Memento Mori ศิลปะแห่งการระลึกถึงความตายใน 28 Years Later

Post on 22 June 2025

ในโลกของภาพยนตร์ซอมบี้สุดคลาสสิกอย่าง 28 Years Later ผู้กำกับ แดนนี บอยล์ พาผู้ชมไปพบกับเรื่องราวของผู้คนบนเกาะบริเตนที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายจากการแพร่ระบาดของไวรัสซอมบี้ที่คร่าชีวิตผู้คนไปนับไม่ถ้วน ตัวละครสำคัญที่น่าสนใจที่สุดคือ หมอเคลสัน (รับบทโดย ราฟ ไฟนส์) ที่ไม่ได้แค่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ยังมีภารกิจลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น นั่นคือการสร้างอนุสาวรีย์แห่งความตายที่ประกอบขึ้นจากกะโหลกของผู้เสียชีวิตนับพัน เพื่อเตือนใจว่าทุกชีวิตล้วนต้องพบกับจุดสิ้นสุดตามแนวคิด Memento Mori ซึ่งเป็นคำภาษาละตินที่หมายถึง “จงระลึกไว้ว่า คุณต้องตาย”

แนวคิด Memento Mori มีรากฐานลึกซึ้งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ที่นักปรัชญาได้ตั้งคำถามถึงความหมายของชีวิตผ่านความตาย และความไม่จีรังของสิ่งต่าง ๆ แนวคิดนี้ยังถูกสะท้อนผ่านงานศิลปะหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ภาพวาดโบราณจนถึงงานศิลปะร่วมสมัย ที่ใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อเตือนใจผู้ชมว่า ชีวิตนั้นเปราะบางและสั้นนัก

ในแง่ของศิลปะ แนวคิด Memento Mori มักแสดงออกผ่านภาพของกะโหลกศีรษะ โครงกระดูก นาฬิกาทรายที่เม็ดทรายร่วงโรยเปรียบเหมือนเวลาชีวิตที่ค่อย ๆ หมดลง เปลวเทียนที่ดับลง หรือดอกไม้ที่ร่วงโรยและเน่าเปื่อย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสัญลักษณ์ที่เตือนใจว่าความงามและความสุขในโลกนี้เป็นเพียงชั่วคราว และไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป

ใน 28 Years Later ภาพอนุสาวรีย์กะโหลกที่หมอเคลสันสร้างขึ้น กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนของ Memento Mori ที่เตือนเราอย่างแรงกล้าว่า แม้โลกจะเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความตายก็ยังเป็นความจริงที่เราทุกคนต้องเผชิญ และการรับรู้ถึงความจริงนี้ อาจนำไปสู่การใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและเปี่ยมด้วยความหมายมากขึ้น และนั่นอาจเป็นหนทางรอดในโลกอันล่มสลายแห่งนี้

แล้วแนวคิด Memento Mori นี้สะท้อนออกมาในงานศิลปะอย่างไร? เราไปลองสำรวจกัน

Memento Mori จดจำไว้ว่าเราล้วนต้องตาย

“ความตายเพื่อการดำรงอยู่ที่มีความหมาย” คือจุดมุ่งหมายหลักของแนวคิด Memento Mori ที่สืบย้อนไปได้ถึงยุคกรีกโบราณ เป็นทั้งคำเตือนเชิงสัญลักษณ์และหลักปรัชญาที่สะท้อนถึงความแน่นอนของความตาย และความไม่จีรังของชีวิตมนุษย์ แนวคิดนี้ไม่ได้มุ่งหมายให้มนุษย์รู้สึกหดหู่หรือสิ้นหวัง แต่กลับใช้เป็นแรงกระตุ้นให้ตื่นรู้ ดำรงชีวิตอย่างมีสติ เห็นคุณค่าของเวลา และใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย

Barrett, Socrates Memento Mori Cartouche Design (1750), William Barrett

Barrett, Socrates Memento Mori Cartouche Design (1750), William Barrett

รากฐานของแนวคิดนี้สามารถสืบย้อนไปถึงยุคโบราณ โดยเฉพาะในหมู่ปราชญ์แห่งลัทธิสโตอิก เช่น โสเครติส, เซเนกา เอพิกเตตัส และมาร์คัส ออเรลิอุส ซึ่งต่างเห็นตรงกันว่า การใคร่ครวญถึงความตายอย่างสม่ำเสมอ คือเครื่องมือสำคัญในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม ไม่หลงไปกับสิ่งลวงตา และไม่เสียเวลากับเรื่องไร้สาระ

“ปรัชญาคือการเตรียมตัวตาย” ("philosophy is a preparation for death") คือคำกล่าวอันเลื่องลือของโสเครติส ซึ่งชี้ชัดว่า ความตายไม่ใช่จุดจบที่น่าหวาดกลัว แต่เป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเตรียมรับด้วยความสงบเยือกเย็น เขาแสดงให้เห็นถึงการยอมรับชะตากรรมอย่างไม่หวั่นไหวในช่วงสุดท้ายของชีวิต และเชื่อว่าความตายไม่อาจทำร้ายจิตวิญญาณของผู้มีปัญญาได้ ทัศนคตินี้ส่งอิทธิพลต่อแนวคิดของนักปรัชญาสโตอิกในรุ่นถัดมา

นักปรัชญาอย่าง เซเนกา ก็สอนให้เตรียมใจพร้อมเผชิญความตายในทุกวัน และใช้ชีวิตแต่ละวันให้เสมือนวันสุดท้าย โดยควร “ปิดบัญชีชีวิต” (balance life’s books each day) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้มีสิ่งค้างคา หากเราจากโลกนี้ไป ในทำนองเดียวกัน เอพิกเตตัส ก็สนับสนุนให้ระลึกถึงความไม่แน่นอนของชีวิตผ่านคนใกล้ตัว โดยกล่าวว่า ทุกครั้งที่กอดหรือเจอคนที่เรารัก ควรเตือนตนว่าเราอาจไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นอีก วิธีคิดนี้ไม่ใช่เพื่อสร้างความเศร้า แต่เพื่อปลูกฝังความตระหนักรู้ในคุณค่าของปัจจุบัน

มาร์คัส ออเรลิอุส บันทึกคำสอนเกี่ยวกับความตายไว้ใน Meditations โดยย้ำว่า “เจ้าสามารถจากชีวิตไปได้ทุกเมื่อ จงปล่อยให้สิ่งนี้เป็นตัวกำหนดว่าเจ้าจะทำ พูด หรือคิดอะไร” ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ความตายเป็นกรอบในการกำหนดลำดับความสำคัญของชีวิตให้อยู่บนพื้นฐานของความจริง ถ่อมตน และไม่ประมาท

Vanitas Still Life with a Tulip, Skull and Hour Glass (1671) โดย Philippe de Champaigne

Vanitas Still Life with a Tulip, Skull and Hour Glass (1671) โดย Philippe de Champaigne

ในยุโรปยุคกลาง แนวคิด memento mori ถูกนำไปใช้ในบริบทของศาสนาคริสต์ โดยเป็นเครื่องเตือนใจให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรมและเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตหลังความตาย ความคิดนี้ยังสะท้อนผ่านงานศิลปะ โดยเฉพาะในภาพวาดแนว Vanitas แห่งศตวรรษที่ 17 ซึ่งมักแสดงวัตถุที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความตาย เช่น กะโหลก นาฬิกาทราย หรือเทียนที่ดับแล้ว วางเคียงคู่กับสัญลักษณ์ของความสุขทางโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไม่จีรังและความเปล่าดายของชีวิตที่ยึดติดกับวัตถุ

แม้แนวคิด memento mori จะเกี่ยวข้องกับความตาย แต่แก่นสารของมันกลับอยู่ที่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ โดยการตระหนักรู้ในความเปราะบางของชีวิต ช่วยปลุกให้มนุษย์รู้คุณค่าในปัจจุบันและตั้งคำถามกับตัวเองอย่างจริงจังว่าชีวิตที่เหลือควรใช้ไปอย่างไรให้มีความหมาย กล่าวโดยสรุป แนวคิด memento mori ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มนุษย์หวาดกลัวความตาย หากแต่เพื่อใช้ความตายนั้นเป็นเครื่องเตือนให้มีสติ มีเป้าหมาย และซาบซึ้งกับชีวิตในทุกลมหายใจ

Allegory of Vanity (1632 - 1636) โดย Antonio de Pereda

Allegory of Vanity (1632 - 1636) โดย Antonio de Pereda

Memento Mori ศิลปะแห่งการระลึกถึงความตาย

ในศิลปะ แนวคิด memento mori ได้รับการถ่ายทอดผ่านสัญลักษณ์ซึ่งทำหน้าที่เตือนผู้ชมให้ระลึกถึงความแน่นอนของความตายและความไม่จีรังของชีวิต โดยเฉพาะในช่วงยุคกลางถึงศตวรรษที่ 17 และยังคงปรากฏให้เห็นในยุคปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง

ศิลปะ memento mori มักใช้ภาพของกะโหลกศีรษะและโครงกระดูกเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดในการแทนความตายและการสิ้นสุดของชีวิต มักปรากฏคู่กับนาฬิกาทรายหรือนาฬิกา ซึ่งสื่อถึงเวลาที่ค่อย ๆ หมดลง เช่นเดียวกับเปลวเทียนที่ดับลงหรือริบหรี่ เพื่อสื่อถึงความเปราะบางของการมีชีวิตอยู่ ดอกไม้หรือผลไม้ที่เหี่ยวเฉาและเน่าเปื่อยยังสะท้อนให้เห็นถึงความร่วงโรยของความงามและความสุขชั่วคราวของโลกนี้

Magdalen with the Smoking Flame (1640) โดย Georges de La Tour

Magdalen with the Smoking Flame (1640) โดย Georges de La Tour

Flemish (1607-1655) โดย Hendrick Andriessen

Flemish (1607-1655) โดย Hendrick Andriessen

หนังสือ เครื่องดนตรี หรือแก้วไวน์ ยังเป็นองค์ประกอบที่มักปรากฏในภาพแนว Vanitas ซึ่งเป็นภาพนิ่งที่รวมสัญลักษณ์ของความตายเข้ากับวัตถุที่แทนความเพลิดเพลินทางโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าและไร้สาระของวัตถุนิยมเมื่อเผชิญหน้ากับความตาย

ภาพเหมือนบุคคลในศตวรรษที่ 15 บางครั้งจะมีภาพกะโหลกวาดไว้ด้านหลังของภาพ เพื่อเตือนใจทั้งผู้เป็นเจ้าของภาพและผู้ชมว่าความงามภายนอกและสถานะทางโลกนั้นชั่วคราว ภาพแนว Vanitas เองก็เติบโตขึ้นจากแนวคิด Memento Mori โดยเน้นความเปรียบต่างระหว่างความสุขชั่วคราวกับความตายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ในงานศิลปะยุคกลางและเรอเนซองส์ เราจะเห็นภาพโครงกระดูกหรือกะโหลกที่ฐานไม้กางเขน ซึ่งมีความหมายทั้งเชิงสัญลักษณ์ของความตายและการรอดพ้นตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ตัวอย่างที่น่าสนใจในยุคโรมันคือภาพโมเสกจากเมืองปอมเปอี ที่แสดงรูปกะโหลกวางอยู่บนวงล้อแห่งโชคชะตา เพื่อสื่อว่าความตายคือผู้ทำให้ทุกคนเท่าเทียม ไม่ว่าจะยากดีมีจน และเตือนใจผู้ชมให้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

Portrait of a Knight of an Order (1531) โดย Bartholomäus Bruyn d. Ä.

Portrait of a Knight of an Order (1531) โดย Bartholomäus Bruyn d. Ä.

หนึ่งในภาพสะท้อนแนวคิดการระลึกถึงความตายในชั่วทุกขณะจิตที่น่าสนใจที่สุดก็คือ The Ambassadors (1533) โดย ฮันส์ โฮลไบน์ (Hans Holbein) ที่นำเสนอภาพของ ฌอง เดอ แด็งต์วิล เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำอังกฤษ และเพื่อนของเขา จอร์จ เดอ แซลฟ์ เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำเวนิสและสมเด็จพระสันตะปาปาแห่งโรม แม้จะดูเหมือนเป็นแค่ภาพเหมือนของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ แต่หากมองลึกลงไป ภาพนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดทางสัญลักษณ์มากมายที่เล่าเรื่องราวของยุคสมัย ความขัดแย้งทางศาสนา และการไตร่ตรองถึงความหมายของชีวิตและความตาย

The Ambassadors (1533) โดย Hans Holbein the Younger

The Ambassadors (1533) โดย Hans Holbein the Younger

สิ่งแรกที่สะดุดตาคือโต๊ะระหว่างชายทั้งสอง ชั้นบนของโต๊ะวางเครื่องมือที่ใช้ศึกษาท้องฟ้า เช่น ลูกโลกดาราศาสตร์ นาฬิกาแดด และอุปกรณ์วัดต่าง ๆ ซึ่งแสดงถึงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และจักรวาล ส่วนชั้นล่างนั้นเต็มไปด้วยวัตถุทางโลกอย่างพิณ หนังสือเพลงสวด ลูกโลกภูมิศาสตร์ และหนังสือคณิตศาสตร์ นักวิจารณ์เชื่อว่าองค์ประกอบเหล่านี้คือความพยายามของศิลปินในการสะท้อนให้เห็นถึงความไร้สาระของทั้งวิทยาศาสตร์และอำนาจทางโลกสิ่งที่ดูสูงส่ง แต่แท้จริงกลับไม่จีรัง

ภาพวาดนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ยุโรปกำลังเผชิญความตึงเครียดระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และวาติกัน ขณะเดียวกันก็เกิดการแตกแยกภายในคริสตจักรจากการปฏิรูปศาสนาโปรเตสแตนต์ ความขัดแย้งนี้สะท้อนอยู่ในภาพผ่านรายละเอียดเล็ก ๆ ที่มีความหมายลึกซึ้ง เช่น ไม้กางเขนที่ถูกผ้าม่านเขียวบังไว้ครึ่งหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ของความแตกแยกในศาสนา สายพิณที่ขาดหมายถึงความไม่ลงรอย และหนังสือเพลงที่วางถัดจากพิณนั้นคือหนังสือเพลงสวดแบบลูเทอรัน ซึ่งเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งเหล่านั้น หนังสือคณิตศาสตร์ที่เปิดค้างอยู่ก็เปิดไปยังหน้าที่พูดถึง ‘การหาร’ ซึ่งเป็นอีกนัยของการแบ่งแยก

แต่สิ่งที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงที่สุดของภาพนี้คือกะโหลกที่บิดเบี้ยวในส่วนล่างของภาพ ซึ่งดูเหมือนรอยเปื้อนประหลาดหากมองจากด้านหน้า แต่เมื่อมองจากมุมเฉียงหรือมุมเฉพาะ กะโหลกนั้นจะปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน กลายเป็นสัญลักษณ์ของความตายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ภาพนี้ถูกออกแบบมาให้แขวนไว้ริมบันได เพื่อให้คนที่เดินผ่านสามารถมองเห็นกะโหลกนั้นจากมุมที่พอดี เป็นเครื่องเตือนใจว่าไม่ว่าเราจะร่ำรวย มีชื่อเสียง มีอำนาจ หรือมีปัญญาเพียงใด ท้ายที่สุดแล้ว ทุกชีวิตย่อมจบลงด้วยความตาย

ที่สุดแล้ว จุดประสงค์หลักของศิลปะแบบ Memento Mori คือการกระตุ้นให้ผู้ชมได้พินิจพิจารณาในเรื่องของความตาย ความถ่อมตน และชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ มันไม่ได้เป็นเพียงคำเตือนถึงจุดจบของชีวิต แต่ยังเป็นการเชื้อเชิญให้ละทิ้งความหมกมุ่นในวัตถุ และมุ่งสู่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณธรรม

Memento Mori ในศิลปะร่วมสมัย

แม้แนวคิด Memento Mori จะเฟื่องฟูที่สุดในศตวรรษที่ 14–17 แต่อิทธิพลของมันยังปรากฏชัดในงานศิลปะร่วมสมัย ศิลปินในยุคปัจจุบันหลายคนยังคงใช้สัญลักษณ์แบบดั้งเดิม เช่น กะโหลก เทียน และดอกไม้ร่วงโรย เพื่อชวนผู้ชมทบทวนความหมายของชีวิต และเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ

หนึ่งในศิลปินที่มีผลงานโดดเด่นคือ รอน มิวอิก (Ron Mueck) ซึ่งสร้างผลงานประติมากรรมเหมือนจริงขนาดมหึมาอย่าง Mass ที่ประกอบด้วยกะโหลกศีรษะมนุษย์ขนาดใหญ่กว่า 100 ชิ้น (แต่ละชิ้นสูงประมาณ 1.5 เมตร) งานนี้เป็นการสะท้อนถึงแนว Vanitas และภาพนิ่งแบบดัตช์ในอดีต โดยเน้นย้ำถึงความเป็นสากลของความตาย ทั้งยังสร้างบรรยากาศที่ขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความไม่จีรังและนิรันดร์

Mass (2016–17) โดย Ron Mueck

Mass (2016–17) โดย Ron Mueck

เจค และ ไดนอส แชปมัน (Jake และ Dinos Chapman) ศิลปินพี่น้องชาวอังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งศิลปินขึ้นชื่อเรื่องการใช้ภาพที่กระตุ้นความรู้สึกอย่างรุนแรง ผลงานของพวกเขามักผสมผสานกะโหลกมนุษย์จริงเข้ากับสื่ออื่น ๆ เพื่อชวนผู้ชมเผชิญหน้ากับความตายอย่างตรงไปตรงมา

The same thing only smaller, or the same size but a long way away (2005) โดย Jake & Dinos Chapman

The same thing only smaller, or the same size but a long way away (2005) โดย Jake & Dinos Chapman

อีกหนึ่งศิลปินที่สร้างผลงานเพื่อสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับความตายและความไม่จีรังที่โด่งดังที่สุดก็คือ เดเมียน เฮิร์สต์ (Damien Hirst) ผลงานของเขามักเป็นการพาผู้ชมไปเผชิญหน้าและยอมรับความตายอย่างตรงไปตรงมา ตัวอย่างเช่น ในผลงานที่ชื่อว่า For the Love of God ซึ่งเป็นกะโหลกมนุษย์ที่ฝังเพชรเต็มทั้งชิ้น งานชิ้นนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อปลอบโยนหรืออธิบายใด ๆ แต่กลับเป็นการย้ำเตือนความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ว่า ทุกชีวิตล้วนมีจุดจบ และการเพิกเฉยต่อความจริงนี้ก็เป็นเพียงการหลอกตัวเองเท่านั้น การนำกะโหลกนี้ไปจัดแสดงอย่างเปิดเผยในพื้นที่สาธารณะ ทำให้ผู้ชมไม่สามารถละสายตาได้ และถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับสัจธรรมของการมีชีวิต

For the Love of God (2007) โดย Damien Hirst

For the Love of God (2007) โดย Damien Hirst

งานของเฮิร์สต์ยังยังมุ่งมั่นกระตุ้นให้ผู้ชมตั้งคำถามโดยไม่ประนีประนอม เขามักพาผู้ชมไปประจันหนากับความตายอย่างตรงไปตรงมา ตัวอย่างเช่น การดองสัตว์ในฟอร์มาลดีไฮด์ (The Physical Impossibility of Death in the Mind of Someone Living) หรือการจัดองค์ประกอบภาพให้ดูเหมือนห้องทดลอง ทำให้ผู้ชมต้องตั้งคำถามต่อมุมมองแบบวิทยาศาสตร์ที่ดูห่างเหิน และไม่อาจอธิบายปรากฏการณ์ที่ลึกซึ้งอย่างการตายได้ทั้งหมด งารของเฮิร์สต์จึงไม่เพียงเสนอภาพของความตาย แต่ยังเสนอว่าแม้วิทยาศาสตร์จะควบคุมหรืออธิบายความตายได้บางระดับ แต่ในที่สุดแล้ววิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจพาสิ่งมีชีวิตหลีกหนีจากความตายไปได้

The Physical Impossibility of Death in the Mind of Someone Living (1991) โดย เดเมียน เฮิร์สต์

The Physical Impossibility of Death in the Mind of Someone Living (1991) โดย เดเมียน เฮิร์สต์

ในเชิงสัญญะ เฮิร์สต์ยังมักใช้ผีเสื้อที่มีวงจรชีวิตที่สั้นแต่สวยงาม เป็นตัวแทนของชีวิตที่เปราะบางและแสนสั้น แต่ก็มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับการเปลี่ยนจากหนอนเป็นผีเสื้อ ซึ่งสามารถตีความในเชิงศาสนาหรือปรัชญาว่าชีวิตไม่ได้จบลงด้วยความตายเสมอไป แต่เป็นการเปลี่ยนสภาพไปสู่บางสิ่งใหม่

งานของเฮิร์สต์จึงเป็นงานศิลปะที่เปิดบทสนทนาเกี่ยวกับความตาย โดยยึดโครงสร้างจาก memento mori แบบคลาสสิก แต่แปรสภาพมันให้กลายเป็นคำวิจารณ์ต่อวัฒนธรรมวัตถุนิยม ความหลงใหลในความงาม และความพยายามของมนุษย์ในการหลีกหนีหรือเอาชนะความตาย ผลงานของเขาจึงไม่เพียงแต่ย้ำเตือนถึงจุดจบของชีวิต แต่ยังชี้นำให้ผู้ชมใคร่ครวญถึงการใช้ชีวิตที่แท้จริงในปัจจุบัน

ศิลปะ memento mori ยุคใหม่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความน่ากลัวของความตาย แต่ยังเป็นเครื่องมือทางสุนทรียะในการกระตุ้นให้ผู้ชมตระหนักถึงชีวิต ความไม่เที่ยง และความจำเป็นในการใช้ชีวิตอย่างมีความ

อ้างอิง
lithub
artsandculture.google.com
cla.purdue.edu
WORLEY T. Memento Mori in Contemporary Art. Routledge; 2021. Accessed June 22, 2025. https://www.routledge.com/Memento-Mori-in-Contemporary-Art-Theologies-of-Lament-and-Hope/Worley/p/book/9781032083131