#Artเทอม Lynchian สุนทรียะแบบ ‘เดวิด ลินช์’ บรรยากาศแปลก บนโลกของจิตไร้สำนึกแสนประหลาด

Post on 17 January

จะมีศิลปินสักกี่คนที่ชื่อของเขากลายเป็นคำคุณศัพท์ (adjective) สื่อถึงลักษณะการทำงานและบรรยากาศเฉพาะตัวจากผลงานของเขา? แน่นอนว่า ชื่อแรกที่หลายคนอาจนึกถึงคือ Kafkaesque ซึ่งมาจากชื่อของ ฟรานซ์ คาฟกา (Franz Kafka) นักเขียนชาวออสเตรียนผู้บรรยายโลกฝันร้ายได้อย่างลึกซึ้ง จนชื่อของเขากลายเป็นคำที่ใช้อธิบายสถานการณ์หรือประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกเหมือนตกอยู่ในโลกแห่งฝันร้ายที่ไม่อาจหลีกหนี แม้จะดูสมเหตุสมผลในบางแง่มุม แต่ก็มีความไร้เหตุผลและทำให้รู้สึกหมดหวังที่จะขัดขืนหรือต่อต้านสถานการณ์นั้น ๆ

ในโลกภาพยนตร์ก็มีคำว่า Lynchian (ลินเชียน) ซึ่งแม้จะดูคล้ายฝันเช่นกัน แต่เป็นฝันที่ป่วยประหลาดในยามกลางวัน บรรยากาศที่เหมือนจะปกติดีแต่กลับทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งเป็นคำที่ได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อของ เดวิด ลินช์ (David Lynch) ศิลปินและผู้สร้างภาพยนตร์ผู้ล่วงลับไปในวันนี้ (17 มกราคม 2025)

ภาพยนตร์ Blue Velvet (1986), Mulholland Drive (2001) หรือซีรีส์ Twin Peaks (1990–2017) เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยของผลงานที่เปิดมุมมองใหม่ให้กับผู้ชมมากมาย หากใครไม่เคยได้ลิ้มลองประสบการณ์ภาพยนตร์แบบลินช์ ๆ แล้วลองค้นหารูปภาพจากภาพยนตร์เหล่านี้ ก็อาจสงสัยว่า เมืองชนบทอันเงียบสงบในอเมริกาที่อาบด้วยแสงแดดเจิดจ้า ดอกกุหลาบสีแดงที่เบ่งบานตัดกับรั้วสีขาว หรือนักร้องสาวตาหวานที่ร้องเพลงในคลับยามค่ำคืนชวนฝัน จะกลายเป็นสิ่งที่ชวนหลอนหรือสร้างความสั่นสะเทือนทางอารมณ์ในแบบ ‘ลินเชียน’ ได้อย่างไร

แต่เราขอรับรองว่า หากลองเพ่งมองเข้าไปใน "โลกแบบลินช์" หรือสไตล์ Lynchian วิญญาณของคุณจะค่อย ๆ ถูกดึงลึกเข้าไปในมิติที่แปลกประหลาดโดยไม่ทันรู้ตัว

แล้ว ‘โลกแบบลินช์’ คืออะไรกันแน่?

Lynchian โลกที่สิ่งที่เคยคุ้น กลายเป็นไม่คุ้นเคย

เลวิส บอนด์ (Lewis Bond) ยูทูบเบอร์ที่เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์ ได้สรุปลักษณะของความ Lynchian ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ตัวอย่างของความลินช์นั้นมีอยู่มากมาย แต่แทบไม่มีจุดร่วมชัดเจนเลย นิยามในแง่สุนทรียะของมันจึงเปลี่ยนแปลงและลื่นไหลอยู่ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เชื่อมโยงผลงานของลินช์ไว้ด้วยกันคือพลังอันหนึ่ง — ความเป็นลินช์คือการปลดปล่อยภาวะที่ยากจะเข้าใจ (elusiveness) และปริศนาแห่งความลินช์อยู่ที่การทำให้สิ่งที่เคยคุ้นเคย กลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ”

ถ้ามอง โลกแบบลินช์ ในฐานะสุนทรียะ (aesthetics) ความลินเชียนก็เหมือนจะอยู่ตรงจุดกึ่งกลางระหว่างการสะท้อนภาพโลกตามความเป็นจริงอย่างที่ตาเห็น กับโลกแห่งฝันร้ายที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและลึกลับ

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือฉากเปิดของ Blue Velvet ซึ่งเริ่มต้นด้วยภาพชนบทที่ดูสมบูรณ์แบบ — ท้องฟ้าสดใส รั้วไม้สีขาว และดอกกุหลาบแดงสด แต่เพียงชั่วพริบตา ภาพอันงดงามนั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหูที่ถูกตัดและกำลังถูกตอมด้วยฝูงมดอันตะกละ สนามหญ้าหน้าบ้านสีเขียวสดใสกลับเปิดเผยปริศนาที่ดำมืดซ่อนอยู่ใต้พื้นหญ้า มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยคำถามที่ไม่มีที่สิ้นสุด และคำถามเหล่านั้นไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยวิธีการมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนของตำรวจ หรือการวิเคราะห์จากแพทย์ ทุกอย่างในโลกแบบลินช์ดูเหมือนจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตรรกะและเหตุผลไปเสียหมด

โปรดทิ้งตรรกะและเหตุผล ก่อนก้าวเข้าสู่โลกของ Lynchian

เมื่อก้าวเข้าสู่โลกของลินช์ ผู้ชมจะถูกเรียกร้องให้ต้องละทิ้งประสาทสัมผัสหรือสัญชาตญาณเดิม ๆ ที่ใช้ในการทำความเข้าใจโลกที่เราอาศัยอยู่ แล้วเปิดรับ ‘ญาณ’ ใหม่ที่มีอารมณ์ ความปรารถนา แรงโหยหา และอำนาจ เป็นตัวชี้นำ ตัวอย่างชัดเจนคือการสืบสวนใน Twin Peaks ที่การสืบสวนเพื่อไขปริศนาการเสียชีวิตของราชินีงานพรอมของเมือง กลับหาได้พึ่งพาศาสตร์แห่งนิติวิทยาหรือการใช้ตรรกะแบบเป็นเหตุเป็นผล แต่เอฟบีไอหนุ่มผู้ไขคดีกลับใช้วิธี ‘หลับฝัน’ และใช้ลางสังหรเป็นเครื่องนำทางในการพาเขาไปสู่ความจริง (ซึ่งกลับเปิดเผยว่า ความจริงนั้นที่เราเชื่อว่าเป็นความจริง อาจไม่มีอยู่จริง)

เดวิด ลินช์ไม่ได้พาเราออกไปสำรวจโลกใหม่ แต่กลับชวนเรา ‘ปิดตา’ ตั้งสมาธิ และมองโลกใบเดิมในมุมมองใหม่ ที่เผยให้เห็นความบ้าคลั่งที่ซ่อนอยู่ในความปกติ ความงดงาม และความธรรมดา นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคน ‘ไม่เก็ท’ หนังของเขาในแง่ของตรรกะหรือเหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ (เหมือนกับหนังอาร์ตทั่วไป) แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขากลับรู้สึกถึงมันได้อย่างลึกซึ้งถึงหัวใจ ราวกับถูกดึงเข้าไปในฝันที่ไม่อาจหลีกหนี

ถ้าเราจะลองแกะองค์ประกอบในหนังของเดวิด ลินช์ออกมาดู เราจะพบลักษณะเด่น ๆ ที่ทำให้หนังของเขามีเอกลักษณ์ ดังนี้:

ความเป็นจริงชวนฝัน – โลกในหนังของลินช์มักจะดูสงบสุข สวยงาม และกลมเกลียว เหมือนชุมชนในฝันจากหนังสือเรียนวัยเด็ก เช่นใน Twin Peaks หรือ Blue Velvet ที่เขาถ่ายทอดออกมาอย่างสดใสและเต็มไปด้วยความสงบสุข แต่แล้วภาพนั้นก็กลับกลายเป็นภาพของฝันดีที่ซ่อนความฝันร้ายของอาชญากรรมและพฤติกรรมท้าทายศีลธรรมในโลกใบเดียวกัน

ความไม่คุ้นเคย (Uncanny) – ลินช์มักจะเล่นกับความรู้สึกผิดปกติที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกแปลกใจและไม่สบายใจ ตัวอย่างเช่น ชายหน้าขาวไร้คิ้วที่โผล่ขึ้นมาใน Lost Highway หรือฉากลิปซิงค์เพลง Llorando ใน Mulholland Drive ที่มีการใช้ทำนองเพลงเก่าแบบแปลก ๆ ที่ทำให้ทั้งตัวละครและผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกคุกคามจากอันตรายที่ไม่อาจเข้าใจได้ สิ่งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ แม้ว่าจะไม่มีอะไรน่ากลัวจริง ๆ

การเล่นใหญ่ หนึ่งในลักษณะเด่นที่พบได้บ่อยในซีรีส์และภาพยนตร์ของลินช์ คือการแสดงที่เกินจริงในแบบ รัชดาลัยเธียเตอร์ นักแสดงมักจะรับบทที่ดูใหญ่โต เช่น ชายแท้ที่ดูแท้สุด ๆ หรือสาวสวยที่เหมือนแม่หญิงในหนังยุคเก่า ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Wild at Heart ที่ นิโคลัส เคจ รับบทชายหนุ่มคลั่งรักอย่างสุดขั้ว ซึ่งถือเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้หลายคนเข้าใจหนังของลินช์ได้ง่ายขึ้น เพราะมันทั้งน้ำเน่าและเต็มไปด้วยลีลาทดลองผสมผสานกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

แต่โลกแบบลินช์ไม่ใช่แค่เทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์ มันคือศิลปะที่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเราทุกคน ซึ่งบางครั้งเราอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันอยู่ภายในเรา ดังที่นักปรัชญาสลาวอย ซิเซก เคยกล่าวถึงเดวิด ลินช์ ว่า "เขาอาจจะเป็นอัจฉริยะแห่งโลกจิตไร้สำนึก ซึ่งเขาเองก็อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำมันไปได้อย่างไร"

ถ้าเราไปถามลินช์ว่า ทางเขาเข้าโลกของเขาอยู่ตรงไหน เขาก็อาจตอบง่าย ๆ ว่า “ก็นั่งสมาธิไง” แต่สิ่งที่เราค้นพบจากการดูหนังของเขา ก็คือเราทุกคนมี โลกแบบลินช์ ซ่อนอยู่ภายในตัวเอง แต่บางครั้งเราได้ฝังกลบมันลึกมากจนไม่สามารถมองเห็นมันได้เอง

การนำเสนอเรื่องราวในหนังของลินช์เหมือนเป็นการเปิดเผยมุมมองที่เราไม่เคยรู้จักในตัวเรา โลกที่เราอาจจะเคยปิดกั้นไม่ให้มันปรากฏขึ้น เพราะมันน่ากลัวหรือไม่เป็นระเบียบ โลกที่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและคำถามที่ไม่มีคำตอบ แต่หนังของลินช์กลับสะท้อนให้เราเห็นว่า ความเป็นจริงนั้นมักจะซ่อนความฝันร้ายและความลับบางอย่างที่เราอาจไม่อยากเผชิญหน้าไว้เสมอ

ภาพยนตร์สยองขวัญไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ภาพยนตร์สยองขวัญที่มี ความลินช์ คือความสยองที่มาจากความสะพรึงในความ (เหมือนจะ) ไร้เหตุผล ความสะพรึงขวัญที่เราพบในหนังของลินช์ ไม่ได้มาจากการกรีดเลือดกรีดเนื้อ ปีศาจอันน่าสยดสยอง หรือตอนจบหักมุมที่คาดไม่ถึง แต่เพราะเราถูกบีบให้นึกถึงความสะพรึงที่เราเองซ่อนไว้ภายในตัว ซึ่งเราไม่สามารถปฏิเสธการมีอยู่ของมันได้อีกต่อไป สิ่งที่ทำให้มันน่ากลัวไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่เป็นสิ่งที่มันเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของเราเองต่างหาก

ภาพยนตร์สืบสวนก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่เช่นกัน แต่ภาพยนตร์สืบสวนแบบลินช์คือการสืบสวนที่ชวนให้เราสำรวจจิตใจและมุมมองต่อโลก (หรือภววิทยา) แบบใหม่ ๆ ที่ทำลายความสมเหตุสมผลของโลกใบเดิมที่เราเคยรู้จักและเชื่อว่าเป็นจริง ทั้งที่ในความเป็นจริงมันอาจจะเต็มไปด้วยความไร้เหตุผลที่เราเองก็รู้ลึก ๆ ว่ามันมีอยู่แล้วในโลกนี้

ลินช์เป็นคนที่ไม่ชอบอธิบายหนังตัวเองนัก ว่ามันหมายความว่าไง เราคิดว่าการพยายามอธิบายความลินช์ (Lynchian) เท่านี้ก็อาจจะมากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ สำหรับความคลุมเครือที่แสนทรงพลังในหนังของเขา เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งสำคัญอาจไม่เห็นได้ด้วยตาหรือแม้แต่ตัวหนังสือ แต่อาจพบได้ผ่านญาณ(ไม่)วิเศษบางอย่าง ที่ลินช์มอบทิ้งไว้ให้กับเรา เพื่อทำความเข้าใจโศกนาฏกรรมแปลกประหลาดบนโลกใบเดิมใบนี้

อ้างอิง
Antoine Petrov. (2024, November 25). Žižek on Lynch and the Artist’s Unconscious. YouTube.
Dazed. (2016, September 7). What does Lynchian actually mean? Dazed.
Provost R. VIDEO: David Lynch Directing Style Breakdown. StudioBinder. Published September 17, 2023. Accessed January 17, 2025.