ผีใช้ได้ค่ะ พงศาวดารปัญหาร่วมสมัยไทย หนังรางวัลอารมณ์ขันร้าย ๆ ที่ใช้ความทรงจำของคนตัวเล็กต่อต้านรัฐ

Post on 9 September 2025

บทความนี้มีการสปอยเนื้อหาในภาพยนตร์ ความทรงจำ และความรู้สึกของสาววายวิชาการ

เชื่อว่าเราคงไม่ใช่คนเดียวที่กลัวสิ่งที่เรียกว่าหนังรางวัล ไม่ใช่เพราะเรากลัวหนัง แต่เป็นการกลัวความไม่รู้ของตัวเองมากกว่า เรากลัวว่าความไม่รู้นั้นจะทำให้เราไม่เข้าใจ คิดไม่ตก ไม่สามารถรับรู้หรือซึมซาบสารสำคัญที่คนอื่นคุยกันว่าลึกซึ้งนักหนาได้ แต่กับหนังเรื่อง ‘ผีใช้ได้ค่ะ’ (A Useful Ghost) นั้นตรงกันข้าม เพราะไม่ใช่แค่ดูรู้เรื่อง แต่ยังถึงขั้นรู้ไปหมด และนั่นแหละที่ทำให้น่ากลัวขึ้นไปอีก (เอ้า!)

ท่ามกลางมวลอภิมหาปัญหาชาติไทยร่วมสมัยที่ไล่เรียงร้อยมาในแทบทุกจังหวะของภาพยนตร์ ตั้งแต่ประเด็นการเมืองร้อน ๆ ฝุ่น PM2.5 สิทธิแรงงาน การกดทับทางเพศ รวมไปถึงประเด็นเรื่องคนชายขอบในหลากหลายแง่มุม เช่น ผีแรงงานที่ไม่ยอมจากไปเพราะคิดว่าตัวเองตายอย่างไม่เป็นธรรม ผีเมียเก่าในเครื่องดูดฝุ่นที่ฟังบทพูดไปบทพูดมาเหมือนกำลังฟังบทสนทนาของคู่รักเควียร์ที่สังคมไม่ยอมรับ เลยต้องทำอะไรสักอย่างให้มีประโยชน์ขึ้นมาให้ได้ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองนั้นมีดี เป็นผี (เควียร์) ที่มีประโยชน์ถึงจะได้รับการยอมรับ

ยังมีตัวละครแม่ของมาร์ชที่ปรากฏตัวมาแบบนิ่ง ๆ เธอคือตัวละครที่รวมเซ็ตของการเป็นคนถูกกดทับไว้ในทุกอณู ทั้งในฐานะแม่ เมีย ลูกสะใภ้ชาวจีน รวมไปถึงการเป็นคนอีสาน (ตัวแทนคนชายขอบ) โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเป็นคนอีสานนี่แหละที่เราชอบการเฉลยปมของภาพยนตร์เรื่องนี้มาก เพราะผู้กำกับเลือกให้ตัวละครพูดภาษาอีสานขึ้นมา พร้อมเล่าถึงตอนสาว ๆ ว่าไม่มีใครยอมให้เลี้ยงลูกเพราะกลัวพูดไทยกลางไม่ได้ ซึ่งการใส่ความนัย แทรกเมตาฟอร์ และไม่ได้เล่าทุกอย่างออกมาตรง ๆ แต่ทำให้เราเห็น เก็บรายละเอียด และปะติดปะต่อเอง ก็เป็นเสน่ห์สำคัญที่ทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เลยสักช่วง

ทั้งหมดที่เล่าไปในสองย่อหน้าก่อนนี้ เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ เท่านั้น แต่ภายในเรื่องนี้ยังรวมเหตุการณ์อื่นเอาไว้อีกมากมายจนนับด้วยนิ้วทั้งหมดในร่างกายไม่ครบ ซึ่งการรวมทุกอย่างไว้มากขนาดนี้ก็ชวนให้นึกถึงคำพูดที่คนมักใช้แซวภาพยนตร์เรื่อง ‘หอแต๋วแตก’ ของ พชร์ อานนท์ ว่าเป็นเหมือน ‘พงศาวดารไทยร่วมสมัย’ เพราะเป็นหนังที่รวมทุกเหตุการณ์ดัง เหตุการณ์ป่วง ๆ ในกระแสมาถ่ายทอดไว้ในเรื่องเดียว ซึ่งสำหรับเรา ภาพยนตร์เรื่อง ผีใช้ได้ค่ะ ก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน

แน่นอนว่าเราไม่ได้หมายถึงบท คอสตูม หรือจังหวะจะโคนการเล่าเรื่องอะไรเถือกนั้น แต่หมายถึงกระบวนการทำงานของหนังที่เล่นกับความทรงจำของผู้ชมตรง ๆ แบบวัดกึ๋นกันไปเลยว่าถ้าคุณเก็ต แบบไม่ต้องให้มารีญามาถามว่า “ไม่คิดจะ get กันน่ะหน่อยเหรอ” (เสียงมารีญา พูลเลิศลาภ) ก็แปลว่าคุณ ‘จำ’ ได้ และตามทัน (เช่นมุกเพลงมารีญาที่เขียนไปเมื่อกี้ ถ้าคุณไม่เคยฟังก็จะงงว่าโผล่มาทำไม แล้วทำไมผู้เขียนต้องเลือกเพลงนี้มาใช้ในตอนนี้ ไปจนถึงนึกเสียงมารีญาไม่ออก) และการจำได้หรือไม่ได้นี่แหละที่เป็นแก่นเรื่องหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้

ในภาพยนตร์เรื่อง ผีใช้ได้ค่ะ นอกจากเราจะได้เห็น ‘แนท’ กลับมาครองรักกับ ‘มาร์ช’ ในฐานะผีในเครื่องดูดฝุ่น แนทยังต้องทำภารกิจพิชิตใจคนในบ้านด้วยการทำตัวให้มีประโยชน์ นั่นก็คือการปราบผีแรงงานที่คอยป่วนกิจการด้วยแรงแค้น จนโรงงานของครอบครัวมาร์ชต้องปิดตัว กฏของการปราบผีในเรื่องนี้ไม่ใช่การใช้พระ ข้าวสารเสก หรือน้ำมนต์ (จริง ๆ ก็พยายามแล้ว) เพราะสิ่งเดียวที่จะเอาผีทุกตัวลงหลุมอีกรอบได้คือการทำให้ผีตัวนั้น ‘ถูกลืม’ และวิธีการทำให้ใครสักคนลืมก็คือการ ‘ช็อตไฟฟ้า’ ซึ่งหลังจากทำสำเร็จความสามารถของแนทก็ไปเตะตาคนใหญ่คนโตคนหนึ่งเข้า เธอเลยถูกวานให้ช่วยค้นความทรงจำทุกคนที่สุ่มเสี่ยง เพื่อนำคนเหล่านั้นไปช็อตไฟฟ้า

ทั้งหมดได้นำพาเราไปสู่ฉากที่ขอนิยามว่าเป็นการ ‘บังคับสูญหาย’ ทางความทรงจำแบบหมู่ ที่ทุกคนถูกเรียกตัวไปปรับทัศนคติผ่านการช็อตไฟฟ้า เมตาฟอร์เดาง่ายที่สะท้อนเหตุการณ์ทางการเมืองได้ในทุกมิติ ทั้งที่เอ่ยได้และเอ่ยไม่ได้ ผ่านผีนักประท้วง ผีจากยุคเผด็จการ ผีจากยุคสงคราม ผีนักโทษการเมือง ผีผู้ลี้ภัย และอีกมากมายหลายเหตุการณ์ สุดแล้วแต่ความทรงจำของผู้ชมแต่ละคนจะสามารถพาตัวเองไปถึง บางคนดูแล้วนึกถึงเรื่องเดียวกัน ต่างกัน หรือไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าตัวบทที่หนังบอกเล่า ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร และนี่แหละคือสิ่งที่เรามองว่าเป็นกระบวนการทำงานอย่างมีพลังที่หนังทำงานกับผู้ชมโดยตรง

สำหรับเรา ‘ความทรงจำ’ เลยไม่ได้เป็นแค่แก่นของเรื่องราวหรือของตัวละคร แต่ยังเป็นแก่นสำคัญที่จำเป็นต่อการรับชม (อย่างเต็มอรรถรส) เหมือนกับการไปดูหนังเรื่องหอแต๋วแตกแล้วอยากเข้าใจว่าคนขำอะไรกันฉันใด ผีใช้ได้ค่ะ ก็กำลังทำงานกับผู้ชมฉันนั้น เพราะเหตุการณ์ทุกอย่างมันนัวมาก ตัดสลับกับแบบมุกต่อมุก เหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ แต่ต่อให้เยอะยุบยับอ้างอิงจากหลายเรฟหลายเหตุการณ์แค่ไหน แต่ในฐานะที่ทุกคนเป็นคนไทยที่รับมือหนึ่งวันพันเหตุการณ์กันได้เป็นปกติ ด้วยความสามารถระดับนี้ เชื่อว่าแค่มองตาทุกคนก็น่าจะรู้ใจผู้กำกับ และสามารถเข้าถึงและเข้าใจ ผีใช้ได้ค่ะ แบบง่าย ๆ ได้อย่างแน่นอน

และนั่นก็มาถึงพาร์ทที่ทำให้เรารู้สึกกลัว (ก็นี่มันหนังผี) ยิ่งภาพยนตร์ดำเนินไป เราค้นพบว่ามีผีมากมายเหลือเกินที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสความทรงจำ แต่พวกเขาบางคนเริ่มเลือนลางไปเมื่อไรก็ไม่รู้ พอนึกได้แบบนั้นความกลัวก็แว้บขึ้นมาในใจ มันน่ากลัวเหลือเกินที่การดำรงอยู่ของผีสักตนวางอยู่บนเส้นบาง ๆ ที่เรียกว่าความทรงจำของมนุษย์ สิ่งที่สามารถหลงลืม ผิดเพี้ยน และบิดเบี้ยวได้ง่ายดายมาก แต่หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ความกลัวก็มาพร้อมกับความหวัง ไม่ใช่เพราะมันจบสะใจ หรือสานฝันในใจใครสักคน แต่เป็นเพราะหลังดูจบเรากลับมาจำพวกเขาได้ชัดเจนอีกครั้ง

ความตลก เข้าใจง่าย ทำให้ ผีใช้ได้ค่ะ คือเครื่องมือชั้นดีของการสร้างความทรงจำ เน้นย้ำไม่ให้เราลืม ในขณะที่ความรู้สึกกระอักกระอ่วนในหลาย ๆ ฉาก คือสิ่งที่หยอกล้อกับความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของผู้ชมในชีวิตจริงที่มีต่อสถานการณ์บ้านเมืองได้อย่างถึงเครื่อง และหนึ่งในฉากที่เรารู้สึกว่าเปรียบเปรยความรู้สึกนี้ได้ดีสุด ๆ ก็คือฉากเข้าด้ายเข้าเข็มในพาร์ทสุดท้ายของ ‘ครอง’ กับ ‘กะเทยวิชาการ’ ที่สวิตซ์จากเรื่องซีเรียสเรียกน้ำตาไปสู่ความฮอร์นี่เรียกน้ำอย่างอื่นแบบฉับพลัน จนเราในฐานะผู้ชมตั้งตัวไม่ถูกเหมือนกัน เพราะความอินกับบทพูดก่อนหน้ายังตกค้าง แต่ฉากที่กำลังดำเนินต่อไปตรงหน้ากลับกระตุกต่อมขำให้อยากหัวเราะออกมาแบบสุดเสียง

และเมื่อซีนนั้นกำลังระอุร้อนฉ่าจนเกือบถึงจุดที่ควรจะเป็น ครองก็หายตัวไปกลางอากาศ ทิ้งกะเทยวิชาการให้ค้างเติ่งอยู่บนฟ้า พร้อมกับอารมณ์ของผู้ชมที่ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ในหมวดไหนดี พอจบฉากนี้เราก็นั่งอึ้ง นึกถึงสิ่งอื่นไม่ได้นอกจากคิดไปเองในใจว่า เออนะ บางที ไอ้ความรู้สึกกระอักกระอ่วน รำคาญใจ หงุดหงิดใจ ไปจนถึงขั้นโกรธกับเหตุการณ์ปัญหาสังคมทั้งหมดในหลายที มันคงเป็นความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกของการกำลังเล็ดยุด (ภาษาลูหมายถึงการมีเพศสัมพันธ์) กับใครสักคนแล้วถูกทิ้งไปกลางคันแบบกะเทยวิชาการ ที่ในท้ายที่สุดก็กลายเป็นมวลความแค้นมหาศาลที่ผลักดันให้อยากทำทุกอย่างให้ถูกต้องและสมควร

ความตลกยังทำงานร่วมกับวิธีการเล่าของหนัง ที่ถ่ายทอดเรื่องราวของแนทและมาร์ชแบบปากต่อปาก หรือที่เรียกกันว่า ‘มุขปาฐะ’ ซึ่งวิธีนี้ไม่ได้เป็นเพียงลูกเล่น แต่ยังทำให้เรานึกถึงหนังสือเรื่อง ‘Weapons of the Weak’ ของ James C. Scott ที่พูดถึงวิธีการต่อสู้ของคนตัวเล็กตัวน้อยต่อระบบที่ยิ่งใหญ่ โดยหนึ่งในวิธีการต่อต้านของคนเหล่านี้ คือ ‘บทสนทนาลับ’ (Hidden Transcript) [1] หรือเรียกง่าย ๆ ว่าการซุบซิบ หรือการเล่าลับหลังแบบปากต่อปาก ที่เป็นการต่อต้านแบบเงียบ ๆ แทนการเผชิญหน้าโดยตรง รูปแบบเหล่านี้คือการต่อต้านเชิงวัฒนธรรมที่ทรงพลัง เพราะมันกระจาย ‘ความจริง’ ออกไปในเครือข่ายผู้คน มากกว่าจะถูกควบคุมไว้ในเอกสารหรือระบบที่รัฐกับอำนาจศูนย์กลางผูกขาด

การเล่าเรื่องจากคนหนึ่งสู่คนหนึ่ง ยังเปิดให้เรื่องราวกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ความทรงจำร่วม’ ได้ด้วย เพราะทำให้เรื่องราวเหล่านั้นมีหลายคนที่รับรู้และร่วมเป็นเจ้าของ ต่างจากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งผู้มีอำนาจบางคนสามารถลบ แก้ไข หรือควบคุมได้ เพราะเมื่อเรื่องราวเหล่านั้นถูกเล่าต่อไปเรื่อย ๆ ความทรงจำนั้นก็จะอยู่กระจายตามหัวของผู้คน ไม่ได้เก็บรวมศูนย์ไว้ที่ใดที่หนึ่ง ด้วยเหตุนี้ แม้ความทรงจำเดี่ยว ๆ ของแต่ละคนจะถูกลบได้ แต่เมื่อสิ่งนั้นกลายเป็นความทรงจำร่วมของคนหลักสิบ หลักร้อย หลักพัน จนอินฟินิตี้ การลบจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย [2] (ดังที่เห็นในฉากสุดท้ายที่ในท้ายที่สุดทุกคนก็กลับมา)

นอกจากนี้ การเล่าแบบมุขปาฐะมักมีการดัดแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามน้ำเสียงหรือมุมมองของผู้เล่า ทำให้เรื่องราวไม่ตายตัว แต่กลับมีชีวิตและขยายตัวอยู่เสมอ พลังของมันเลยไม่ได้อยู่ที่ ‘ความถูกต้อง’ แบบเป๊ะ ๆ แต่อยู่ที่การสร้างประสบการณ์ร่วม คนจำนวนมากอาจจำรายละเอียดไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่คงอยู่คือความรู้สึกและเรื่องราวหลักที่ทุกคนแชร์ร่วมกัน

และเมื่อการเล่ามาพร้อมกับ ‘ความตลก’ ความรู้สึกเชิงบวกที่ใคร ๆ ก็นิยมชมชอบ ก็ยิ่งเสริมให้เรื่องราวในภาพยนตร์เข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น ความตลกทำให้เรื่องเล่าหนัก ๆ ดูเบาลง ฟังง่ายขึ้น และมีโอกาสถูกพูดต่อมากขึ้น วิธีนี้จึงล้อรับกับสารหลักของหนังที่ต้องการให้ ‘ผีทุกตนไม่ถูกลืม’ ดังที่ อุ้ย - รัชฏ์ภูมิ บุญบัญชาโชค ผู้เขียนบทและผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ได้กล่าวไว้ตอนขึ้นรับรางวัล Grand Prix ของสายประกวด Critics' Week จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ว่า

“ขออุทิศหนังเรื่องนี้ให้แก่ผีทุกคนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นผีที่มีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม ผมหวังว่าหนังเรื่องนี้จะทำให้ผีเหล่านั้นถูกมองเห็น ถูกรับฟังมากขึ้น เพื่อที่จะได้มีคนพูดถึงพวกเขามากกว่าที่เคย ขอบคุณครับ”

คำพูดนี้ช่วยตอกย้ำความคิดในใจของเราให้ชัดขึ้นว่า กระบวนการเล่าเรื่องทั้งหมดของ ผีใช้ได้ค่ะ ไม่ใช่แค่การทำหนังผีตลกหรือหนังการเมืองตลกร้าย แต่หนังเรื่องนี้คืออีกหนึ่งเครื่องมือของการสร้างความทรงจำร่วมที่ทำให้ผีเหล่านั้น ‘ยังคงอยู่’ ผ่านการกระตุ้นความทรงจำของผู้ชมทุกคนที่ได้รับชม รับรู้ และร่วมกันขัดขืนการบังคับสูญหายทางความทรงจำที่เกิดขึ้นอย่างเนือง ๆ

ดังนั้น หากคุณอยากลองดูหนังรางวัลสักเรื่องที่เข้าใจไปหมดทุกอย่าง การดูหนังเรื่อง ผีใช้ได้ค่ะ น่าจะเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่จะทำให้ความปรารถนานี้ของทุกคนเป็นจริงได้ และถ้าคุณเข้าใจ นั่นก็หมายความว่า บางที คุณน่าจะโดนแล้วล่ะค่ะ…

อ้างอิง

[1] ภีรดา. (2565, 26 ตุลาคม). อาวุธของผู้อ่อนแอ : วิธีการต่อต้านกับอำนาจที่ไม่ชอบธรรม. สถาบันปรีดี พนมยงค์. https://pridi.or.th/th/content/2022/10/1304

[2] นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ. (2567, 12 มกราคม). ชาติพันธุ์นิพนธ์ของความทรงจำ (Memory Ethnography). ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/561

เครดิตภาพประกอบจาก ตัวอย่างภาพยนตร์ ผีใช้ได้ค่ะ [A Useful Ghost] | Official Trailer ใน ช่องยูทูปของ GDH