History of Friends ย้อนรอยประวัติศาสตร์กว่าจะมาเป็นซีรีส์แก๊งเพื่อนแห่งนิวยอร์ก

Post on 22 September

วันที่ 22 กันยายน 1994 ผู้ชมชาวอเมริกาได้ทำความรู้จักกับแก๊งเพื่อน 6 คนที่ประกอบด้วย รอส เนิร์ดไดโนเสาร์, มอนิกา สาวเจ้าระเบียบ, เรเชล สาวหวานหัวอ่อนเจ้าน้ำตา (‘Rechel always cries!’ - Monica) , โจอี หนุ่มกินจุเจ้าของประโยคเด็ด ‘How you doing’ , แชนด์เลอร์ หนุ่มอารมณ์ขันสุดร้ายกาจผู้ทำอาชีพ...เอ่อ...ตัวรับสัญญาณ? และ ฟีบี สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดผู้อยู่เหนือตรรกะและกฎเกณฑ์ทั้งปวง

ไม่มีใครรู้ว่า 10 ปีผ่านไป ผู้ชมทั่วโลกจะต้องหลั่งน้ำตาเมื่อแก๊งเพื่อนทั้งหกโบกมือลาและปิดห้องอพาร์ตเมนต์ประตูสีม่วงในปี 2004 หลังผ่านไป 10 ซีซัน ‘Friends’ ก็กลายเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่มีฐานแฟนคลับหนาแน่นที่สุดในโลก แต่มากไปกว่านั้น เรื่องราวของหกเพื่อนซี้แห่งร้านกาแฟ Central Perk ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป็อป กลายเป็นความทรงจำที่งดงามของคนหนุ่มสาวยุค 90s-2000s และที่เหนือไปกว่านั้น มิตรภาพของตัวละครทั้งหกที่เริ่มต้นตั้งแต่ยุคเพจเจอร์ (มีใครเกิดไม่ทันสิ่งนี้ไหม?) กลับยังครองใจหนุ่มสาวยุคไอแพดได้ หลักฐานสำคัญก็คือการที่ Friends คือ 1 ใน 10 ซีรีส์ที่คนสตรีมเยอะมากที่สุดในปี 2020 ที่ผ่านมา

เนื่องในโอกาสที่วันที่ 22 กันยายน เป็นวันแรกที่ Friends ออกอากาศ GroundControl จึงขอใช้พื้นที่ของ History Of ในการชวนสาวกทุกคนย้อนกลับไปเปิดประตูเข้าไปสำรวจเรื่องราวในห้องพาร์ตเมนต์สีม่วงแห่งกรุงนิวยอร์ก… แหล่งที่พักใจของใครหลายคน (เช่นเรา)

เพราะไม่ว่าอย่างไร I’ ll be there for you…

The One With Marta Kauffman and David Crane Pitching

ย้อนกลับไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1994 ตารางการออกอากาศของ NBC นั้นแน่นขนัดและเต็มไปด้วยรายการที่ทำเรทติงแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตาย ย้อนกลับไปก่อนในช่วงยุค 1980s NBC คือโทรทัศน์เบอร์หนึ่งของอเมริกาที่มีรายการเด็ด ๆ อย่าง Cheers, Hill Street Blues, The Cosby Show, St. Elsewhere, The Golden Girls, และ L.A. Law. แต่พอมาถึงช่วงยุค 1990s NBC ก็ถูกแซงหน้าโดยสถานีโทรทัศน์ ABC ซึ่งสิ่งที่ NBC กำลังมองหาในตอนนั้นก็คือรายการโทรทัศน์ที่จะทวงคืนตำแหน่งแชมป์มาให้ได้

วันหนึ่ง ระหว่างที่ วอร์เรน ลิตเทิลฟีลด์ ที่ในตอนนั้นดำรงตำแหน่งประธานของ NBC Entertainment กำลังนั่งดูผลการศึกษากลุ่มผู้ชมวัยต่าง ๆ เขาก็คิดขึ้นมาว่า เขาสนใจอยากจะรู้เรื่องราวของคนหนุ่มสาวที่อาศัยอยู่ในเมืองต่าง ๆ เป็นเหล่ากลุ่มคนวัย 20 ต้น ๆ ที่กำลังเริ่มค้นหาเส้นทางของตัวเองในเมืองใหญ่ ๆ อย่างนิวยอร์ก, แอลเอ, ดัลลัส หรือ ซานฟรานซิสโก ลิตเทิลฟีลด์ดูตัวเลขค่าครองชีพที่คนกลุ่มนี้ต้องจ่ายในการอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่เหล่านี้ แล้วเขาก็พลันคิดขึ้นมาว่า คนหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มหาหนทางในการตั้งตัวกลุ่มนี้คงจะต้องอาศัยอยู่กันเป็นกลุ่ม ‘เพื่อน’ เพื่อช่วยหารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งลิตเทิลฟีลด์ก็สนใจว่า เรื่องราวของคนกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

ความสนใจในชีวิตของคนหนุ่มสาวในเมืองใหญ่ บวกกับความต้องการที่จะเจาะตลาดคนดูที่เป็นคนกลุ่มนี้ ลิตเทิลฟีลด์จึงเริ่มมองหาโปรเจกต์ที่เล่าเรื่องราวเช่นนั้น และนั่นเองคือตอนที่เขาได้พบกับโครงร่างบทของสองโปรดิวเซอร์ทีวีวัย 30 ต้น ๆ ที่ชื่อ มาร์ทา คอฟแมน และ เดวิด เครน

บทที่คอฟแมนและเครนส่งเข้ามาเพื่อรับการพิชชิงนั้นเป็นบทของซีรีส์ที่มีชื่อว่า Six of One โดยย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น คอฟและเครนคือมือเขียนบทละครเวทีที่หันมาชิมลางเขียนบทและโปรดิวซ์ซีรีส์โทรทัศน์แนวตลกที่ชื่อว่า Dream On ซึ่งมีจุดโฟกัสอยู่ที่แคแรกเตอร์หลักเพียงคนเดียว ความโหดหินในการทำซีรีส์ที่มีตัวเอกแค่คนเดียวทำให้ทั้งสองเข็ด และตั้งใจว่าซีรีส์เรื่องต่อไป พวกเขาจะเล่าเรื่องราวของตัวละครหลักที่เป็นกลุ่ม

คอฟแมนและเครนคือคนหนุ่มสาวที่เพิ่งย้ายออกจากนิวยอร์กเพื่อเข้ามาตามล่าหาฝันในลอสแอนเจลิส การห่างจากบ้านทำให้พวกเขาคิดถึงกลุ่มเพื่อนที่พวกเขาสนิทเหมือนกับครอบครัว ด้วยเหตุนี้เค้าโครงตั้งต้นของ Friends (หรือ Six of One ในตอนนั้น) จึงวางอยู่บนประสบการณ์จริงของครอฟแมนและเครน ยิ่งไปกว่านั้น วันหนึ่งขณะที่คอฟแมนกำลังขับรถผ่านร้านกาแฟแห่งหนึ่งในแอลเอ เธอก็พลันสะดุดตากับภายในร้านที่แน่นขนัดไปด้วยเฟอร์นิเจอร์แปลกที่แปลกทางที่ไม่เข้ากันสักตัว และที่อยู่ตรงกลางนั้นก็คือโซฟาซึ่งมีกลุ่มคนหนุ่มสาวกำลังนั่งเม้ามอยกันอยู่ ...เมื่อนั้นเองที่ภาพของ Friends หรือ Six of One เกิดเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา โดยประโยครวบที่ทั้งสองใช้ในการพิชชิงก็คือ “เรื่องราวของมิตรภาพ เพราะเมื่อคุณโสดและอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ‘เพื่อน’ ก็คือครอบครัวของคุณ”

คารีย์ เบิร์ก ที่ในตอนนั้นรับหน้าที่อดีตผู้บริหารที่ดูแลรายการในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ของ NBC ติดต่อไปยังสองเพื่อนซี้คอฟแมนต์และเครนเพื่อให้เข้ามาพูดคุยและนำเสนอโปรเจกต์ แล้วทีม NBC ก็ประทับใจในการพรีเซนต์และการต่อมุกกันเองระหว่างสองเพื่อนซี้ และ ณ จุดนั้น เรื่องราวของ Friends ก็เริ่มต้นขึ้น

The One With the Casts And the Audition

เมื่อโปรเจกต์ได้รับการไฟเขียวให้ทำตอนไพลอต ด่านต่อไปก็คือการหานักแสดงที่จะมารับบทหกเพื่อนซี้ โดยคนแรกที่ลอยลำเข้ามารอท่าคนอื่น ๆ เป็นคนแรกก็คือ แมทธิว เพอร์รี ในบท แชนด์เลอร์ โดยทางทีมสนใจในเซนต์ความตลกร้ายที่เป็นลายเซ็นของเพอร์รี และในยุคนั้นไม่ใช่ว่าจะหานักแสดงตลกที่หน้าตาดีด้วยกันได้ง่าย ๆ แต่ความน่าปวดหัวก็คือตอนนั้นเพอร์รีเซ็นสัญญาเล่นตอนไพลอตให้ซีรีส์ LAX 2194 ไปแล้ว และโอกาสเดียวที่พวกเขาจะได้เพอร์รีมาครองก็คือตอนไพลอตของเรื่องนั้นไม่ได้ไปต่อ

ด้วยความไม่อยากเสี่ยงรอคนที่อาจไม่ได้มา ทางทีมจึงลองแคสต์นักแสดงคนอื่นในบทของแชนด์เลอร์ไปด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็พบว่าไม่มีใครมาแทนที่เพอร์รีได้ แชนด์เลอร์ต้องเป็นเพอร์รีเท่านั้น ถึงขนาดที่ว่าตอนนั้นพวกเขาคิดว่านักแสดงที่ชื่อ เคร็ก เบียร์โก มีความ ‘เกือบ’ ได้แล้ว จนได้มารู้ทีหลังว่าเพอร์รีเป็นคนโค้ชให้เบียร์โกมาออดิชั่นบทแชนด์เลอร์ ทางทีมก็ยิ่งตัดใจยากเข้าไปอีก

ในที่สุดแล้วคนที่ใช่ก็คือคนที่ใช่ เมื่อ LAX 2194 ไม่ได้ไปต่อ และเพอร์รีก็เป็นอิสระและมายืนรอเพื่อนคนอื่นในบทแชนด์เลอร์ได้ในที่สุด

คอร์ทนีย์ ค็อกซ์ คืออันดับที่สองที่เข้ามารอในทีม โดยตอนแรกทางทีมเสนอบทเรเชลให้กับค็อกซ์ แต่ค็อกซ์เสนอว่าเธออยากเล่นเป็น มอนิกา มากกว่า (ซึ่งทั้งสองก็เป็นคนคลั่งการจัดระเบียบและความสะอาดเหมือนกันด้วย)

คอฟแมนและเครกเขียนบทมอนิกาโดยมีเสียงของ แจนนีน กาโรฟาโล (คนพากย์เสียงเป็นนางเอก ใน Ratatouille) ในหัว แต่ค็อกซ์ก็เข้ามาช่วยเพิ่มมิติให้กับบท โดยเฉพาะการเพิ่มความเป็นแม่ที่คอยปกป้องคนอื่นให้กับมอนิกา ซึ่งบุคลิกที่คล้ายกันระหว่างค็อกซ์กับมอนิกาก็ยิ่งแสดงออกมาให้เห็นยิ่งขึ้นเมื่อเริ่มเปิดกล้องตอนไพลอต และค็อกซ์ก็คอยเป็นคนที่ผสานและให้คำแนะนำกับเพื่อนนักแสดงคนอื่น ๆ เนื่องจากในตอนนั้นเธอคนเป็นที่ ‘เป็นงาน’ และเป็นที่รู้จักในฐานะนักแสดงมากที่สุดในกลุ่ม

แมตต์ เลอบลองก์ ในบท โจอี คือรายต่อมาที่เข้ามายืนจองที่ในทีม โดยตอนนั้นเลอบลองก์ที่เพิ่งผ่านการเล่นซีรีส์มาสามเรื่องยอมรับว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับซีรีส์เรื่องนี้มากนัก นอกจากว่ามันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนหกคน

ในคืนก่อนไปออดิชั่น เลอบลองก์ซ้อมบทกับเพื่อนนักแสดงอีกคนหนึ่งที่สุดท้ายก็ปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่า ในเมื่อซีรีส์เรื่องนี้ว่าด้วยมิตรภาพของเพื่อน ทำไมไม่ออกไปปาร์ตีสุดเหวี่ยงกับเพื่อนแทนที่จะมานั่งซ้อมบทล่ะ? (คุ้น ๆ มั้ย) ซึ่งกลายเป็นว่าเลอบลองก์ก็เห็นดีเห็นงามด้วย จนสุดท้ายเขาก็ลงเอยด้วยการไปออดิชั่นในตอนเช้าด้วยรอยแผลบนจมูกที่ได้มาจากการเมาแล้วลื่นล้ม ซึ่งแทนที่คอฟแมนและเครนจะเบือนหน้าหนี พวกเขากลับมองว่าไอ้หนุ่มคนนี้ตลกดี จนสุดท้ายไม่เพียงพวกเขาจะมอบบทโจอีให้กับเลอบลองก์ แต่ยังตัดสินใจปรับบทให้โจอีเป็นคนโง่ในตอนหลัง (ซะงั้น) เพราะในช่วงที่ถ่ายตอนไพลอต พวกเขาพบว่า “เลอบลองก์เล่นเป็นคนโง่ได้เก่งมาก” แต่ที่มากไปกว่านั้น พวกเขาค้นพบว่าเลอบลองก์เล่นเป็นคนโง่ได้น่าทะนุถนอมและน่ารัก คนใคร ๆ ก็อยากจะกอดและมอบความรักให้โจอีผู้ไร้เดียงสา

รายต่อมาที่มาร่วมทีมก็คือ เจนนิเฟอร์ อนิสตัน ในบท เรเชล แต่รู้หมือไร่ว่า ในตอนแรกเรเชลเกือบจะไม่ใช่อนิสตันแล้ว เพราะย้อนกลับไปตอนนั้น NBC อยากได้ เจมี เกิร์ตซ์ นักแสดงสาวดาวรุ่งในยุคนั้นมาเล่นซีรีส์เรื่องนี้ จึงเสนอบทเรเชลให้กับเกิร์ตซ์ไป ซึ่งก็ทำให้สองคู่หูคอฟแมนกับเครนต้องกลั้นหายใจ เพราะแม้ว่าเกิร์ตซ์จะเป็นนักแสดงสาวฝีมือดี แต่พวกเขามองว่าเธอไม่ใช่เรเชลที่มองหา และทั้งคู่ก็ได้ยกภูเขาออกจากอกเมื่อเกิร์ตซ์บอกผ่านบทนี้ไปในที่สุด

ที่จริงแล้วคอฟแมนและเครนมีคนที่อยู่ในใจสำหรับบทเรเชลอยู่แล้ว นั่นก็คืออนิสตัน เพราะตอนนั้นพวกเขาได้เห็นเธอจากซีรีส์ Ferris Bueller แล้วเกิดประทับใจ และได้ลองเรียกเธอมาเล่นตอนไพลอตในซีรีส์หลายเรื่องที่ไม่ได้สร้าง แล้วฟ้าก็บันดาลให้วันหนึ่ง ลิตเทิลฟีลด์บังเอิญพบกับอนิสตันในฮอลลีวูด ซึ่งอนิสตันก็ได้ถามลิตเทิลฟีลด์ไปตรง ๆ ว่า เธอจะได้มีวันเล่นซีรีส์ของเขาบ้างไหม และตอนนั้นเองที่ลิตเทิลฟีลด์คิดกับตัวเองว่า บางทีบทเรเชลที่พวกเขากำลังมองหานักแสดงอยู่นั้นอาจจะเป็นของหญิงสาวตรงหน้าเขาก็ได้

แม้ทีมผู้สร้างจะเชียร์สุดใจ และผู้บริหารก็ไฟเขียวแล้ว แต่การจะได้อนิสตันมารับบทเรเชลนั้นก็ไม่ใช่เส้นทางที่ง่ายเลย เพราะตอนนั้นอนิสตันติดเล่นซีรีส์เรื่อง Muddling Through ของช่อง CBS อยู่ ซึ่งทีมผู้สร้างก็ถึงขนาดลงทุนไปขอร้องให้ทีมนั้นยอมปล่อยตัวอนิสตันมา แต่ก็ไม่เป็นผล จนในที่สุดอนิสตันก็ไปหาผู้บริหารของซีรีส์และเผลอปล่อยโฮออกมา นั่นเองอนิสตันจึงเป็นอิสระและได้รับบทเรเชลในที่สุด (สมกับเป็นเรเชลสุด ๆ)

ผู้เข้ารอบคนต่อมาก็คือ ลิซา คูโดรว์ ในบท ฟีบี ซึ่งแทบจะลอยลำมาแบบมาวิน เพราะทีมผู้สร้างติดใจเธอจากการรับบทในซิตคอมคอเมดีเรื่อง Mad About You อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อถึงคราวต้องมาออดิชั่น คูโดรว์ก็หาได้มีความมั่นใจใด ๆ เลย เพราะเธอต้องมานั่งอ่านบทต่อหน้า จิมมี เบอร์โรว์ ผู้ารับหน้าที่กำกับซีรีส์ (และมารับบทนักแสดงรับเชิญในบทผู้กำกับในตอนที่โจอีไปเป็นสตันท์ ‘ก้น’ ให้ อัล ปาชิโน) ซึ่งเบอร์โรว์ก็เคยไล่คูโดรว์ออกจากซีรีส์ Frasier ในระหว่างซ้อมบทตอนไพลอตด้วย

การไปออดิชั่นในครั้งนั้นจึงเหมือนเป็นฝันร้ายของคูโดรว์ เธอย้อนความหลังว่า ในวันนั้นเธออ่านบทด้วยความประหม่าสุด ๆ และคิดว่าตัวเองคงชวดบทนี้แล้วแน่ ๆ ความกดดันทำให้คูโดรว์ถึงกับโพล่งออกมาว่า เธออาจจะเหมาะกับบทเรเชลมากกว่า แต่เมื่อทีมงานทุกคนยืนยันว่าเธอคือสาวเพี้ยนฟีบีตัวจริง คูโดรว์ก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้น และคว้าบทฟีบีมาได้ในที่สุด

และรายสุดท้ายที่เซ็นสัญญาเข้ามาในแก๊งเพื่อนแห่งกรุงนิวยอร์กก็คือ เดวิด ชวิมเมอร์ ในบท รอสส์ เกลเลอร์ ที่ที่จริงแล้วมาออดิชั่นก่อนใครเพื่อน และทีมงานทุกคนก็รักชวิมเมอร์ในบทด็อกเตอร์เนิร์ดไดโนเสาร์มาก แต่กว่าที่ทีมงานจะเดินหน้าวางแผนถ่ายทำตอนไพลอต ชวิมเมอร์ก็บินไปชิคาโกและวุ่นอยู่กับโปรเจกต์ละครเวทีของตัวเองแล้ว แต่ทีมงานก็ยังคงอยากได้ชวิมเมอร์มาก เพราะชวิมเมอร์คือรอสส์ เกลเลอร์ ถึงขนาดที่ผู้กำกับเบอร์โรว์บอกกับนักแสดง เอริก แม็คคอร์มิก ที่พยายามจะชิงบทนี้มาให้ได้ในระหว่างที่ชวิมเมอร์ยังไม่เซ็นสัญญาว่า “เธอจ๋า เธอกำลังเสียเวลาไปเปล่า ๆ เพราะบทนี้ถูกเขียนขึ้นมาให้ชวิมเมอร์เท่านั้น”

ในตอนนั้นชวิมเมอร์ได้บอกกับตัวแทนของเขาไว้ว่า ไม่ต้องส่งบทใดมาให้ เพราะเขาอยากตั้งใจกับการทำละครเวที อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของเขาที่เหมือนจะรู้ว่านี่คือบทฟ้าประทานมาให้ชวิมเมอร์ก็ได้คะยั้นคะยอให้ชวิมเมอร์ลองไปอ่านบทอีกครั้ง ซึ่งชวิมเมอร์ก็ตกลงที่จะไปลองอ่านดูเพราะเขาจำได้ว่าตัวเองประทับใจบทนี้มาก แต่ก็ยืนกรานว่าจะไม่รับบทนี้ในตอนนี้แน่นอน จนสุดท้ายแล้วเพื่อนของชวิมเมอร์คนหนึ่งที่ชวิมเมอร์นับถือมาก ๆ และก็เป็นเพื่อนกับสองผู้สร้าง Friends ด้วย ได้มาเกลี้ยกล่อมให้ชวิมเมอร์ยอมใจอ่อน ...นั่นเองตัวละครสุดท้ายจึงเข้าประจำที่ และทีมงานก็พร้อมที่จะเปิดกล้องตอนไพลอตของ Friends ในที่สุด

The One With the Pilot

“ย้อนกลับไปตอนนั้น เราไม่รู้เลยว่าซีรีส์เรื่องนี้จะออกมาหน้าตาเป็นยังไง ตอนนั้นพวกเราเป็นคนทำซีรีส์ที่ถูกแคนเซิลมาแล้ว เราก็เลยไม่มั่นใจในตัวเองกันสุด ๆ กระทั่งจิมมี เบอร์โรว์ ก้าวเข้ามากำกับ เขาเข้าใจในสิ่งที่เราอยากจะทำ” เครนย้อนเล่าถึงการเตรียมถ่ายทำตอนไพลอตของ Friends

“โครงสร้างของตอนไพลอตของเราค่อนข้างหลวม ย้อนกลับไปตอนแรกเรากะจะเปิดเรื่องด้วยฉากเรเชลที่หน้าแท่นพิธี และมีพ่อแม่ของเธอในฉากด้วย แต่เราก็พบว่ามันไม่โอเค เราเลยลองใหม่”

ในที่สุดตอนการเปิดตัวของตอนไพลอตก็เป็นฉากที่สี่สหายนั่งพูดคุยเรื่อยเปื่อยกันอยู่ในร้านกาแฟ ก่อนที่รอสจะเดินเข้ามาและพูดถึงชีวิตคู่ของตัวเองที่เพิ่งจบลง

แม้ว่านักแสดงและทีมผู้สร้างทุกคนจะยกให้เบอร์โรว์คือปฏิหาริย์ที่ทำให้ตอนไพลอตแสนธรรมดานี้ออกมาน่าสนใจได้ แต่คนที่ไม่สบายใจเลยกับการมีเบอร์โรว์นั่งอยู่หลังมอนิเตอร์ก็คือลิซา คูโดรว์ ที่ยังไม่หายเกร็งกับเบอร์โรว์

“ในช่วงอาทิตย์แรกฉันกลัวจนหัวหดเลย ฉันได้ยินจิมมีพูดว่า ‘ทำไมพวกเขาถึงมาเป็นเพื่อนกับยัยนี่ได้นะ’ เขาหมายถึงฟีบีน่ะ ‘เราต้องตีโจทย์ให้แตกนะ ไม่งั้นเธอจะไม่เข้ากับกลุ่มนี้เลย’ ตอนนั้นฉันคิดกับตัวเองว่า ‘เอาแล้วไง’ พอถึงจุดหนึ่งฉันก็คิดว่ามันคงตลกดีถ้าฉันลงไปนั่งพูดบทใต้โต๊ะ ก็เพราะบทของฉันเป็นคนเพี้ยนไง มาร์ทากับเดวิดพูดว่า ‘เอ่อ ลิซา มันก็ไม่ได้แย่นะ แต่มันก็ไม่น่าจะโอรึเปล่า’ แต่กลายเป็นว่าจิมมีหนุนหลังฉันเต็มที่ แล้วเราก็ลองทำดู สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาได้”

นอกจากนี้ คนที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวประสานของทั้งกลุ่มก็คือคอร์ทนีย์ ค็อกซ์ โดยเธอนำประสบการณ์ในการไปเล่นบทรับเชิญในซีรีส์ Seinfeld ที่เป็นซิตคอมซึ่งมีตัวเอกมากกว่าหนึ่งคนเหมือนกัน

“ ‘ฟังนะ ฉันเคยไปเล่น Seinfeld มา และพวกเขาก็ทำงานกันเป็นทีม เขาจะคอยบอกกันว่า ลองแบบนี้สิ ลองแบบนั้นสิ” คูโดรว์ย้อนเล่าถึงสิ่งที่ค็อกซ์บอกกับพวกเขาในวันนั้น “แล้วเธอก็ตบท้ายว่า ‘มีอะไรก็บอกฉันได้เลย ถ้าฉันทำให้มันตลกขึ้นได้ ฉันจะทำ’

ในที่สุดตอนไพลอตก็ถ่ายทำจนเสร็จสิ้น คอฟแมนกับเครนซื่อตรงกับตัวเองพอที่จะส่งตอนไพลอตฉบับตัดต่อที่พวกเขาอยากให้เป็นไปให้ NBC และระหว่างนั้นก็คือการกุมพระรอ เพราะย้อนกลับไปในปี 1994 ยังไม่เคยมีใครทำซีรีส์ที่ว่าด้วยพล็อตง่าย ๆ อย่างมิตรภาพของหกหนุ่มสาวในเมืองใหญ่มาก่อน ซึ่งผลการทดลองฉายตอนไพลอตกับผู้ชมในรอบทดลองก็ออกมาแบบที่ทุกคนคาดกันไว้ ผู้ชมไม่เก็ทว่าการพูดเรื่องเซ็กซ์ด้วยท่าทีแสนสบาย ๆ ของเหล่าเพื่อนในกลุ่มนั้นมันตลกตรงไหน แถมในตอนที่มอนิกาได้รู้ว่า พอล ไอ้หนุ่มไวน์ ที่เธอมีเซ็กซ์ด้วยหลอกเธอเรื่องที่เขาตรอมใจจากรักครั้งเก่าจนไม่เคยมีอะไรกับใครมานานแล้ว ผู้ชมในรอบทดลองก็กลับคิดว่า ‘ก็สมน้ำหน้าเธอแล้ว’ ในขณะที่ผู้บริหารของ NBC คนอื่น ๆ ก็รับไม่ได้กับมุกที่รอสส์ขอเก็บผ้าอนามัยของเมียเก่าไว้เป็นของดูต่างหน้า

แม้ว่าผลการตอบรับจากรอบทดลองจะไม่ค่อยดีนัก แต่ทีมผู้สร้างและผู้กำกับกลับเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง และพวกเขาก็เชื่อจากเสียงตอบรับและเสียงหัวเราะของผู้ชมในห้องส่งที่ได้ดูโชว์นี้หน้างานและมีปฏิกิริยากับมุกตลกทั้งหมด ซึ่งตอนนั้นชื่อของซีรีส์ก็ได้ถูกเปลี่ยนจาก Six of One เป็น Friends แล้ว และผู้กำกับเบอร์โรว์ก็มั่นใจว่าซีรีส์เรื่องนี้จะฮิตเป็นพลุแตกแน่นอน

สิ่งที่เบอร์โรว์ทำหลังจากถ่ายตอนไพลอตเสร็จก็คือการพาแก๊งนักแสดงทั้งหกขึ้นเครื่องบินส่วนตัวไปใช้เวลาร่วมกันที่ลาสเวลัส โดยระหว่างบินอยู่นั้นเบอร์โรว์ก็ได้ฉายตอนแรกของ Friends ให้ทีมนักแสดงดูเป็นครั้งแรก เมื่อมาถึงที่หมาย เบอร์โรว์ก็ให้เงินกับนักแสดงแต่ละคนจำนวนหนึ่งแล้วสั่งให้ทุกคนไปเล่นพนันกันให้ฉ่ำ พร้อมกับกำกับว่า ‘ผมอยากให้พวกคุณรู้เอาไว้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกคุณได้ออกมาข้างนอกโดยที่ไม่มีคนมารุมตอมล้อมหน้าหลัง เพราะนั่นล่ะจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกคุณต่อจากนี้ไป!’

The One With Friends’ Phenomenon

Friends ออกอากาศครั้งแรกในคืนวันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน และแม้ว่าจะได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดี แต่เรทติงในช่วงแรกก็ไม่ได้ดูน่าตื่นตาตื่นใจอะไรมากนัก แต่แล้วเมื่อผุ้ชมเริ่มทำความรู้จักกับตัวละคร และได้ซึมซับเรื่องราวของมิตรภาพที่ซ่อนอยู่ในบทพูดแสนตลกและมีเสน่ห์ ก็ใช้เวลาไม่นานเลยที่เหล่า ‘เพื่อน’ จะเข้าไปนั่งในใจของผู้ชม

“หนึ่งในบทเรียนที่เราได้รับจากการทำซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ ทุกอย่างดีขึ้นเมื่อหกคนนี้อยู่ด้วยกัน ในบางฉาก เราพบว่าการฟังพวกเขาพูดว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างนั้นดีกว่านำเสนอมันออกมาตรง ๆ เสียอีก เราได้เรียนรู้ว่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผู้ชมอยากเห็นก็คือหกคนนี้นั่งอยู่ในห้องเดียวกัน” คอฟแมนกล่าว

“ในช่วงแรกที่ถ่ายทำซีซั่นแรก จิมมีก็มาบอกกับเราว่า ‘พวกคุณไปนั่งเล่นกันในห้องส่วนตัวของผมก็ได้นะ’ เพราะจิมมิมีห้องแต่งตัวที่ใหญ่ที่สุดในกอง” คูโดรว์ย้อนเล่าถึงจุดเริ่มต้นของมิตรภาพนอกจอที่เริ่มก่อตัวขึ้นในทีมนักแสดง “เรามานั่งเล่นโป๊กเกอร์กันในห้องนั้น และก็เริ่มผูกพันกัน ฉันคิดว่าพวกเราทุกคนล้วนเข้าใจกันดีว่าจุดเด่นของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือการที่พวกเขาเป็นทั้งเพื่อนสนิทและครอบครัวของกันและกัน เราเลยใช้เวลาด้วยกันบ่อยมาก เราทำความรู้จักกัน ผูกสัมพันธ์กัน เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่โชว์นี้จะออกมาได้ดี”

“ในช่วงปีแรก เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันเยอะมาก เราไม่อยากแยกจากกันเลย เราจะไปกินมื้อเย็นด้วยกันหลังถ่ายเสร็จทุกครั้ง หรือไม่ก็มื้อกลางวัน หรือไม่ก็เล่นโป๊กเกอร์ หรือเกมอะไรก็ได้ ผมคิดว่าตอนนั้นพวกเราต่างก็รู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาพีคสุดในชีวิตของพวกเรา การที่พวกเราผ่านความหวาดกลัวและกังวลมาด้วยกันมันทำให้เราผูกพันกันมาก ๆ จนสุดท้ายแล้วเหมือนพวกเราก็มีอีกชีวิตหนึ่งร่วมกัน เป็นชีวิตที่เราเกาะเกี่ยวและปกป้องกัน”

เมื่อ Friends ถูกนำมาฉายรีรันในช่วงฤดูร้อนปี 1995 มันก็กลายเป็นซีรีส์ฮิตระเบิดในที่สุด ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น เพลง I’ ll Be There for You ของ The Rembrandts ถูกกระหน่ำเปิดทุกที่ Friends ค่อย ๆ ไต่ระดับในตารางเรทติงขึ้นมาเรื่อย ๆ จากท็อป 10 สู่ท็อป 5 และในช่วงที่ซีรีส์เดินทางมาถึงซีซั่นที่ 2 ในปี 1996 เมื่อ Friends ตอนพิเศษ 1 ชั่วโมงที่มีนักแสดงรับเชิญเป็น บรูค ชีลด์ และ ฌ็อง-คล็อด แวนแดม ถูกฉายหลังการแข่งขัน Super Bow ในปีนั้น มันก็ทำเรทติงได้สูงถึง 29.6 หรือคิดเป็น 46 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ชมทั้งประเทศ! ไม่เคยมีซีรีส์เรื่องใดที่ทำเรทติงได้สูงขนาดนั้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ และไม่เคยมีรายการโทรทัศน์ตอนกลางคืนรายการไหนในประวัติศาสตร์วงการโทรทัศน์ของอเมริกาที่สามารถทำให้ผู้ชม 140 ล้านคนมารวมตัวกันโดย (มิได้) นัดหมายหน้าจอแบบนี้มาก่อน!

เมื่อ Friends ออกอากาศมาเรื่อย ๆ ในซีซั่นถัด ๆ ไป มันก็กลายเป็นซีรีส์ขวัญใจมหาชน และแน่นอนว่าทำให้นักแสดงทั้งหกจับมือกันแจ้งเกิดกลายเป็นซูเปอร์สตาร์พร้อมกัน และในช่วงเวลานั้นก็มีแต่พวกเขาหกคนเท่านั้นที่เข้าใจดีว่าพวกเขากำลังต้องเผชิญและรับมือกับชื่อเสียงที่เข้ามาแถบถาโถมโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งเมื่อการเดินทางของทั้งหกคนเดินมาถึงตอนสุดท้ายในอีก 10 ปีถัดมา มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะโบกมือและกล่าวอำลา ‘เพื่อน’ ที่เดินร่วมทางกันมาถึงหนึ่งทศวรรษ

“ในช่วงก่อนที่เราจะถ่ายทำตอนจบ มันเป็นสองสัปดาห์ที่หนักหน่วงมาก พวกเราไปใช้เวลาช่วงคริสต์มาสด้วยกัน จากนั้นก็กลับมาถ่ายตอนสุดท้ายของซีรีส์ที่มีความยาวหนึ่งชั่วโมง” เลอบลองก์ย้อนรำลึกความหลังเป็นการส่งท้าย

“ตอนนั้นผมเลิกสูบบุหรี่มาได้สี่ปีแล้ว และในช่วงสองสัปดาห์นั้นผมก็กลับมาสูบบุหรี่อีก เพราะเราทุกคนต่างรู้กันดีว่าช่วงเวลาที่เราจะได้อยู่ด้วยกันได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ‘ใช่ เดี๋ยวเราก็ได้คุยกันอีก ใช่ เราจะอยู่ในชีวิตของกันและกันตลอดไป แต่ไม่ใช่แบบนี้อีกต่อไปแล้ว ผมจะไม่ได้เจอพวกคุณทุกวัน ทั้งวัน ไม่ได้กินมื้อกลางวันด้วยกันอีก ช่วงเวลาสุดยอดเหล่านี้ ประสบการณ์สุดยอดที่ผมได้เจอทุกสัปดาห์ มันกำลังจะจบลงแล้ว’

“ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้าย เราจึงฉกฉวยช่วงเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราจะได้อยู่ร่วมกัน ‘เฮ้ ไปแฮงเอาต์กันเถอะ ไปนั่งเล่นในห้องฉันกัน’ ...และกลายเป็นว่าในช่วงเวลานั้น เราเสียน้ำตาให้กันเยอะมาก

“นอกจากผมแล้ว ในโลกนี้มีคนเพียงห้าคนเท่านั้นที่รู้ว่าการได้เป็น Friends กันนั้นมันเป็นอย่างไร เดวิด แมทธิว ลิซา คอร์ทนีย์ และเจน คือห้าคนนั้น มาร์ทากับเดวิดอาจจะสนิทกับเรามาก แต่ในที่สุดพวกเขาก็ต้องไปอยู่หลังกล้อง ไม่มีใครรู้ว่าการอยู่บนเวทีหน้ากล้องนั้นมันเป็นอย่างไร ในที่สุดแล้ว ที่ไหนสักแห่งหนึ่งในใจของพวกเรา พวกเราทั้งหกคนยังคงอยู่บนเวทีนั้น นั่นคือสิ่งที่จะอยู่กับพวกเราตลอดไป”

และสำหรับเหล่า Friends นอกจออีกกว่า 100 ล้านคนที่ใช้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเครื่องปลอบประโลมจิตใจ เลอบลองก์ก็กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือสิ่งที่ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขาในตอนที่คุณเจอพวกเขาบนถนน ในห้าง หรือกำลังยืนต่อแถวในร้านขายของชำ คุณสามารถอ่านได้จากสีหน้าของพวกเขาว่าคุณเคยเป็น ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของพวกเขา ถ้าเป็นหนัง คุณต้องแต่งตัว ออกไปกินข้าว และค่อยเข้าไปดูหนังในโรงหรัง แค่กับรายการโทรทัศน์ คนดูดูได้จากบนเตียง บนโต๊ะกินข้าว คุณได้เข้าไปอยู่ในบ้านของพวกเขา