เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ คงเคยมองภาพแคปซีนหนึ่งเพียงปราดเดียวก็รับรู้ได้ทันทีว่าภาพยนตร์เรื่องนั้น ๆ มาจากรสมือของผู้กำกับคนใด แต่การจะรู้ได้ว่าโลกในภาพยนตร์ของผู้กำกับคนหนึ่ง เชื่อมโยงกันที่ตรงไหนนั้น อาจขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็น ภาษาภาพ ธีมของเรื่องเล่า วิธีการเล่าเรื่อง บรรยากาศในหนัง นักแสดง หรือแม้กระทั่งวันเวลาที่เผยให้เห็นแนวทางของผู้กำกับชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ฮิโรคาสึ โครีเอดะ (Hirokazu Koreeda) ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นที่เราคุ้นเคยกันจากผลงานภาพยนตร์ดังมากมายอย่าง Nobody Knows (2004), Still Walking (2008), Like Father, Like Son (2013) และ Our Little Sister (2015) คงเป็นตัวอย่างได้ดีสำหรับการสร้างโลกในภาพยนตร์ที่โดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง ผ่านภาพสะอาดตา บรรยากาศอันอ่อนละมุน และวงโคจรความรู้สึกแตกร้าวภายในใจจากการสูญเสียบางสิ่ง เรื่องเล่าในภาพยนตร์โครีเอดะ ร้อยเรียงผ่านเหตุการณ์ง่าย ๆ ที่ทุกคนเจอได้ในทุกวัน เช่น ฉากเดินเล่น หรือบทสนบนโต๊ะอาหาร จนเรื่องเล่าแฝงด้วยท่าทีที่เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าตัวละครจะเจอความเจ็บปวดมากน้อยแค่ไหน พวกเขาก็จะเข้าใจได้ในอนาคตว่านี่คือ ธรรมชาติของชีวิต เช่นเดียวกับผู้ชมที่ดูหนังของโครีเอดะ
“ฉันต้องการสร้างเรื่องโกหกครั้งใหญ่ ที่ผ่านมา ฉันพยายามใช้ธรรมชาติในการค้นหาความจริง แต่ในวันนี้ ฉันจะลองพยายามสร้างเรื่องแต่งเพื่อค้นหาความจริงเหล่านั้นแทน”
ตลอดการทำงานในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ โครีเอดะมักจะเล่าเรื่องราวที่เป็น ‘ธรรมดา’ และ ‘ธรรมชาติ’ เพื่อค้นหาแง่มุมของผู้คนในหลากหลายมิติ แต่แม้ว่าภาพยนตร์ของเขาจะพาให้เราซึมซาบไปกับเสียงใบไม้พริ้วไหว กลิ่นอายของแดดอ่อน ๆ ต้นไม้ใบหญ้า ลมทะเล รวมถึงความละเอียดในการจับสีหน้าท่าทางของตัวละคร จนผู้ชมอย่างเรารู้สึกได้ถึงผิวสัมผัสบางอย่าง แต่ก็ใช่ว่าภาพยนตร์ของโครีเอดะจะเป็น ‘ความจริง’ เสมอไป การที่ผู้ชมอย่างเราอินไปกับบรรยากาศของภาพยนตร์นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ‘เรื่องแต่ง’ ที่เรียงร้อยผ่านอากัปกิริยาของนักแสดงเจ้าประจำผ่านห้วงเวลาหนึ่ง จนผู้ชมบังเอิญดึงเอาความรู้สึกส่วนตัว มาผูกโยงเรื่องราว สร้างประสบการณ์ร่วมที่ชวนสุข เศร้า เหงา ซึ้ง ไปตาม ๆ กัน
เป็นเรื่องน่าสนใจว่า ตัวละครในภาพยนตร์ของโครีเอดะ มักให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นใครที่เราจะเจอได้ตามที่ต่าง ๆ ในชีวิตจริง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการเลือกนักแสดงที่ตัวโครีเอดะสนิทเป็นการส่วนตัว เช่น ฮิโรชิ อาเบะ (Hiroshi Abe) ซึ่งมักจะมาในบทคุณพ่อ Loser อยู่เสมอ ๆ เมื่อพูดถึงตัวละครแบบนี้แล้ว นักแสดงคนหนึ่งที่อยู่คู่กับภาพยนตร์ของโครีเอดะมาโดยตลอดคงเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากคุณยาย คิคิ คิริน (Kirin Kiki) จากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งถึงภาพยนตร์อีกเรื่อง คิคิได้เชื่อมต่อห้วงเวลาด้วยความแก่ชราบนใบหน้าและเรือนร่างของเธอ สิ่งนี้สำคัญอย่างมากกับการสร้างความผูกพันธ์ระหว่างตัวละคร นักแสดง ภาพยนตร์ และผู้ชม ดังนั้น คำพูดที่คิคิเอ่ยในเรื่อง จึงเป็นเหมือนคำพูดของผู้ใหญ่สักคนที่เรารัก และนั่นอาจเป็นที่มาของน้ำตาที่ไหลปริ่มอยู่ในตาเมื่อได้ชมภาพยนตร์ของโครีเอดะ แม้ว่าเรื่องราวในภาพยนตร์แต่ละเรื่องของเขา จะพูดถึงมุมมองที่แตกต่างกันก็ตาม