สำรวจคอนเซปต์ของ XG เกิร์ลกรุ๊ปจากอนาคต Y3K และจักรวาลไซเบอร์พังก์ญี่ปุ่น

Post on 3 October 2025

XG หรือ Xtraordinary Girls คือหนึ่งในปรากฏการณ์น่าสนใจของวงการดนตรีร่วมสมัย เกิร์ลกรุ๊ปเชื้อสายญี่ปุ่นที่ก่อตั้งโดย XGALX บริษัทลูกของ Avex แต่เลือกใช้เกาหลีใต้เป็นฐานการทำงาน เปิดตัวในปี 2022 ด้วยสมาชิก 7 คน ได้แก่ Jurin, Chisa, Hinata, Juria, Cocona, Maya และ Harvey แม้ทั้งหมดเป็นชาวญี่ปุ่น แต่กลยุทธ์กลับพุ่งตรงสู่ตลาดโลก ผ่านเพลงภาษาอังกฤษและการโปรโมตในเกาหลีใต้ การเลือกใช้ภาษาหลากหลายไม่เพียงเป็นกลยุทธ์การตลาด หากยังสะท้อนอุดมการณ์ของ XG ที่ต้องการเชื่อมโยงผู้ฟังข้ามพรมแดนวัฒนธรรมในยุคดิจิทัล

ชื่อ “Xtraordinary Girls” บ่งบอกถึงความทะเยอทะยานที่จะก้าวออกจากความธรรมดา ส่วนชื่อแฟนคลับ “Alphaz” ชี้ถึงหมาป่าฝูงแรกที่นำพาไปสู่ดินแดนใหม่ ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวคิดการสร้างจักรวาลที่ศิลปินและแฟนคลับเดินทางร่วมกัน พร้อมกับการนิยามแนวดนตรี “X-POP” ที่ผสม K-pop และ J-pop เข้ากับฮิปฮอป R&B และอิเล็กทรอนิกส์ ผลลัพธ์คือเสียงเพลงที่สดใหม่ ดึงดูด และข้ามขอบเขตสัญชาติ

สิ่งที่ทำให้ XG แตกต่างไม่ใช่เพียงดนตรีหรือทักษะการแสดง แต่คือการออกแบบภาพลักษณ์ในเชิงวิชวล พวกเธอนำแรงบันดาลใจจาก Japanese Cyberpunk มาขยายความ โลกที่เต็มไปด้วยเมืองอนาคต เทคโนโลยี แสงนีออน และความตึงเครียดระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร ภายใต้คอนเซปต์นี้ XG ไม่ได้ถูกวางให้เป็นแค่ “ไอดอลหญิง” แต่คือ “เกิร์ลกรุ๊ปจากอนาคต” หรือแม้กระทั่งจาก “กาแล็กซีอันไกลโพ้น”

ในเชิงแฟชั่น พวกเธอใช้สตรีทแวร์ผสานองค์ประกอบโลกอนาคต เติมเต็มด้วยสีสันจัดจ้าน กราฟิกคมชัด และการออกแบบเชิงทดลอง ภาษาภาพนี้ไม่เพียงสะท้อนตัวตน แต่ยังเปิดประตูสู่โลกทางเลือกที่ผู้ชมสามารถร่วมสำรวจไปด้วยกัน ที่สำคัญ แฟชั่นยังทำงานเป็นสัญญะทรงพลังที่ท้าทายกรอบเดิมของอุตสาหกรรมไอดอล ซึ่งมักยึดติดกับภาพลักษณ์บริสุทธิ์ไร้ตำหนิ การนำเสนอความแข็งแรงและล้ำสมัยจึงเป็นการประกาศว่า ผู้หญิงในโลกอนาคตสามารถสร้างอัตลักษณ์ของตนเองได้อย่างอิสระ

ทั้งหมดนี้ทำให้ XG ไม่ได้เป็นแค่เกิร์ลกรุ๊ป แต่คือการทดลองเชิงวัฒนธรรมที่ผสานดนตรี แฟชั่น การแสดง และวิชวลเข้าด้วยกัน พวกเธอเป็นทั้งผลงานศิลปะและโมเดลธุรกิจ เป็นทั้งเสียงเพลงที่จับต้องได้และโลกสมมติที่ผู้ชมสามารถดำดิ่งเข้าไป การเรียก XG ว่า “เกิร์ลกรุ๊ปจากกาแล็กซีอันไกลโพ้น” จึงไม่ใช่คำเกินจริง หากแต่สะท้อนความพยายามในการสร้างอนาคตใหม่ของวงการเพลง …อนาคตที่ไร้พรมแดนทางภาษา วัฒนธรรม หรือเพศสภาพ และอนาคตที่ดนตรีกลายเป็นจักรวาลซึ่งทุกคนล้วนมีที่ยืนร่วมกัน

คลิกไปสำรวจคอนเซปต์ของวงเกิร์ลกรุ๊ปแห่งอนาคตในภาพต่อไป หรือใครอยากเม้ามอย ไปจอยกันได้ที่ #ARTDECODE EP. ถอดสัญญะ XG เกิร์ลกรุ๊ปจากกาแล็กซีอันไกลโพ้น กับคอนเซปต์ Japanese Cyberpunk

XG เกิร์ลกรุ๊ปจากอนาคต Y3K และการเดินทางข้ามจักรวาลของฝูงหมาป่า

สำหรับเหล่าอัลฟ่าแล้ว XG ไม่ได้เป็นเพียงเกิร์ลกรุ๊ป แต่คือโปรเจกต์ศิลปะเชิงจักรวาลที่ผสานแฟชั่น Y3K เรื่องเล่าไซไฟ และดนตรีเข้าด้วยกัน พวกเธอสร้าง “จักรวาลเรื่องเล่า” สำหรับ Gen Z และ Gen Alpha ถ่ายทอดออกมาในรูปแบบของโลกที่ไร้พรมแดนทางภาษา วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ ทุกบทเพลงคือเสี้ยวหนึ่งของการเดินทาง และทุกเสียงหมาป่าคือการประกาศอนาคตใหม่ของวงการเพลง

เมื่อพูดถึงเกิร์ลกรุ๊ปร่วมสมัยที่สร้างคอนเซปต์ได้ทรงพลัง ชื่อที่ต้องถูกยกมาคือ XG หรือ Xtraordinary Girls พวกเธอไม่ได้โดดเด่นแค่เสียงเพลงหรือการแสดง แต่ยังเป็นตัวแทนของแฟชั่นและวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่า Y3K สัญลักษณ์แห่งอนาคตศตวรรษที่ 31

หาก Y2K คือการหวนสู่ยุคปี 2000 ด้วยโทนเรโทรและเทคโนโลยีใกล้ตัว Y3K กลับพุ่งทะลุไปยังโลกศตวรรษที่ 31 ผ่านวัสดุเมทัลลิก เส้นสายดิจิทัล และโทนไซไฟแบบไซเบอร์พังก์ สำหรับ XG มันคือการประกาศว่า พวกเธอไม่ใช่แค่ “ศิลปินร่วมสมัย” แต่คือ “ศิลปินจากอนาคต”

ในจักรวาลของ XG สมาชิกทั้งเจ็ดถูกเล่าเรื่องในฐานะสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวผู้เดินทางข้ามดวงดาว โดยมี “หมาป่า” เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียว ทุกเพลงและมิวสิกวิดีโอจึงกลายเป็น “บทตอน” ของมหากาพย์การเดินทาง ตั้งแต่ SHOOTING STAR ที่วางหมาป่าในฐานะสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติ, LEFT RIGHT ที่พาฝูงขึ้นยานอวกาศ, HESONOO – XGENE ที่ลงจอดดาวใหม่, ไปจนถึง GRL GVNG ที่แสดงด้านการต่อสู้และการปกป้องฝูง

เรื่องราวเข้มข้นขึ้นเมื่อพวกเธอเผยความเป็น “มิวแทนท์” ใน TGIF การเฉลิมฉลองความแตกต่าง, คืนความสดใสกับ NEW DANCE, วิพากษ์สังคมใน PUPPET SHOW, ยืนหยัดอย่างทรงพลังใน WOKE UP และเผยพลังเหนือมนุษย์ใน SOMETHING AIN’T RIGHT ก่อนจะผ่อนคลายกับ IYKYK และนำไปสู่ไคลแม็กซ์ใน HOWLING ที่เป็นเหมือนบทกู่ร้องของหมาป่าผู้ประกาศชัยชนะ

ไซเบอร์พังก์ญี่ปุ่น: ประวัติศาสตร์ บาดแผล และการเกิดใหม่ในจักรวาล XG

ถ้าพูดถึง ไซเบอร์พังก์ ชื่อที่มักจะถูกหยิบขึ้นมาเป็นต้นแบบแรกก็คือ วิลเลียม กิบสัน ผู้ประดิษฐ์แนวคิด cyberspace และผู้เขียน Neuromancer (1984) ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัตินิยายไซไฟยุคใหม่ กิบสันไม่ได้เพียงเล่าเรื่องอนาคต แต่เขาทำให้เราเห็นว่า เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ และมหานครที่เชื่อมโยงกันด้วยเครือข่าย ล้วนกลายเป็นเวทีของความขัดแย้งด้านอัตลักษณ์ ความเป็นมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

ในสายตาของกิบสัน ประเทศที่ใกล้เคียงกับจินตนาการไซเบอร์พังก์มากที่สุดคือ ญี่ปุ่น ยุคนั้นเศรษฐกิจกำลังพุ่งทะยาน เทคโนโลยีล้ำสมัย เมืองเต็มไปด้วยไฟนีออน ห้างสรรพสินค้า และเครื่องจักรกลอัตโนมัติ ขณะเดียวกันก็มีวัฒนธรรมย่อยที่เข้มข้น ญี่ปุ่นจึงเป็นเสมือน “อนาคตที่จับต้องได้” ของโลกจริง

แต่ภาพลักษณ์ “ประเทศแห่งอนาคต” ของญี่ปุ่นไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มา ย้อนกลับไปสมัยเมจิ ญี่ปุ่นเปิดรับเทคโนโลยีตะวันตกอย่างรวดเร็วและกลายเป็นชาติอุตสาหกรรมแรกของเอเชีย ความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดนี้นำมาซึ่งทั้งความรุ่งเรืองและความสับสนทางอัตลักษณ์ ต่อมา ญี่ปุ่นเข้าสู่ยุครัฐทหารอุตสาหกรรม เผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก และจบลงด้วยหายนะจากระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ หลังสงคราม ญี่ปุ่นถูกกำหนดทิศทางใหม่ภายใต้นโยบาย “สังคมวิศวกรรม” ที่เน้นการฟื้นฟูด้วยเทคโนโลยี ทำให้ประเทศนี้มีลักษณะสองด้านในเวลาเดียวกัน ด้านหนึ่งรักษาขนบและวัฒนธรรมเก่าไว้อย่างเหนียวแน่น แต่อีกด้านพร้อมเปลี่ยนแปลงทันทีเมื่อถูกแรงกดดันจากประวัติศาสตร์และเทคโนโลยี

ผลลัพธ์คือ ญี่ปุ่นถูกมองว่าไม่อยู่บนเส้นเวลาเดียวกับโลกตะวันตก หากแต่เหมือนก้าวล่วงเข้าสู่อนาคตอยู่เสมอ เมืองนีออนและตึกสูงเสียดฟ้าเป็นทั้งภาพของความเจริญและความเหงา หุ่นยนต์ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องจักรไร้วิญญาณ หากแต่มี “จิตวิญญาณ” ได้ในสายตาของผู้คน และมนุษย์กับเครื่องจักรถูกมองว่าแทบจะแยกไม่ออก

ไซเบอร์พังก์แบบญี่ปุ่นจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะ ต่างจากโลกตะวันตกอย่างชัดเจน ความเชื่อเรื่องคามิในศาสนาชินโตทำให้สิ่งไม่มีชีวิต เช่น เครื่องจักรหรือ AI อาจมีจิตวิญญาณได้ ขณะเดียวกันแนวคิดพุทธเรื่อง “มุโจ” หรือความไม่เที่ยงสะท้อนผ่านเรื่องเล่าที่ตัวละครต้องเผชิญการสูญสลายและการเกิดใหม่ในโลกดิสโทเปีย บาดแผลจากสงครามโลก โดยเฉพาะระเบิดปรมาณู ทำให้สังคมญี่ปุ่นไม่ได้ถามเพียงว่าเทคโนโลยีทำอะไรได้ แต่ถามต่อว่าเราควรใช้มันหรือไม่ และจะควบคุมมันได้จริงหรือเปล่า

ตัวอย่างสำคัญคือ Akira (1988) ที่เล่าเรื่องเมืองนีโอ–โตเกียวหลังหายนะระเบิดปริศนา ผ่านคาเนดะและเท็ตสึโอะ เราได้เห็นการกบฏของเยาวชน ความสับสนทางอัตลักษณ์ และความหวาดกลัวต่อพลังเทคโนโลยีที่ควบคุมไม่ได้ อีกผลงานคือ Ghost in the Shell (1995) ที่ตั้งคำถามเชิงปรัชญาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ ผ่าน Major Motoko Kusanagi ผู้มีร่างกายเป็นไซบอร์กแต่ยังคงมี “โกสต์” หรือแก่นวิญญาณบางอย่าง

Akira

Akira

ความงามแบบไซเบอร์พังก์ญี่ปุ่นไม่ได้หยุดอยู่ในวรรณกรรมหรือแอนิเมชัน แต่ยังส่งต่อแรงบันดาลใจสู่โลกวัฒนธรรมร่วมสมัย ตัวอย่างชัดเจนคือ XG เกิร์ลกรุ๊ปเชื้อสายญี่ปุ่นที่สร้างจักรวาลของตนเองผ่านภาพลักษณ์ “เอเลี่ยนจากอนาคต” เพลง Howling ดึงแรงบันดาลใจจาก Princess Mononoke ผ่านภาพฝูงหมาป่าและพลังดึกดำบรรพ์ GRL GVNG ถ่ายทอดความโกลาหลของเมืองที่ชวนให้นึกถึง Akira ส่วน Gala แฝงกลิ่นอายของ Ghost in the Shell ด้วยภาพที่มนุษย์และดิจิทัลผสานเป็นสิ่งเดียวกัน

XG - Howling

XG - Howling

Princess Mononoke

Princess Mononoke

ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า XG ไม่ได้เพียงหยิบภาพแฟชั่นล้ำอนาคตมาใช้ แต่กำลังต่อยอดจากรากไซเบอร์พังก์ญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ปรัชญา และบาดแผลทางสังคม พวกเธอกำลังทำให้อดีตและอนาคตผสานกันเป็นจักรวาลใหม่ที่เล่าผ่านเสียงดนตรี วิชวล และแฟชั่น ภาพอนาคตที่เราเห็นในญี่ปุ่นจึงไม่ใช่เพราะประเทศนี้วิ่งไล่ตามอนาคต แต่เพราะญี่ปุ่นอยู่ในอนาคตมาตลอด และวันนี้ XG กำลังนำอนาคตนั้นกลับมามีชีวิตอีกครั้งในแบบที่ร่วมสมัยและเข้าถึงได้

Cho Gi-seok กับการสร้างจักรวาลฟิวเจอริสติกแบบเอเชีย

หากย้อนกลับมาที่ศิลปินร่วมสมัยที่ต่อยอดรากไซเบอร์พังก์เอเชีย Cho Gi-seok เป็นชื่อที่มักถูกหยิบขึ้นมาเป็นอันดับแรก ช่างภาพคอนเซปต์ชาวเกาหลีใต้ผู้เกิดในปี 1992 คนนี้ไม่ได้เป็นเพียงช่างภาพทั่วไป แต่เป็นนักเล่าเรื่องผ่านภาพที่สามารถผสานแฟชั่น ดนตรี และวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกัน เขาเป็นที่ต้องการของแฟชั่นเฮาส์ระดับโลกและศิลปินป๊อปไอคอนทั้งฝั่งตะวันตกและเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น Red Velvet, Le Sserafim, Jennie, Billie Eilish ไปจนถึง XG วงเกิร์ลกรุ๊ปจากญี่ปุ่น ซึ่งในหลายโปรเจกต์เขากลายเป็นผู้สร้างจักรวาลภาพลักษณ์ให้กับพวกเธออย่างแท้จริง

Le Sserafim

Le Sserafim

Red Velvet

Red Velvet

Jennie

Jennie

เส้นทางของ Cho Gi-seok น่าสนใจตรงที่เขาไม่ได้เรียนตามขนบวิชาช่างภาพหรือแฟชั่น แต่เรียนรู้ด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 21 ปี ด้วยการเสพภาพนับล้านบนอินเทอร์เน็ต เขาพบว่าโลกของภาพแฟชั่นและศิลปะมักไม่สะท้อนรากวัฒนธรรมเอเชียที่เขาคุ้นเคย นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาหันมาศึกษาประติมานวิทยา สัญลักษณ์ และตำนานพื้นบ้านเอเชีย เพื่อถ่ายทอดเอกลักษณ์เกาหลีและเอเชียยุคใหม่ ผ่านการสร้างเรื่องราวของผู้คน สถานที่ และจินตนาการที่อยู่เหนือโลกปัจจุบัน

งานของเขาจึงเต็มไปด้วยรากวัฒนธรรมเอเชีย ตั้งแต่ ฮันบกตีความใหม่ หน้ากากพื้นบ้านเกาหลี ไปจนถึงแรงบันดาลใจจากไพ่ยูกิหรือ Yu-Gi-Oh! และมังงะญี่ปุ่น ทุกองค์ประกอบถูกผสานเข้ากับวิชวลสไตล์ ไซไฟ อวองการ์ด และแฟชั่นฟิวเจอริสติก กลายเป็นงานสดใหม่ สะดุดตา และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

Cho Gi-seok เคยอธิบายว่า เขาเคยหลีกเลี่ยงที่จะใช้ความเป็นเอเชียในงานของเขา แต่ปัจจุบันกลับโอบรับสิ่งนี้อย่างเต็มที่ เพราะเขามองว่า หากช่างภาพตะวันตกใช้ปกรณัมกรีกในการถ่ายทอดผลงานได้ได้ ทำไมเราจะใช้ปกรณัมเอเชียไม่ได้

สิ่งที่ทำให้ Cho Gi-seok โดดเด่นไม่ใช่เพียงสไตล์ภาพ แต่เป็นความสามารถในการ สร้างสะพานระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นกับภาพอนาคต ภาพของเขาไม่ได้เป็นเพียงการตกแต่งผิวเผิน แต่เป็นการเล่าเรื่องที่หยั่งรากลึกในจิตวิญญาณเอเชีย ถ่ายทอดความเชื่อ ศาสนา ตำนาน และสัญลักษณ์ ให้กลายเป็นองค์ประกอบที่เข้ากับแฟชั่นร่วมสมัย ดนตรี และวิชวลคอนเซปต์ ทำให้ผลงานของเขาสามารถเข้าถึงผู้ชมทั้งในเอเชียและโลกตะวันตก

เมื่อนำมองผลงานของ XG จะเห็นได้ชัดเจนว่าภาพลักษณ์ เอเลี่ยนจากอนาคตที่ยังมีรากเอเชีย ไม่ใช่เพียงคอนเซปต์แฟนตาซี แต่เป็นการต่อยอด รากไซเบอร์พังก์เอเชีย ที่ถูกปรับให้ร่วมสมัยและเข้าถึงได้ ทั้งแฟชั่น วิชวล และดนตรีของ XG ล้วนสื่อสารความเป็นเอเชียยุคใหม่ในจักรวาลอนาคต เป็นการสร้างโลกที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์และจินตนาการ แต่ยังมีรากเหง้าในวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างชัดเจน

“GALA” ของ XG: อีสเตอร์เอ้กแห่งวัฒนธรรมและแฟชั่นที่ซ่อนอยู่ในทุกเฟรม

เพลงและมิวสิกวิดีโอ GALA ของ XG ไม่ใช่แค่เวทีแสดงพลังดนตรีและแฟชั่นล้ำสมัย แต่ยังเต็มไปด้วยอีสเตอร์เอ้กหรือการซ่อนรายละเอียดที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์ และไอคอนร่วมสมัย ตั้งแต่การอ้างอิงถึง ฮาตโตริ ฮันโซ ซามูไรและนินจาผู้เลื่องชื่อ ที่สื่อถึงความกล้าหาญและความชาญฉลาด ไปจนถึงการหยิบแรงบันดาลใจจากแฟชั่นและตัวละครในภาพยนตร์อย่าง Mugatu จาก Zoolander หรือสไตล์แปลกตาแบบ Dennis Rodman และแฟชั่นฮาราจูกุ การซ่อนรายละเอียดเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความลึกให้กับ MV แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของวงและทีมงานในการผสมผสานดนตรี แฟชั่น และวัฒนธรรมเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด

Hajime Sorayama กับโลโก้ GALA: การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีและแฟนตาซี

โลโก้สำหรับซิงเกิลและอัลบั้มเต็มชุดแรกของ XG เรื่อง GALA ถูกออกแบบโดย Hajime Sorayama ศิลปินและนักวาดชาวญี่ปุ่นผู้เกิดในปี 1947 โลโก้นี้ถูกเผยโฉมครั้งแรกในช่วงต้นเดือนกันยายน 2025 เพื่อโปรโมตซิงเกิล GALA ที่วางจำหน่ายในวันที่ 19 กันยายน 2025

Hajime Sorayama เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานภาพวาดหุ่นยนต์เพศหญิงที่สมจริงจนเกือบเหมือนภาพถ่าย เขาเรียกสไตล์นี้ว่า superrealism หรืออภิความเป็นจริง ผลงานของเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในระดับสากลผ่านซีรีส์ Sexy Robot ตั้งแต่ปี 1978 ซึ่งผสานรูปร่างทางชีวกลศาสตร์กับความงามแห่งโลกอนาคตเข้ากับลักษณะของมนุษย์เพศหญิงอย่างมีชีวิตชีวาและเย้ายวน ผลงานของ Sorayama แสดงให้เห็นการหลอมรวมระหว่างสิ่งมีชีวิตและกลไกจักรกลอย่างเป็นเอกลักษณ์ พร้อมผสมสุนทรียศาสตร์แบบนิยายวิทยาศาสตร์เข้ากับความเร้าอารมณ์

Sorayama เริ่มต้นศึกษาด้านวรรณคดีอังกฤษและภาษากรีกโบราณ ก่อนเปลี่ยนมาศึกษาศิลปะและสำเร็จการศึกษาจาก โรงเรียนศิลปะ Chuo ในโตเกียว เขาเริ่มต้นอาชีพในวงการโฆษณา ก่อนผันตัวมาเป็นนักวาดอิสระ ผลงานออกแบบที่โดดเด่นของเขารวมถึงการมีส่วนร่วมในการออกแบบ สุนัขหุ่นยนต์ Sony AIBO รุ่นดั้งเดิมด้วย

ผลงานและสไตล์ของ Sorayama ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกในการผสาน เทคโนโลยี แฟนตาซี และเนื้อหาเชิงอีโรติก เข้าด้วยกัน ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อศิลปินและดีไซเนอร์ร่วมสมัยหลายคน เช่น The Weeknd, คอลเลกชันแฟชัน Robot couture ของ Thierry Mugler และแม้กระทั่งการดีไซน์หุ่นยนต์เอวาในภาพยนตร์ Ex Machina ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ด้านแฟนตาซีและเทคโนโลยีในรูปแบบเฉพาะตัว

สำหรับ XG โลโก้ของ Sorayama ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ประจำอัลบั้ม แต่เป็นส่วนหนึ่งของ จักรวาลภาพลักษณ์อนาคต ที่ผสมผสานเอเชียฟิวเจอริสติกเข้ากับไซไฟและแฟนตาซี ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของวงในฐานะ เอเลี่ยนจากอนาคต ที่ยังคงรากวัฒนธรรมเอเชียไว้อย่างชัดเจน

“Look so sharp, Hattori Hanzo linen”
จากนินจาในตำนานสู่ Kill Bill และเพลง Chill Bill ของ XG

หนึ่งในท่อนเพลงของ XG จากซิงเกิล Gala มีเนื้อร้องว่า "Look so sharp, Hattori Hanzo linen" ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึง ฮาตโตริ ฮันโซ ซามูไรและนักยุทธศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงในยุคเซ็งโงกุของญี่ปุ่น (ประมาณ ค.ศ. 1542–1597) ฮันโซได้รับฉายา “โอนิ โนะ ฮันโซ” หรือ “ฮันโซปีศาจ” จากความกล้าหาญและความชาญฉลาดในการวางแผนทางทหาร รวมถึงบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโทคุกาวะ อิเอะยาสุให้ขึ้นสู่อำนาจ

ตำนานและมรดกของฮันโซยังสะท้อนในวัฒนธรรมป๊อปยุคใหม่ ทั้งในญี่ปุ่น เช่น การ์ตูนนินจาฮัตโตริ และในฝั่งตะวันตกผ่านภาพยนตร์ Kill Bill ของเควนติน ทารันติโน่ ที่มีตัวละครช่างตีดาบชื่อ Hattori Hanzo ซึ่งเป็นการต่อยอดตำนานซามูไรและนินจาเข้าสู่จินตนาการร่วมสมัย

ฮาตโตริ ฮันโซ ใน Kill Bill

ฮาตโตริ ฮันโซ ใน Kill Bill

การหยิบเอาฮันโซเข้ามาใน MV และเพลง Gala ของ XG ไม่เพียงสร้างความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมญี่ปุ่น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความเฉียบคมและความทรงพลังของภาพลักษณ์วงในฐานะศิลปินเอเชียฟิวเจอริสติก นอกจากนี้ยังมีการล้อเลียนหรือสร้างความเชื่อมโยงกับเพลงยูนิตย่อยอย่าง Chill Bill ของฮาร์วีย์และจูริน ซึ่งเป็นการเล่นกับชื่อหนัง Kill Bill อีกด้วย

“Then I hit 'em with the blue steel, MUGATU”
อีสเตอร์เอ้กแฟชั่นในเพลง Gala ของ XG

ในเพลง Gala ของ XG มีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่ว่า “Then I hit 'em with the blue steel, MUGATU” ซึ่งเป็นการอ้างอิงโดยตรงถึง Jacobim Mugatu ตัวร้ายไอคอนแฟชั่นจากภาพยนตร์ Zoolander ของ Will Ferrell การใช้ชื่อ Mugatu ในเนื้อเพลงไม่เพียงแค่สร้างความสนุกและความล้ำสมัย แต่ยังเป็นอีสเตอร์เอ้กที่สะท้อนถึงแรงบันดาลใจจากวงการแฟชั่นและคาแรกเตอร์สุดโดดเด่นของ Mugatu ที่เต็มไปด้วยความฟุ้งเฟ้อ ความตลกร้าย และการเสียดสีสังคม

Jacobim Mugatu เป็นตัวร้ายไอคอนแฟชั่นจากภาพยนตร์ Zoolander รับบทโดย Will Ferrell ตัวละครนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเสียดสีความฟุ้งเฟ้อและความหรูหราของอุตสาหกรรมแฟชั่นอย่างชัดเจน

แรงบันดาลใจของ Mugatu ถูกกล่าวถึงว่าได้รับอิทธิพลจาก จอห์น กัลลิอาโน นักออกแบบแฟชั่นชาวอังกฤษ ผู้เป็นนักสร้างสรรค์ที่มีชื่อเสียงด้านการผสมผสานแรงบันดาลใจจากผู้คนรอบตัวและเรื่องราวทางสังคมเข้าไปในงานออกแบบ

Jacobim Mugatu

Jacobim Mugatu

จอห์น กัลลิอาโน

จอห์น กัลลิอาโน

ในเรื่อง Zoolander Mugatu พยายามควบคุมจิตใจ Derek Zoolander ให้สังหารนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เพื่อให้แรงงานราคาถูกจากโรงงานผลิตเสื้อผ้ายังคงอยู่ในการใช้งาน แนวคิดเสียดสีนี้สะท้อนถึงความฟุ้งเฟ้อและความโหดร้ายแฝงอยู่ในวงการแฟชั่น ซึ่งสอดคล้องกับความจริงที่เกิดขึ้นในวงการแฟชั่นโลก ตัวอย่างเช่น กัลลิอาโน เคยได้แรงบันดาลใจจากผู้ไร้บ้านที่เขาเห็นขณะวิ่งจ็อกกิงตามแม่น้ำแซนในปารีสและนำมาออกแบบคอลเลกชัน Dior โดยใช้ผ้าไหมพิมพ์ลายหนังสือพิมพ์ ถ่ายทอดความสิ้นหวังและความทุกข์ยาก แต่การออกแบบนี้ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากชุมชนผู้ไร้บ้านที่รวมตัวประท้วงหน้าสำนักงานใหญ่ของ Dior ถือป้ายว่า “ความเสียดสีไม่ใช่เรื่องเท่!” และตะโกนว่า “ให้เกียรติผู้ไร้บ้าน”

นอกจากนี้ ในช่วงปลายปี 2010 ถึงต้นปี 2011 กัลลิอาโนตกเป็นข่าวฉาวจากถ้อยคำวิพากษ์แบบต่อต้านชาวยิวและเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งรวมถึงคำพูดที่รุนแรงต่อผู้หญิงคนหนึ่ง ส่งผลให้เกิดความโกรธแค้นอย่างกว้างขวางในสาธารณะ และได้รับการวิจารณ์อย่างหนักจากหลายฝ่ายในวงการแฟชั่น เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความขัดแย้งในวงการแฟชั่น ทั้งด้านความสร้างสรรค์ การเสียดสีสังคม และการกระทำที่ไม่เหมาะสมของบุคคลสำคัญในวงการเดียวกัน

“Domo arigato, Mr. Roboto”
Japanese Cyberpunk ในเอ็มวี Gala ของ XG

ในเพลง Gala ของ XG มีท่อนหนึ่งที่ยกตรง ๆ เนื้อเพลงจาก “Domo arigato, Mr. Roboto” ของวงร็อกอเมริกัน Styx มาใช้ ซึ่งสร้างความเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ญี่ปุ่นแห่งโลกอนาคตและธีม Japanese Cyberpunk ของวง

เพลง Mr. Roboto ของ Styx ออกในปี 1983 เป็นซิงเกิลนำจากอัลบั้ม Kilroy Was Here และถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการสร้างภาพลักษณ์ญี่ปุ่นในสายตาชาวโลกว่าเป็นดินแดนแห่งหุ่นยนต์และเทคโนโลยีอนาคต โดยมีอิทธิพลจากผลิตภัณฑ์ญี่ปุ่นอย่าง Sony และ Toyota ที่กำลังเป็นที่นิยมในอเมริกาในขณะนั้น

เพลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของร็อกโอเปร่าในโลกอนาคตที่ดนตรีร็อกถูกห้ามโดยกลุ่มควบคุมชื่อ Majority for Musical Morality (MMM) เรื่องราวติดตามนักร้องร็อกชื่อ Kilroy ซึ่งถูกจองจำและหลบหนีโดยปลอมตัวเป็นหุ่นยนต์ เนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่น “Domo arigato, Mr. Roboto” แปลว่า “ขอบคุณมากครับ คุณโรโบโตะ” กลายเป็นวลีติดปากในวัฒนธรรมป๊อปและเป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่างตัวตนที่แท้จริงกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ภายนอก

ธีมหลักของเพลงสำรวจความเป็นตัวตน มนุษยชาติเทียบกับเทคโนโลยี และการต่อต้านอำนาจที่กดขี่ ตัวละครต้องต่อสู้เพื่อรักษาความเป็นมนุษย์ของตนเองในขณะที่ซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากากหุ่นยนต์ เพลงยังสะท้อนสภาวะการทำงานของมนุษย์ในโรงงานหรือแรงงานชนชั้นกลาง ซึ่งถูกเปรียบเทียบกับหุ่นยนต์ ทำให้ผู้ฟังรับรู้ถึงความถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร แต่กลับต้อง “ขอบคุณหุ่นยนต์” ที่เข้ามาแทนที่

ในมิวสิกวิดีโอของ XG หน้ากากแบบกีกี้ที่สมาชิกวงสวมใส่ชวนให้ระลึกถึงเอ็มวี Mr. Roboto ของ Styx การนำองค์ประกอบนี้มาใช้ช่วยสร้างอัตลักษณ์ล้ำอนาคตและสะท้อนธีม Japanese Cyberpunk ของ XG อย่างชัดเจน ทั้งในด้านเทคโนโลยี วิชวลล้ำสมัย และการผสมผสานระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องตัวตนและการต่อสู้เพื่อความเป็นตัวเองของวง

“Changin’ my hair like my last name, Rodman.”
แรงบันดาลใจแห่งแฟชั่นและความมั่นใจของ XG

ในเพลง Gala ของ XG มีท่อนหนึ่งที่พูดถึง Dennis Rodman โดยตรงในเนื้อเพลงว่า “If you don’t get it, that's not my problem. Changin’ my hair like my last name Rodman.” ท่อนนี้สร้างการเชื่อมโยงกับความกล้าหาญในการแสดงออกและสไตล์อันโดดเด่นของอดีตนักบาส NBA ชาวอเมริกัน

Rodman เป็นหนึ่งในผู้เล่นระดับตำนานเรื่องการป้องกันและรีบาวด์ คว้าแชมป์ NBA ถึง 5 สมัย และได้รับการบรรจุ Hall of Fame ในปี 2011 นอกเหนือจากฝีมือบนสนาม เขายังเป็นไอคอนแฟชั่นที่โดดเด่นด้วยสีผมฉูดฉาด รอยสัก และชุดแต่งกายที่ท้าทายกรอบเพศ สะท้อนความมั่นใจในตัวเองและการสนับสนุนชุมชน LGBTQ เขาปรากฏตัวในรายการเรียลลิตี้ ภาพยนตร์ และ New York Fashion Week ซึ่งยืนยันอิทธิพลแฟชั่นร่วมสมัยของเขาอย่างชัดเจน

ลุคของ Rodman มีความหลากหลาย ตั้งแต่เสื้อกั๊กแนวโกธิค กางเกงหนัง ไปจนถึงชุดแฟนซีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากร็อกสตาร์อย่าง Kurt Cobain หรือ Johnny Depp รวมถึงการทาเล็บสีแดง เจาะร่างกาย แขนเสื้อโอเวอร์ไซส์ ผ้าพันคอ และบางครั้งใส่ชุดเจ้าสาว การแต่งกายเหล่านี้สะท้อนความกล้าหาญในการแสดงออก ท้าทายบรรทัดฐานทางเพศ และใช้แฟชั่นเป็นสื่อสื่อสารตัวตน ความรักในตัวเอง และประเด็นสังคม

สำหรับ XG การอ้างอิงถึง Rodman สะท้อนแนวคิดเรื่องความมั่นใจและการไม่ยึดติดกรอบเดิม ๆ ทั้งในแฟชั่น ท่าเต้น และการแสดงออก ทำให้เอ็มวีและเวทีของวงเต็มไปด้วยความสนุก ล้ำสมัย และพลังแห่งการแสดงออกอย่างชัดเจน