เอลีซาแบ็ต-หลุยส์ วีเฌ-เลอเบริง (Elisabeth Louise Vigée Le Brun) เกิดที่กรุงปารีสเมื่อวันที่ 16 เมษายน 1775 ในครอบครัวที่มีพ่อเป็นศิลปินภาพวาดบุคคล (Portrait) และภาพวาดบนพัด ทำให้ในช่วงที่เติบโตขึ้นมา เลอเบริงจึงได้ซึมซับความรักในศิลปะ และเรียนรู้เทคนิคการวาดภาพบุคคลมาจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งในกาลต่อมา เทคนิคที่เธอร่ำเรียนมาแต่เด็กนั้นจะทำให้เธอเป็นศิลปินที่มีชีวิตและผลงานสุดโลดโผนคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะ
พ่อของเลอเบริงเสียชีวิตเมื่อเธออายุได้ 12 ปี แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังยืนหยัดในความตั้งใจที่จะสืบต่อสตูดิโอของพ่อ และแม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าเรียนในสถาบันด้านศิลปะ เพราะในยุคนั้นสังคมยังไม่ยอมรับให้ผู้หญิงเป็นศิลปินอาชีพ แต่ด้วยฝีมือและพรสวรรค์ที่ได้รับสืบทอดมาจากผู้เป็นพ่อ ก็ทำให้เธอมีลูกค้าระดับสูงเดินเข้ามานั่งเป็นแบบให้เธอวาดภาพบุคคล โดยตอนนั้นเธอมีอายุแค่ 15 ปีเท่านั้น
เมื่ออายุได้ 19 ปี ชื่อเสียงของเธอก็ขจรขจายไปไกล จนทำให้ทางการบุกมายึดภาพวาดและอุปกรณ์ของเธอในข้อหาที่เธอทำงานเป็นศิลปินอาชีพโดยไม่ได้รับการรับรองหรือเป็นสมาชิกของสถาบันไหน ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไปเข้าเรียนที่สถาบัน Académie de St Luc ซึ่งตอนนั้นก็มีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับการตอบรับให้เข้าเรียน
จุดสูงสุดในอาชีพศิลปินของเลอเบริงเกิดขึ้นตอนที่เธออายุได้ 20 ปี โดยเธอได้รับเชิญจากราชสำนักฝรั่งเศสให้เข้าไปวาดภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระนางมารี อ็องตัวแน็ต ซึ่งผลงานของเธอก็เป็นที่ประทับใจจนทำให้เธอได้วาดภาพของพระองค์ต่อมาอีกกว่า 30 ภาพ ซึ่งการได้ทำงานรับใช้ราชสำนักและเป็นคนโปรดของราชินีแห่งฝรั่งเศสก็ทำให้เธอได้รับการเชิญให้เป็นสมาชิกของ Académie Royale ในที่สุด จากที่ก่อนหน้านี้เธอถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเป็นสมาชิก เนื่องจากเป็นผู้หญิง
เลอเบริงแต่งงานกับนายหน้าขายงานศิลปะ และมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน แต่ในภานหลัง เธอก็ทิ้งสามีและพาลูกสาวหนีออกนอกประเทศในปี 1789 โดยมีสาเหตุมาจากการที่สามีของเธอติดการพนันอย่างหนัก และในตอนนั้นสถานการณ์ทางการเมืองก็กำลังครุกรุ่นและกำลังเดินหน้าเข้าสู่การปฏิวัติ เลอเบริงผู้กลัวว่าฝ่ายประชาชนที่โกรธแค้นราชสำนักจะสาวมาถึงตัวเธอผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับพระนางมารี อ็องตัวแน็ต และอาจทำอันตรายเธอและลูกน้อยได้
หลังการปฏิวัติฝรั่งเศส เลอเบริงและลูกสาวย้ายไปอาศัยอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรป ทั้งอิตาลี ออสเตรีย และรัสเซีย โดยยังคงทำงานศิลปะออกมามากมาย จนสุดท้ายสามีเก่าและครอบครัวของเธอก็ช่วยกันยื่นเรื่องร้องเรียนเพื่อให้ลบชื่อเธอจากรายชื่อผู้มีความเกี่ยวโยงกับราชวงศ์ จนทำให้เธอได้เดินทางกลับฝรั่งเศสในปี 1802 และใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านในชนบทของฝรั่งเศสจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต โดยก่อนที่จะสิ้นใจ เลอเบริงก็กล่าวคำสุดท้ายว่า “ที่นี่ ในที่สุด ฉันก็ได้หลับตาลง” (Here, at last, I rest...)
![<p>Portrait of Marie Antoinette, 1783</p>](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/e3366f0a155335c6c4f58cccbf0ae658.jpg)
Portrait of Marie Antoinette, 1783
![<p>Madame Grand, 1783</p>](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/9f4f89bcd5d35be330ab92e7ace9e545.jpg)
Madame Grand, 1783
![<p>Marie-Gabrielle de Gramont, Duchesse de Caderousse , 1784</p>](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/e365d8e0c4f2126ad824733fded19d0e.jpg)
Marie-Gabrielle de Gramont, Duchesse de Caderousse , 1784
![<p>Baronne de Crussol, 1785</p>](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/df76ce7fc077493ce4843e00679549f7.jpg)
Baronne de Crussol, 1785
![<p>Princess Karoline of Liechtenstein, 1793</p>](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/0740ca3beb675031d90aa05e0abc5856.jpg)
Princess Karoline of Liechtenstein, 1793
![<p>Comtesse de La Châtre, 1789</p>](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/e5cb14abc77905a50d1fc3b46186a7a0.jpg)
Comtesse de La Châtre, 1789
![<p>Self-Portrait with Her Daughter, 1789</p>](https://falcon.groundcontrolth.com/upload/0a99fcda2468ab043a15740a06b9bf0a.jpg)
Self-Portrait with Her Daughter, 1789