป็นนักเขียนบทละคร นักประพันธ์ และศิลปินด้านทัศนศิลป์ ประหนึ่งหน่ออ่อนที่หยั่งรากเติบใหญ่นอกแผ่นดินแม่ ไวส์กลายเป็นบุคคลสำคัญในโลกวรรณกรรมและศิลปะของทั้งเยอรมนีและสวีเดน การพลัดถิ่นนี้กลายเป็นประสบการณ์สำคัญ ที่ทำให้เขามองโลกในฐานะบ้านผ่านสายตาของผู้ไร้บ้านทางการเมือง หนึ่งในผลงานละครที่สร้างชื่อเสียงคือ Marat/Sade (1964) หรือชื่อเต็ม ๆ The Persecution and Assassination of Jean-Paul Marat as Performed by the Inmates of the Asylum of Charenton Under the Direction of the Marquis de Sade ซึ่งเป็นชื่อที่ยาวมากแต่เนื้อหาก็เต็มไปด้วยความแสบสัน เนื่องจากไวส์นำบทสนทนาระหว่าง ฌ็อง-ปอล มารา (Jean-Paul Marat) นักปฏิวัติฝรั่งเศส กับ มาร์กี เดอ ซาด (Marquis de Sade) นักเขียนผู้หมกมุ่นกับสุขารมณ์ ความเจ็บปวด และเสรีภาพซึ่งไม่ถูกจำกัดในกรอบของศีลธรรม มาสนทนากัน มันจึงเป็นทั้งการตั้งคำถามต่อการปฏิวัติและขีดจำกัดทางอุดมการณ์ ละครเรื่องนี้ทำให้เขาโด่งดังในวงกว้างและกลายเป็นที่รู้จักในฐานะนักเขียนการเมืองหัวก้าวหน้า

การแสดงละคร Marat/Sade ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ปี 2005 กำกับโดย สเตฟาน โนวินสกี

การแสดงละคร Marat/Sade ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก ปี 2005 กำกับโดย สเตฟาน โนวินสกี

ผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา The Investigation หรือ The Auschwitz Trial ได้แรงบันดาลใจจากคำให้การของผู้รอดชีวิตในระหว่างการพิจารณาคดีแฟรงก์เฟิร์ต-เอาช์วิทซ์ (1963–1965) ผลงานชิ้นนี้เปิดโปงความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเปิดพื้นที่ให้กับเสียงที่จมหายไปในอดีตกลับมาจุติใหม่และดังก้องในปัจจุบันอีกครั้ง ในฐานะศิลปิน ไวส์ยังใช้ภาพวาด จิตรกรรม และงานคอลลาจสำรวจพลวัตระหว่างการเมืองและสังคม

ผลงานของเขาได้รับการจัดแสดงในแกลเลอรีและพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก อิทธิพลของเขาได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ทั้งในวงการวรรณกรรมและการละคร ไวส์ได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัลเกียรติยศสูงสุด Georg Büchner Prize ในปี 1982 ตอกย้ำสถานะในฐานะหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลกศิลปะเยอรมัน ผลงานของไวส์ครอบคลุมหลายแขนง ผสานการวิพากษ์ทางการเมืองเข้ากับเทคนิคการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์ เปิดพื้นที่ให้ตั้งคำถามถึงพลวัตของอำนาจและการต่อสู้เพื่อการต่อต้านอำนาจ รวมไปถึงการสร้างจุดตัดและรอยต่อระหว่างศิลปะกับการเมือง

ละครเวที ละคร The Investigation ของปีเตอร์ ไวส์ กำกับโดย อิงมาร์ เบิร์กแมน

ละครเวที ละคร The Investigation ของปีเตอร์ ไวส์ กำกับโดย อิงมาร์ เบิร์กแมน

สำหรับผม หนึ่งในงานที่ทะเยอทะยานที่สุดของเขาคือ The Aesthetics of Resistance (1975–1981) หรือสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านซึ่งเป็นทั้งวรรณกรรมและบทละครขนาดใหญ่สามภาคที่เจาะลึกความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะ การเมือง และแก่นแท้ของการต่อต้าน ไวส์หยิบยกเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น สงครามกลางเมืองสเปนและสงครามโลกครั้งที่สอง สะท้อนแนวคิดแบบมาร์กซิสต์และความมุ่งมั่นในขบวนการต่อต้านฟาสซิสต์

“สุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้าน” ตามที่ไวส์เสนอ มิใช่เพียงงานศิลปะ หากคือการรวมรูปแบบการแสดงออกที่หลากหลายท่ามกลางความทุกข์ยากของผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกราฟฟิตี ศิลปะข้างถนน โปสเตอร์ แบนเนอร์ หรือการแสดงสด ทั้งหมดนี้ล้วนส่งสารที่ทรงพลังและท้าทายบรรทัดฐานทางสังคม และปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชมให้ลุกขึ้นมีส่วนร่วมทางการเมือง คำถามสำคัญที่เขาริเริ่มก็คือ ทำอย่างไรให้สุนทรียศาสตร์ได้รับการปลดปล่อยและมีเสรีภาพ รวมไปถึงคำถามที่ว่าศิลปะและการเมืองสามารถเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างแรงบันดาลใจแห่งการปลดปล่อยได้อย่างไร

ในเล่มแรกของผลงาน The Aesthetics of Resistance ปีเตอร์ ไวส์ใช้พื้นที่กว่า 30 หน้าเจาะลึกภาพเขียน The Raft of the Medusa (1819) ของธีโอดอร์ แฌริโก (Théodore Géricault) เพื่อพิจารณาอย่างละเอียดถึงวัสดุ เทคนิค และแรงจูงใจเบื้องหลังการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้

ในเล่มแรกของผลงาน The Aesthetics of Resistance ปีเตอร์ ไวส์ใช้พื้นที่กว่า 30 หน้าเจาะลึกภาพเขียน The Raft of the Medusa (1819) ของธีโอดอร์ แฌริโก (Théodore Géricault) เพื่อพิจารณาอย่างละเอียดถึงวัสดุ เทคนิค และแรงจูงใจเบื้องหลังการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้

เรื่องราวในสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านถูกเล่าผ่านสายตาของแรงงานชาวเยอรมันสามคนซึ่งเข้าร่วมการต่อสู้กับลัทธินาซีและความพ่ายแพ้ของขบวนการแรงงาน แต่ท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตัวละครสำคัญกลับหันไปพินิจงานศิลปะอย่างแน่วแน่ ไม่ใช่ในฐานะสิ่งงามที่บริสุทธิ์ หากเป็นบทเรียนหรือตำราการเรียนรู้แห่งประวัติศาสตร์การต่อสู้ ไวส์ไม่เพียงแต่การใช้วิธีการเขียนที่อ้างอิงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แต่ได้ร้อยเรียงทั้งเหตุการณ์จริงและการตีความเชิงศิลปะเข้าไว้ด้วยกัน นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองสเปนจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาใช้รูปแบบการเล่าแบบกึ่งสารคดี กึ่งวรรณกรรม โดยให้ตัวละครสะท้อนความคิดเชิงวิพากษ์ต่อศิลปะ ภาพวาด ประติมากรรม วรรณกรรม และบทละครจากยุคต่าง ๆ กระทั่งกลายเป็นศิลปะในสายตาของผู้ถูกกดขี่

สำหรับชนชั้นล่างในเรื่องนี้ พิพิธภัณฑ์ทางศิลปะไม่ใช่สถานที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจหรือแหล่งบันเทิงทางปัญญา หากเป็นเสมือนบทเรียนที่เขียนด้วยหิน องค์ประกอบ และสีสันบนผืนผ้าใบ ภาพสลักบนแท่นบูชาเพอร์กามอนที่ใครหลายคนมองว่าเป็นเพียงตำนานเทพเจ้ากรีกกลับถูกอ่านใหม่ว่าเป็นเรื่องราวการปะทะของความสัมพันธ์เชิงอำนาจและการต่อต้านระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง

ภาพ Guernica ของปิกัสโซก็ไม่ใช่เพียงงานชิ้นเอกแห่งศตวรรษที่ 20 ทว่าคือเสียงกรีดร้องของผู้คนที่ถูกกดปราบในสงครามกลางเมืองสเปน เสียงซึ่งชนชั้นแรงงานที่กำลังลี้ภัยและกำลังต่อสู้สามารถรับรู้และสัมผัสได้ราวกับเป็นเสียงของตนเอง ไวส์ทำให้ผู้อ่านได้ตระหนักว่าศิลปะทั้งหมดล้วนเป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้ง งานชิ้นหนึ่งอาจถูกชนชั้นปกครองยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและครอบครองความหมายในเชิงสุนทรียศาสตร์ แม้การรับรู้ถึงงานศิลปะจะถูกทำให้กลายเป็นเรื่องความสวยงามและผูกขาดวิธีการอ่านงานศิลปะโดยบรรดากระฎุมพีซึ่งเปี่ยมความรู้และการอธิบายที่มีขั้นตอนและหลักการเพื่อแสดงความลุ่มลึก แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็เปิดเผยร่องรอยความเจ็บปวด ความพังทลาย และความหวังที่จะลุกขึ้นยืนของผู้ถูกกดขี่ ความหมายของงานศิลปะจึงไม่เคยตายตัว หากเป็นสมรภูมิที่ผู้คนต่างช่วงชิงกันตีความ

Guernica ผลงานของ ปาโบล ปิกัสโซ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1937

Guernica ผลงานของ ปาโบล ปิกัสโซ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1937

ในผลงานสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้าน ไวส์ยังหยิบยกผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มาทำให้มีชีวิตใหม่ หนึ่งในนั้นคือ ฟรันซิสโก โกยา (Francisco Goya) ศิลปินผู้เคยอยู่ในราชสำนักสเปน โดยเริ่มจากการเป็นจิตรกรประจำราชสำนักและทำหน้าที่ผลิตภาพเหมือนของกษัตริย์ ขุนนาง และชนชั้นสูง งานในลักษณะนี้ทำให้เขาได้เห็น “โฉมหน้าที่แท้จริงของอำนาจ” และสัมผัสถึงความโหดร้ายและความเสื่อมสลายของผู้ปกครอง เมื่อสเปนเข้าสู่สงครามกับฝรั่งเศส (ค.ศ. 1808) เขาได้เปลี่ยนบทบาทจากผู้รับใช้ราชสำนักเป็น “พยาน” ของความรุนแรง โกยาคือศิลปินที่เดินทางไกลจากความสวยงามอันโอ่อ่าของราชสำนักไปสู่ความมืดมิดของสนามรบ ชุดภาพพิมพ์ The Disasters of War มิได้เป็นเพียงงานแกะสลัก แต่เป็นการบันทึกเสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยิน ภาพของศพที่ถูกหั่น เศรษฐีที่ก้มศีรษะ และชาวบ้านที่สิ้นลมหายใจ ผลงานชุดนี้คือบันทึกแห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่ปรากฏในตำราของผู้ชนะ ไวส์อ่านภาพเหล่านี้ในฐานะ “การคืนเสียงให้กับผู้ตาย” ศิลปะในความหมายของเขาจึงกลายเป็นอนุสรณ์สถานของความทรงจำที่รัฐและชนชั้นปกครองอยากลบเลือน

ใน The Third of May 1808 โกยาวาดชายชาวบ้านผู้เปิดแขนกว้างตรงหน้าปืนของทหารฝรั่งเศส แสงไฟฉายลงบนร่างของเขา ในขณะที่กองทหารยืนอยู่ในเงามืด สำหรับไวส์ ภาพนี้ไม่ใช่เพียงการประหาร หากคือการประกาศเกียรติยศของผู้ไร้ชื่อ การตีความของเขาทำให้ผู้ถูกทำให้เป็นเศษซากของสงครามถูกยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ภาพนี้จึงเป็นเสมือนอนุสาวรีย์ให้กับผู้ถูกกดขี่ที่จะไม่มีวันถูกลืม

The Third of May 1808 ผลงานของ ฟรันซิสโก โกยา (Francisco Goya) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1814

The Third of May 1808 ผลงานของ ฟรันซิสโก โกยา (Francisco Goya) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1814

ไวส์มีความเห็นว่าโกยาได้ทำให้ศิลปะเปลี่ยนบทบาทจากการประดับบารมีของอำนาจ มาเป็นสนามแห่งความขัดแย้งระหว่างการครอบงำกับการต่อต้าน ผลงานของเขาจึงไม่เพียงบันทึกภาพอดีต แต่ยังส่องสว่างให้ผู้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ว่าศิลปะสามารถเป็นทั้งคำสารภาพและเสียงตะโกนของผู้ที่ถูกทำให้เงียบ ดังนั้น ในมุมมองเรื่องสุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้าน ศิลปะของโกยาจึงมิได้เป็นเพียงความงาม หากคือเครื่องมือของการต่อสู้ ดุจดั่งแสงไฟเล็ก ๆ ที่ส่องจากผืนผ้าใบและภาพพิมพ์ มอบพลังใจให้ผู้ถูกกดขี่ได้เห็นว่า แม้ความตายและความพ่ายแพ้จะรุมเร้าแต่เสียงของพวกเขาจะยังคงก้องอยู่ในงานศิลป์ที่ไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ถูกผูกขาดโดยผู้มีอำนาจ

พิจารณาเช่นนี้ สุนทรียศาสตร์แห่งการต่อต้านจึงมุ่งเน้นการปล่อยปล่อยให้สุนทรียศาสตร์ได้พบห้วงเวลาที่หลุดออกจากการถูกจองจำด้วยมุมมองและโลกทัศน์และประสบการณ์ของชนชั้นนำ ศิลปะควรถูกตั้งคำถามให้มากขึ้นว่าใครกันแน่ที่สร้างงานเหล่านี้? ใครได้กำหนดความหมาย? และใครถูกละทิ้งออกไปจากเรื่องเล่า? การพินิจงานศิลปะด้วยท่าทีและมุมมองของไวส์จึงเป็นการทำให้ผู้ถูกกดขี่เห็นว่าตนเองมีส่วนร่วมอยู่ในเส้นทางยาวไกลของการต่อสู้ทางประวัติศาสตร์ ทั้งยังเป็นการคืนสิทธิในการตีความศิลปะให้แก่ชนชั้นล่างและผู้ถูกกดขี่ ผู้ที่ไม่เคยถูกนับว่าเป็นเจ้าของเสียงในประวัติศาสตร์

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนในโลกร่วมสมัยคงจะเป็นการทำงานด้านกราฟฟิตี ปีเตอร์ เบงต์เซน (Peter Bengtsen) นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยลุนด์ ผู้มีชื่อเสียงจากการศึกษาเรื่องกราฟฟิตีและศิลปะข้างถนน ได้เสนอว่าศิลปะแขนงนี้มีลักษณะกำกวมโดยเนื้อแท้ เนื่องจากมันมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านเทคนิคและวิธีการ อีกทั้งยังสร้างความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการเล่าเรื่องในพื้นที่สาธารณะ

ปีเตอร์ เบงต์เซน

ปีเตอร์ เบงต์เซน

ภาพกราฟิตี้ใหม่ของ Banksy ที่ด้านนอกของศาลสูงในลอนดอน แสดงภาพผู้พิพากษากำลังใช้ค้อนตีผู้ประท้วงที่นอนอยู่บนพื้น ได้รับการตีความว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วง "Palestine Action" ซึ่งถูกประกาศให้เป็นกลุ่มก่อการร้ายโดยรัฐบาลอังกฤษ หลังจากสมาชิกของกลุ่มได้ก่อเหตุทำลายฐานทัพของกองทัพอากาศอังกฤษ

ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและความเคลื่อนไหวทางศิลปะหลังจากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2554 เป็นต้นมาก็มีความน่าสนใจและเป็นดังสนามประลองแห่งการตีความสถานะของศิลปะเป็นอย่างมาก การเคลื่อนไหวของกลุ่ม Artn’t ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการทำให้คนสามัญทั่วไปเข้ามาเป็นผู้ผลิตความหมายทางศิลปะ โดยพยายามเกาะกุมหัวใจของปัญหาทางการเมืองและความไม่เป็นธรรมมากกว่าไวยกรณ์ทางศิลปะที่ถูกสลักเสลาจากสำนักวิชา หรือการเกิดขึ้นของกลุ่มศิลปะปลดแอกที่พยายามปลุกประวัติศาสตร์ประชาชนให้ฟื้นคืนมามีชีวิตอีกครั้ง ผ่านกิจกรรมและปฏิบัติการทางศิลปะต่าง ๆ ซึ่งแทบไม่ต่างไปจากจิตวิญญาณที่ไวส์พยายามถ่ายทอดผ่านเรื่องราวการตีความภาพศิลปะในพิพิธภัณฑ์เพื่อให้แรงงานหนุ่มเห็นเส้นทางการต่อสู้ของตนเอง

ในสังคมไทย รัฐมักจะใช้อนุสาวรีย์หรือผลงานทางศิลปะไทยในแกลเลอรีเพื่อเล่าเรื่องชาติและสถาบัน ทว่า การปลดแอกสุนทรียศาสตร์ให้กับผลงานทางศิลปะนั้นเกิดขึ้นประหนึ่ง “เรื่องเล่าคู่ขนาน” และตอบโต้ด้วยการจัดงานแสดงศิลปะข้างถนน หรือแม้แต่ “การทวงคืนหอศิลป์” ของนักศึกษาสาขาวิชาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่ได้กลายเป็นสนามต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ นักศึกษาได้ทำให้หอศิลป์ที่ถูกปิดตายและมีสภาวะคล้ายกองซีเมนต์ตะไคร่ดำขนาดใหญ่ได้กลายเป็นพื้นที่สาธารณะ จัดนิทรรศการเสียดสีการเมือง ผลงานเหล่านี้ไม่ใช่เพียงศิลปะในความหมายดั้งเดิม แต่คือการ “ประกาศสิทธิในการตีความศิลปะ” ของนักศึกษาและประชาชน การทวงคืนหอศิลป์จึงเป็นเสมือนการท้าทายว่าศิลปะไม่ใช่สมบัติของรัฐหรือมหาวิทยาลัยแต่เพียงอย่างเดียว ทว่าเป็นของผู้คนและสามารถถูกใช้เพื่อบอกเล่าความจริงทางการเมืองได้

ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ นี้สอดคล้องกับสิ่งที่ ฮันนาห์ อาเรนท์ (Hannah Arendt) นักปรัชญาการเมือง ได้อธิบายว่าพื้นที่แห่งการปรากฏตัว (Space of Appearance) คือหัวใจสำคัญของการปรับเปลี่ยนโลกและการรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของโลก พื้นที่ดังกล่าวหมายถึงพื้นที่ซึ่งประชาชนสามารถมาปรากฏตัวร่วมกัน เพื่อแสดงออกทางการเมือง เป็นพื้นที่แห่งเสรีภาพที่ทุกคนสามารถพูด แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนทัศนะ และกระทำการทางการเมืองร่วมกันได้ อาเรนท์ถือว่าพื้นที่นี้คือเงื่อนไขสำคัญของการมีชีวิตทางการเมืองที่แท้จริง เพราะการเป็น "พลเมือง" ต้องอาศัยการเข้าร่วมและปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่น พื้นที่แห่งการปรากฏตัวนี้เชื่อมโยงกับพื้นที่อีกประเภทที่อาเรนท์เรียกว่า “โลกที่มีร่วมกัน” (Common World) ซึ่งหมายถึงโลกของอารยธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งรวมทั้งศิลปะ วัฒนธรรม และสถาบันทางสังคมต่าง ๆ โลกที่มีร่วมกันนี้เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงคนรุ่นหนึ่งกับอีกรุ่นหนึ่ง และทำให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยมีความหมายแห่งชีวิตและและความใฝ่ฝันร่วมกัน (Arendt 1998)

มรดกสำคัญของไวส์คือการยืนยันว่าศิลปะสามารถเป็น “พื้นที่แห่งการต่อต้าน” มันคือการสร้างโลกที่ชนชั้นล่างและแรงงานสามารถปรากฏตัวขึ้นอย่างอย่างมีศักดิ์ศรีและสามารถเข้าถึงการให้ความหมายเชิงสุนทรียศาสตร์ได้ ผมนึกถึงสิ่งที่เรียกว่าไม่มีสุนทรียศาสตร์ใดเหนือกว่าสุนทรียศาสตร์อื่น แม้ว่าในความเป็นจริง ผลงานศิลปะเชิงสถาบันอาจมีมูลค่าและคุณค่าสูงกว่ารอยขูดขีดด้วยความคับแค้นข้างทางเท้า ผลงานศิลปะที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐโดยศิลปินที่มีชื่อเสียงอาจถูกยอมรับได้ง่ายกว่าผลงานของช่างสักชาวไทยใหญ่ที่มือกุมกระป๋องสเปรย์หรือนักศึกษาที่ทำผลงานอย่างธงชาติไร้แถบน้ำเงิน ในโมงยามที่ความคิดเชิงวิพากษ์และงานศิลปะการเมืองได้รับการยอมรับและเป็นจุดสนใจในระบบนิเวศทางศิลปะทั้งการแสดงในแกลเลอรีและในโลกของนักสะสม เราอาจเห็นภาพว่านัยทางการเมืองในผลงานศิลปะเริ่มกลายเป็นกิมมิคหรือกลอุบายเพื่อดึงดูดความสนใจมากกว่าความซื่อตรงกับประเด็นปัญหา เราอาจเห็นว่าผลงานศิลปะเริ่มกลายเป็นผลิตภัณฑ์โดยศิลปินมากขึ้น แต่เราก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าในโมงยามเดียวกัน คนไร้นามและไร้สถานะจำนวนมากกำลังเขียนประวัติศาสตร์ประชาชนขึ้นมาใหม่ผ่านงานที่ไม่ถูกเรียกขานว่าเป็นศิลปะ รวมไปถึงการถูกจับกุม คุมขัง และถูกดำเนินคดี

คนเหล่านี้ต่างหากคือฐานรากที่ทำให้ศิลปะเป็นดังญาติมิตรอันชิดเชื้อของผู้ไร้เสียง และคือผู้ดึงศิลปะลงมาให้ต่ำเรี่ยผืนดินในระดับเดียวกับคนธรรมดาผู้กำลังยืนหยัดและดิ้นรนในโลกของความไม่เป็นธรรม ให้ศิลปะได้รู้จักหยาดเหงื่อและน้ำตาของชนชั้นล่างที่มิอาจระเหยขึ้นไปบนท้องฟ้า

อ้างอิง
Arendt, Hannah. The Human Condition, 2nd ed. Chicago: University of Chicago Press,
[1958] 1998.
Bengtsen, Peter. The Street Art World. Lund: Almendros de Granada Press, 2014.
Bengtsen, Peter. Street Art and the Environment. Lund: Almendros de Granada Press, 2018.
Weiss, Peter. The Aesthetics of resistance, Volume I. Translated by Joachim Neugroschel.
Durham, NC: Duke University Press, 2005.
Weiss, Peter. The aesthetics of resistance, Volume II. Translated by Joel Scott. Durham, NC:
Duke University Press, 2020.