ย้อนกลับไปเมื่อราว ๆ ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เราบังเอิญเห็นประกาศ Open Call จาก SOME SPACE Gallery และกลุ่ม Sapphic Pride ผ่านหน้าเฟสบุค เกี่ยวกับการตามหาศิลปิน ‘เควียร์’ หรือบุคคลที่นิยามตนเองว่าเป็น LGBTQ+ มาร่วมกันจัดแสดงนิทรรศการ ‘Queer Feminist’ นิทรรศการที่ไม่ได้รวบรวมเพียงงานศิลปะ แต่ยังตั้งใจสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เปิดรับตัวตน ทัศนะ และการตั้งคำถามต่อความหลากหลายทางเพศและแนวคิดสตรีนิยม ผ่านมุมมองที่หลากหลายแบบไม่จำกัด
ในเดือนนี้ นิทรรศการ ‘Queer Feminist’ ก็ได้กลับมาสู่ความสนใจของเราอีกครั้ง หลังได้เห็นรูปแบบการจัดงานที่ขยับขยายไปไกลกว่าแค่ภายในแกลเลอรี ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำร่วมกับชุมชน ทั้งพาเหรด เวิร์กชอป และการจัดฉายหนัง ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพของ ‘เฟมินิสต์’ ที่ไม่ได้มีแต่เสียงของผู้หญิง และ ‘เควียร์’ ที่ไม่จำกัดอยู่แค่กลุ่ม LGBTQ+
อย่างไรก็ตาม แม้นิทรรศการนี้จะปิดฉากลงไปแล้วเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา แต่เมื่อได้เห็นแนวคิดต่าง ๆ ที่ทีมผู้จัดพยายามสื่อสารผ่านงาน ก็ทำให้เรายิ่งสนใจในเบื้องหลังของโปรเจกต์นี้ จึงตัดสินใจติดต่อ ‘ไอซ์ – วิรินสิรี ชมเชย’ ผู้ก่อตั้ง Some Space Gallery และเจ้าของพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการ ร่วมด้วย ‘หมวย – ชนานาถ โชติสุวรรณรัตน์’ ผู้ก่อตั้ง Sapphic Pride และเจ้าของบาร์ Sapphic Riot เพื่อชวนย้อนคุยถึงแรงบันดาลใจแรก การตีความคำว่า ‘เควียร์เฟมินิสต์’ ในแบบของพวกเขา ไปจนถึงกระบวนการคัดเลือกศิลปิน การเล่าเรื่องผ่านงานศิลปะ การออกแบบพื้นที่ และกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับชุมชน LGBTQ+ ในเชียงใหม่ รวมถึงความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ที่จะพาแนวคิดเควียร์และเฟมินิสต์ในไทยไปได้ไกลยิ่งขึ้น
ตามมาอ่านบทสนทนา และรู้จักกับคำว่า ‘เควียร์เฟมินิสต์’ แบบเข้าใจง่าย ที่จะทำให้คุณมองเห็นความหลากหลายทางเพศและสตรีนิยมในมุมใหม่ ไม่ซับซ้อน ไม่ตัดสิน และเป็นเรื่องของทุกคนในสังคม
(ซ้าย) ไอซ์ – วิรินสิรี ชมเชย และ (ตรงกลาง) หมวย – ชนานาถ โชติสุวรรณรัตน์
รู้จัก ‘SOME SPACE Gallery’ และ ‘Sapphic Pride’ สองพื้นที่ปลอดภัยที่อยากทำให้เชียงใหม่เป็นพื้นที่แห่งความหลากหลายอย่างแท้จริง
GC: ทั้งสองคนช่วยแนะนำตัวหน่อยได้ไหม
ไอซ์: สวัสดีค่ะ ไอซ์นะคะ เป็นผู้ดูแล SOME SPACE Gallery แล้วตอนนี้ก็กำลังทำนิทรรศการร่วมกับทาง Sapphic Pride ด้วย สำหรับงานนี้ ไอซ์ดูแลเรื่องการออกแบบนิทรรศการ การติดตั้ง แล้วก็การคัดเลือกศิลปินค่ะ
หมวย: หมวยค่ะ เป็นหนึ่งในทีม Sapphic Pride ที่ดูแลโครงการนี้ แล้วก็เปิดร้าน Sapphic Riot ด้วย กลุ่มของเราทำงานเกี่ยวกับประเด็นเควียร์เฟมินิสต์อยู่แล้วค่ะ
GC: ช่วยเล่าถึงภาพรวมของกลุ่มและสเปซที่ทั้งสองคนกำลังดูแลในตอนนี้ให้ฟังหน่อย
ไอซ์: จริง ๆ SOME SPACE Gallery เริ่มต้นจากแนวคิดของ ‘Some’ หรือบางสิ่งบางอย่างที่เป็นพื้นที่ไม่ตายตัว เราเลยอยากให้แกลเลอรีนี้เปิดรับความหลากหลายของงานศิลปะ ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นรูปแบบไหน ซึ่งปีนี้ก็เข้าสู่ปีที่สองแล้ว จากเดิมที่เราเน้นจัดแสดงงานศิลปะเชิงทดลอง หรืองานที่ไม่ค่อยมีพื้นที่ให้โชว์ หรืองานที่อาจจะไม่ได้เน้นขายหรือทำกำไรได้มากนัก เราก็เริ่มหันมาทำงานที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะประเด็นที่เพื่อน ๆ เราทำงานอยู่ เช่น ชาติพันธุ์ สิทธิ การเมือง หรือเรื่องเพศ ตอนนี้ SOME SPACE Gallery เลยกลายเป็นพื้นที่ศิลปะที่ทำงานร่วมกับนักกิจกรรมและสื่อสารเรื่องเชิงสังคมและการเมืองเพิ่มมากขึ้นค่ะ
หมวย: ส่วน Sapphic Pride เป็นกลุ่มที่ก่อตั้งมาได้ประมาณสามปีแล้วค่ะ ตอนแรกเราเริ่มจากการรวมกลุ่มของคนที่ระบุตัวตนว่าเป็นแซฟฟิก หรือหญิงรักหญิง แต่พอทำไปสักพักก็เริ่มขยับขยายไปทำประเด็นเฟมินิสต์มากขึ้น เพราะเรารู้สึกว่ามันเปิดกว้างกว่า และหลายคนก็อาจจะไม่อยากนิยามตัวเองแบบตายตัว หมวยเองเรียนจบสายศิลปะมา แล้วก็รู้สึกว่าพื้นที่ของศิลปะส่วนใหญ่มักมีแต่ผู้ชาย ก็เลยอยากเริ่มต้นอะไรบางอย่างที่รวมกลุ่มเควียร์ หรือเฟมินิสต์ในเชียงใหม่ให้มากขึ้น ถึงตอนนี้คนที่มาร่วมกิจกรรมหลายคนจะยังมาจากกรุงเทพฯ อยู่เยอะ แต่เราก็หวังว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของบางอย่างที่ใหญ่ขึ้นในเชียงใหม่ค่ะ
จุดเริ่มต้นนิทรรศการที่รวมคำว่า ‘เควียร์’ และ ‘เฟมินิสต์’ ครั้งแรกในเชียงใหม่
GC: ทั้งสองทีมมาร่วมงานกันได้ยังไง แล้วทำไมถึงสนใจประเด็น ‘เควียร์’ และ ‘เฟมินิสต์’
หมวย: อย่างที่บอกไปว่าเราทำงานในประเด็นนี้อยู่แล้ว และทุนที่เราได้รับมาก็ให้ทำงานเกี่ยวกับเฟมินิสต์ในแบบที่เราเลือกได้ พอเรามีไอเดียในหัวอยู่ก่อนแล้ว เลยชวนไอซ์มาคุย และตัดสินใจทำมันให้เป็นรูปธรรมจริง ๆ ขึ้นมา
ไอซ์: เสริมจากหมวย ก็คือเราสองคนเห็นตรงกันว่า ยังไม่ค่อยมีพื้นที่ที่เปิดให้พูดเรื่องเพศและศิลปะในเวลาเดียวกันแบบจริงจัง ถ้าพูดแยกกันยังพอเห็นอยู่บ้าง เช่น กิจกรรมทางศิลปะที่พูดเรื่องเฟมินิสต์หรือเควียร์แยกกัน แต่สองคำนี้ยังไม่ค่อยถูกนำมาอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวกัน โดยเฉพาะในบริบทของไทย ซึ่งเท่าที่เราหาข้อมูล ยังไม่เจอใครทำในลักษณะนี้ในประเทศเลย
หมวย: แล้วมันก็บังเอิญว่าเครือข่ายของเรามีหลายกลุ่มอยู่แล้วด้วย เราอยากให้ทุกคนเห็นว่าการเฉลิมฉลอง Pride Month หรือการพูดถึงเรื่องเพศ มันมีหลายรูปแบบ ไม่ได้มีแค่พาเหรดหรือปาร์ตี้ แต่การทำนิทรรศการก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายขึ้นเหมือนกัน
GC: แล้วสำหรับทั้งสองคน คำว่า ‘เควียร์เฟมินิสต์’ หมายถึงอะไร
หมวย: สำหรับเราสองคำนี้มันแทบจะแยกกันไม่ออกอยู่แล้ว เควียร์กับเฟมินิสต์คือชุดความคิดที่เกี่ยวข้องกันโดยธรรมชาติ เพราะทั้งคู่พูดถึงการท้าทายกรอบของเพศและอำนาจแบบเดิม ๆ เฟมินิสต์ไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องสิทธิของผู้หญิงหรือร่างกายอย่างเดียว แต่ยังพูดถึงเรื่องชนชั้น การศึกษา ภาษา และวัฒนธรรมด้วย การเป็นเควียร์เฟมินิสต์จึงหมายถึงการเปิดพื้นที่ให้ทุกคนที่อยู่นอกกรอบเพศหรืออัตลักษณ์หลัก ได้มีสิทธิพูดและมีตัวตน
ไอซ์: เราเห็นตรงกันว่าคำว่า ‘เควียร์’ คือการละลายกรอบเพศ ส่วน ‘เฟมินิสต์’ คือหลักการที่ใช้ต่อสู้กับโครงสร้างอำนาจแบบเดิม ทั้งสองคำเลยอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน แม้ภาษาไทยจะยังไม่มีคำที่รวมมันไว้เป็นคำเดียว แต่เราคิดว่า ‘เควียร์เฟมินิสต์’ คือคำคำเดียวกัน เป็นวิธีคิดที่นำไปสู่การสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยและเปิดกว้างมากขึ้น
GC: แล้วทีมเปลี่ยนแนวคิดเหล่านี้ให้กลายเป็นนิทรรศกรรมจริง ๆ ได้อย่างไร
ไอซ์: เราเริ่มจากการตั้งคอนเซปต์ก่อนว่าอยากให้นิทรรศการนี้เป็นนิทรรศการที่สะท้อนประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กรอบความคิดแบบเควียร์และเฟมินิสต์ งานศิลปะที่จัดแสดงเลยไม่ได้เล่าแค่เรื่องตัวตน แต่ยังรวมถึงปัญหา อารมณ์ หรือความรู้สึกของการต้องอยู่ในโลกที่ยังตีกรอบอยู่
หมวย: เราคิดว่างานเฟมินิสต์มันไม่ใช่แค่เรื่อง “ฉันจะเป็นอะไรก็ได้” แต่ต้องลึกไปถึงการตั้งคำถามต่อโครงสร้างทางการเมืองและสังคมด้วย เพราะมันมีหลายชั้น เราเลยมองหางานศิลปะที่เล่าประสบการณ์ส่วนตัวก็ได้ หรือสะท้อนประเด็นใหญ่ก็ได้ ขอแค่มีเลเยอร์ของการตั้งคำถาม และสามารถสื่อสารกับคนดูในแบบที่มากกว่าคำพูด
ไอซ์: จริง ๆ แล้วหมวยเป็นคนที่ลงลึกเรื่องข้อมูลวิชาการมากกว่าเรา เพราะเขาทำรีเสิร์ชมาต่อเนื่องหลายปี ทีมเราก็เลยพึ่งเขาในส่วนนี้ค่อนข้างเยอะ หมวยพาเราลงพื้นที่ไปพูดคุยกับคนในชุมชน ซึ่งก็ทำมาหลายรอบเหมือนกัน เราได้ไปแลกเปลี่ยนกับเครือข่ายในหลายจังหวัด ทั้งกรุงเทพฯ ปัตตานี ขอนแก่น ฯลฯ
เราเลยได้ฟังเรื่องราว ได้เก็บประสบการณ์ตรงจากคนในแต่ละพื้นที่ แล้วก็นำสิ่งเหล่านั้นมาคิดต่อ มาประมวลผล และกลายเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ แม้บางคนจะไม่ได้มาร่วมแสดงงานด้วยตรง ๆ แต่เรื่องราวของเขาก็อยู่ในพื้นที่นี้เหมือนกัน มันถูกถ่ายทอดผ่านธีม ผ่านแนวคิดของเทศกาลนี้อย่างแนบเนียน
GC: แล้วกระบวนการคัดเลือกศิลปินล่ะ จากประกาศ Open Call เห็นว่าเน้นเปิดรับผู้หญิง และ LGBTQ+ เลยอยากให้เล่าหน่อยว่ามีเกณฑ์การคัดเลือกจากอะไรบ้าง
ไอซ์: จริง ๆ เราไม่ได้เลือกจากเพศหรืออัตลักษณ์ของศิลปินเป็นหลักนะ สิ่งที่เราโฟกัสคือ ‘ตัวงาน’ เราอยากเห็นว่างานนั้นวิพากษ์ประเด็นเรื่องเพศหรือโครงสร้างอำนาจได้ลึกแค่ไหน จะเป็นเรื่องเฟมินิสต์ เควียร์ หรือประเด็นทางสังคมอื่น ๆ ก็ได้ ขอแค่มีความชัดเจนในแนวคิดและการสื่อสาร อย่างศิลปินบางคนที่ส่งผลงานมา เขาก็ไม่ได้ระบุตัวเองว่าเป็น LGBTQ+ นะ แค่บอกว่าเป็นผู้หญิง แต่สิ่งที่เขานำเสนอในงาน รวมถึงวิธีคิดและมุมมอง มันมีความเป็นเควียร์และเฟมินิสต์สูงมาก ตัวงานสื่อสารได้ด้วยตัวของมันเองโดยที่ศิลปินไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเลย เราจึงไม่ได้ใช้กรอบเรื่องอัตลักษณ์เป็นตัวตัดสิน แต่ใช้เนื้อหาและความลึกของประเด็นเป็นหลัก
หมวย: เราชอบงานที่มีหลายเลเยอร์ อย่างเช่น งานที่ในชั้นแรกอาจเล่าเรื่องส่วนตัว แต่พอมองลึกลงไปอีก ก็มีการวิพากษ์ประเด็นทางสังคมแฝงอยู่ เพราะบางทีศิลปินอาจไม่ได้พูดตรง ๆ แต่ศิลปะมันสื่อสารแทนได้ ซึ่งเราก็อยากเห็นว่าแต่ละคนผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง และเขาใช้ศิลปะในการตอบกลับหรือวิพากษ์สิ่งเหล่านั้นยังไง
ไอซ์: เหมือนที่หมวยบอกเลย หัวข้อของนิทรรศการมันค่อนข้างกว้าง ทำให้การคัดเลือกงานไม่ใช่เรื่องง่าย เราใช้เวลาพอสมควรในการอ่านแนวคิดของศิลปินแต่ละคน แล้วก็ดูชิ้นงานไปพร้อมกัน
หมวย: บอกเลยว่าตอนเปิดรับสมัครเราก็แอบลุ้นเหมือนกันว่าจะมีคนส่งงานมามากน้อยแค่ไหน เพราะช่วงเปิดรับแรก ๆ ยังไม่มีใครส่งเข้ามาเลย จนเรากังวลมากว่า เอ๊ะ หรือคนเขาไม่สนใจหัวข้อนี้กันนะ แต่พอใกล้ปิดรับสมัคร คนก็เริ่มทยอยส่งเข้ามาเยอะขึ้น ซึ่งจริง ๆ ไอซ์เขาก็บอกเราไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เดี๋ยวพอใกล้หมดเขต ทุกคนก็รีบส่งมาเองแหละ ซึ่งก็จริงค่ะ (หัวเราะ)
GC: จากแพลนแรกสู่การลงมือทำจริง มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากที่คิดไว้ตอนแรกบ้างหรือเปล่า
หมวย: มี อย่างแรกคือเรื่องจำนวนศิลปิน ตอนแรกเราตั้งใจจะคัดเลือกศิลปิน 10 คน แต่พอเลือกไปเลือกมากลับเพิ่มเป็น 15 คนเฉย (หัวเราะ) แล้วส่วนใหญ่เป็นศิลปินจากกรุงเทพฯ ซึ่งจริง ๆ ในตอนแรกความตั้งใจของเราคืออยากเปิดพื้นที่ให้ศิลปินในเชียงใหม่
ไอซ์: ใช่ ๆ ทีแรกเราอยากให้ศิลปินในเชียงใหม่เข้ามาจัดแสดงผลงานในนิทรรศการนี้เยอะ ๆ เพราะเชียงใหม่มักถูกเรียกว่าเมืองสร้างสรรค์ตลอด แต่ในความเป็นจริงยังมีอคติอยู่เยอะ โดยเฉพาะในเรื่องเพศ เราเลยอยากชวนทุกคนมาสร้างพื้นที่ที่เฟรนด์ลี่กับคนที่นิยามตัวเองว่าเป็นเควียร์ เฟมินิสต์ พื้นที่ที่ทุกคนจะรู้สึกปลอดภัยที่ได้มาอยู่ร่วมกัน
GC: มีตัวอย่างผลงานในนิทรรศการที่อยากเล่าให้ฟังไหม
หมวย: มันจะมีงานชิ้นหนึ่งที่ศิลปินเขาชอบเรื่องภาษาและข่าว เขาเลยรวบรวมข่าวจริงกับข่าวปลอมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องเพศมานำเสนอให้ผู้ชมลองเดากันว่าอันไหนข่าวจริงข่าวปลอม เพื่อชวนผู้ชมมาตั้งคำถามกับสิ่งที่เราถูกเล่าให้เชื่อ เขายังอัปเดตคำศัพท์ที่ใช้อธิบายบุคลิกทางเพศเข้ามาใช้ด้วย เช่น ‘หมาเด็ก’ กับ ‘แมวดำ’ หรือการเอาคำว่าบัตรเครดิตยูเมะพลัสมาใช้ด้วย
*คำอธิบายเพิ่มเติมจากผู้สัมภาษณ์ บัตรเครดิตยูเมะพลัสเป็นศัพท์ยุคใหม่ที่คนเอามาใช้บอกบริบททางเพศ เพราะคำนี้พ้องเสียงกับคำว่า ‘เคะ’ และ ‘เมะ’ (บัตรเค(ะ)รดิตยูเมะพลัส) ที่พูดถึงตำแหน่งทางเพศของคู่รักชายชาย ตามศัพท์ในนิยาย Yaoi ภาษาญี่ปุ่น)*
ไอซ์: เรามองว่างานนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการวิพากษ์สื่อที่ยังคงมีการตีตราทางเพศที่ยังมีอยู่จริง คือขนาดในปี 2025 เรายังเห็นการพาดข่าวแบบ ‘ทอมโหด’ หรือ ‘กะเทยเฒ่า’ อยู่เลยอะไรแบบนี้ งานอีกชิ้นหนึ่งที่เราสนใจคืองานที่พูดถึงการแสดงออกผ่านร่างกาย ศิลปินแสดงออกประเด็นเรื่องนี้ผ่านงานจิตรกรรมสีแดงที่ให้ความรู้สึกเหมือนถูกกดทับ ถูกกรีดข้างใน อีกชิ้นคืองานที่พูดถึงรูปติดบัตร โดยเปรียบเทียบระหว่างภาพที่คนอื่นอยากให้เราเป็น กับภาพอีกใบที่วาดขึ้นจากสิ่งที่พ่อหรือสังคมอยากให้เขาเป็น งานชิ้นนี้ยังพูดถึงการแสดงออกที่ยังถูกสังคมตีกรอบอยู่มาก แม้แต่ในเรื่องตัวตนของเราเอง แต่ละคนก็จะมีวิธีการนำเสนอและเล่าประสบการณ์เหล่านี้ออกมาแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบทและระดับของความเจ็บปวดหรือความเข้าใจที่แต่ละคนเผชิญมา
หมวย: คือมันไม่ได้แค่เรื่องครอบครัวหรือสังคมรอบตัว แต่พูดถึงแรงกดดันจากทุกด้านที่พยายามจะบอกว่าเราควรเป็นใคร ซึ่งพอศิลปินแต่ละคนถ่ายทอดออกมา เราจะเห็นว่ามีหลายระดับ มีทั้งความกล้า ความเจ็บปวด และการตั้งคำถามที่แตกต่างกันไปค่ะ
QueerFeminist นิทรรศการจากการวมสองศัพท์ใหญ่ ที่คนกลัวที่จะใช้ แต่…เรากลัวมันทำไมนะ?
GC: ทั้งสองคนคิดว่าการพูดถึงเรื่องเควียร์และเฟมินสิต์ในประเทศไทยมีข้อจำกัดอะไรอยู่บ้าง
หมวย: ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดเหมือนกันหรือเปล่า แต่เรารู้สึกว่าคำว่า ‘เฟมินิสต์’ ยังถูกมองในแง่ลบอยู่เยอะ เหมือนกับว่าถ้าใครพูดว่าตัวเองเป็นเฟมินิสต์จะถูกมองว่าเกลียดผู้ชายทันที หรือดูเป็นคนหัวรุนแรง ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ทั้งที่จริง ๆ แล้วเฟมินิสต์คือแนวคิดที่ใครก็เข้าถึงได้
ถ้าเราจะพูดเรื่องความเป็นธรรมทางเพศกันจริง ๆ ส่วนตัวเราคิดว่าต้องยอมรับกันก่อนว่าแค่เกิดมาเป็นผู้หญิง ก็มีจุดเริ่มต้นที่ต่างกับผู้ชายแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องการเลี้ยงดู ความปลอดภัย หรือการถูกตีกรอบให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ผู้หญิงต้องเป็นคนเรียบร้อย ต้องไม่ทำนั่นทำนี่
ส่วนคำว่า ‘เควียร์’ ก็เป็นอีกเลเยอร์หนึ่ง เพราะแม้แต่ในกลุ่ม LGBTQ+ เอง ก็ยังมีความหลากหลายที่มักไม่ถูกพูดถึงอยู่ อย่างกลุ่มแซฟฟิก กลุ่มหญิงรักหญิงที่เราทำงานด้วย มักจะถูกมองข้ามในสังคมเราเลยอยากใช้แนวคิดเฟมินิสต์มาเป็นเครื่องมือช่วยพูดถึงความหลากหลายตรงนี้ ทำให้คนเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมเราถึงต้องทำงานแบบนี้ ทำไมต้องพูดถึงเรื่องนี้
GC: หรือ ‘เฟมินิสต์’ จะยังเป็นศัพท์ที่คนรู้สึกกลัวที่จะใช้ และไม่กล้านิยามตัวเอง?
หมวย: ใช่ค่ะ เราว่ามันเป็นคำที่ยังดูน่ากลัวนะ หมายถึงคนรู้สึกกลัวที่จะใช้ เราเลยอยากทำให้มันกลายเป็นเรื่องธรรมดา เป็นคำที่พูดที่ใคร ๆ ก็พูดได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนตัดสิน เพราะจริง ๆ แล้วเฟมินิสต์เกิดจากการที่ผู้หญิงลุกขึ้นมาเรียกร้องความเท่าเทียม แต่สังคมกลับตอบสนองด้วยการบอกให้เรากลับไปทำงานบ้าน เงียบ ๆ เข้าไว้ ซึ่งทั้งหมดนี้มันขัดกับความเป็นมนุษย์มาก เราก็เลยรู้สึกว่ายังมีเรื่องให้พูดอีกเยอะ
ไอซ์: สำหรับเรา เรารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงมันไม่เกิดขึ้นแค่เพราะนิทรรศการนี้นิทรรศการเดียวหรอก แต่เราหวังว่ามันจะจุดประกายอะไรบางอย่าง อย่างน้อยทำให้คนได้เห็นว่า เหตุผลที่เรายังต้องพูด ต้องเรียกร้อง มันเป็นเพราะความเท่าเทียมที่หลายคนคิดว่ามีอยู่แล้ว จริง ๆ แล้วมันยังไม่เกิดขึ้นจริงเลย
หมวย: นี่เลยเป็นเหตุผลที่การเล่าประเด็นนี้ผ่านศิลปะ จะเป็นอีกทางหนึ่งที่คนทุกเพศสามารถเข้าถึงได้ ไม่จำเป็นต้องมีใครมายืนอธิบายให้ฟังทั้งหมด แค่ได้ดู ได้รู้สึก แล้วกลับไปคิดต่อ เราว่ามันทรงพลังมากพอแล้ว
‘เควียร์เฟมินิสต์’ นอกเขตแกลเลอรี่ กับการสร้างคอมมูนิตี้แห่งความเท่าเทียมผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย
GC: นอกจากนิทรรศการหลัก เรายังเห็นว่ามีกิจกรรมอื่นควบคู่ด้วย ช่วยเล่าเบื้องหลังให้ฟังหน่อยว่าแต่ละกิจกรรมมีความหมายยังไงบ้าง?
ไอซ์: เริ่มจากกิจกรรมฉายหนังก็ได้ เราตั้งใจจัดกิจกรรมดูหนังเพื่อเปิดพื้นที่ให้คนได้พูดคุยกัน ต่อจากนั้นเราก็จะมีอีกกิจกรรมที่ทำร่วมกับเควียร์คอลเลกทีฟจากพม่าและจีน รวมถึงศิลปินในเชียงใหม่และศิลปินเฟมินิสต์จากเกาหลีใต้ที่พำนักอยู่ที่นี่หลายคน ที่มาทำศิลปะการแสดงสดในพื้นที่สาธารณะ (Public Performance) ด้วยกันก่อนจะเริ่มเทศกาล เป็นกิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้ศิลปินจากหลายบริบทได้มาเจอกันและสร้างพลังร่วมกัน
หมวย: อีกกิจกรรมที่เราจัดคือเวิร์กชอปวาดภาพนู้ด เราอยากให้คนที่เป็นผู้หญิงหรือเควียร์ได้ลองวาดรูปไปด้วยกันด้วยความรู้สึกปลอดภัย เพราะก่อนหน้านี้เราเคยเข้าคลาสวาดรูปภาพนู้ดครั้งหนึ่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แล้วมีบางคนถ่ายภาพนางแบบโดยไม่ขออนุญาต ทั้งที่จริง ๆ เขาห้ามถ่าย เรารู้สึกว่านี่แหละคือสิ่งที่ไม่ปลอดภัยมาก ๆ เราเลยอยากทำกิจกรรมนี้ขึ้นมาใหม่ในนิทรรศการนี้ และทำให้มันเป็นพื้นที่ที่ทุกคนรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ ให้ได้
ไอซ์: ไอเดียของหมวยคืออยากทำให้มันเป็นเวิร์กชอปวาดภาพนู้ดที่โฟกัสกับงานศิลปะและทุกคนรู้สึกปลอดภัยร่วมกันจริง ๆ และไม่ต้องรู้สึกระแวงหรือตะขิดตะขวงใจกับใคร
หมวย: นอกจากนี้เราก็มีกิจกรรมกับจังหวัดอื่นด้วย คือโดยปกติเราก็จะทำงานที่เน้นการสร้างเครือข่ายด้วยเหมือนกันค่ะ อย่างช่วงที่ผ่านมาก็ไปคุยกับเพื่อน ๆ ที่เป็นเควียร์คอลเลกทีฟในจังหวัดต่าง ๆ ภาคต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ เพื่อเชื่อมโยงกันไว้ค่ะ
GC: มาพูดถึงเรื่องฟีดแบคกันบ้างดีกว่า หลังจากเปิดนิทรรศการแล้ว มีคอมเมนต์ มุมมอง หรือความคิดเห็นจากผู้ชมยังไงบ้าง
หมวย: ไม่เชิงคอมเมนต์แล้วกัน แต่เป็นการสังเกตของเรา คือตอนเปิดงานเราสังเกตได้เลยว่า คนที่มางานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง ต่างจากภาพงานเปิดนิทรรศการศิลปะทั่วไปที่ผู้ชายมักจะเยอะกว่า เราเลยรู้สึกว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไป เป็นภาพใหม่ ๆ ที่เราไม่ค่อยได้เห็นในพื้นที่ศิลปะ
ไอซ์: ส่วนเรายังไม่เจอฟีดแบคด้านลบนะ ไม่แน่ใจว่าเพราะคนยังไม่กล้าพูด หรือมันยังไม่มีจริง ๆ (หัวเราะ) แต่สิ่งที่เรารู้สึกประทับใจมากคือศิลปินที่เข้าร่วมมาบอกกับเราว่าเขามีความสุขกับงานนี้มาก และไม่เคยแสดงงานในพื้นที่ไหนที่รู้สึกปลอดภัยแบบนี้มาก่อน
อีกอย่างที่เราดีใจคือมีศิลปินผู้ชายคนหนึ่งที่มาเที่ยวงาน แล้วเขาโพสต์ในเฟซบุ๊กว่าเขารู้สึกถึงพลังจากการรวมตัวของศิลปินกลุ่มนี้ มันส่งต่อถึงเขาเลย เราก็รู้สึกว่า เออ มันมีพลังจริง ๆ นะ และไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็สามารถมาเอ็นจอยกับงานของเราได้โดยไม่ต้องรู้สึกกังวล
อีกเคสหนึ่งคือน้องที่เป็นเกย์ เขามานั่งคุยกับเราและแชร์ความรู้สึกกันเรื่องวงการศิลปะ เราคุยกันว่าพื้นที่นี้ยังมีการพูดถึงคนที่เป็นเลสเบี้ยนน้อยมาก มันเลยเป็นอีกหนึ่งความเห็นที่ได้ยินปุ๊ปแล้วรู้สึกว่า เอ้อ สิ่งที่เราพยายามสื่อสารออกไป มันไปถึงเขาเรารู้สึกว่าแค่ได้ยินแบบนี้ก็ทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราพยายามสื่อสารออกไปมันไปถึงเขาแล้ว และเราก็ได้เริ่มบทสนทนาเหล่านี้ขึ้นจริง ๆ

GC: มองอนาคตต่อจากนิทรรศการนี้อย่างไรบ้าง คิดว่านิทรรศการนี้ส่งผลอะไรต่อศิลปินและผู้ชมหลังจากงานจบลง?
ไอซ์: สำหรับเรา เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีศักยภาพสูงมาก เราเชื่อว่ามีศิลปินจำนวนไม่น้อยที่อยากทำงานเกี่ยวกับเรื่องเพศและความหลากหลาย แต่เพราะระบบที่อยู่เหนือศิลปิน อย่างระบบการศึกษา หรือโครงสร้างทางสังคมที่ยังผูกติดกับประเด็นทางการเมืองแบบอนุรักษนิยม มันอาจทำให้คนเหล่านี้ยังไม่กล้าออกมาพูด หรือยังไม่เห็นพื้นที่ที่จะรวมตัวกัน
หมวย: จริง ๆ แล้วเชียงใหม่มีมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและชาติพันธุ์ ทำให้มันกลายเป็นเมืองที่มีกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคมอยู่ไม่น้อย ทั้งประเด็นเรื่องแรงงาน เพศชาติพันธุ์ เซ็กส์เวิร์กเกอร์ หรือสิทธิแรงงาน เราเองก็ได้ไปร่วมกิจกรรมกับพวกเขาอยู่เรื่อย ๆ เพราะบริบทของเมืองนี้มันเอื้อต่อการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ แต่ก็ยังมีช่องว่างบางอย่างอยู่ โดยเฉพาะเรื่องความหลากหลายทางเพศ และกลุ่ม WLW (ผู้หญิงรักผู้หญิง)
GC: แปลว่าอยากผลักดันประเด็นเรื่องความหลากหลายทางเพศให้เสียงดังในเชียงใหม่มากขึ้นกว่านี้ใช่ไหม?
หมวย: ใช่ค่ะ เราพยายามสร้างพื้นที่ให้กลุ่มแซฟฟิกได้รวมตัวกัน ผ่านกิจกรรมที่จัดต่อเนื่องแทบทุกเดือน ไม่ว่าจะเป็นเวิร์กช็อป ฉายหนัง หรือแม้แต่เตะบอล จุดประสงค์ก็เพื่อให้ทุกคนได้มาเจอกัน ได้พูดคุย และรู้สึกว่าเรามีพื้นที่ร่วมกัน แม้จะไม่ง่าย เพราะหลายคนก็ยังรู้สึกโดดเดี่ยว หรือถูกสังคมตีกรอบ บางคนอาจจะคิดว่าคนรุ่นใหม่ไม่ถูกกดทับแล้ว แต่พอคุยจริง ๆ เราพบว่าปัญหาสุขภาพจิตหรือการไม่เป็นที่ยอมรับในครอบครัวยังมีอยู่มาก การรวมกลุ่มจึงสำคัญมาก พอเราทำ ‘Chiang mai Pride’ ครั้งแรกในปี 2019 เราก็เริ่มคิดว่าอยากทำประเด็นที่เราอินด้วย ก็เลยรวมกลุ่มขึ้นมาเอง ที่ผ่านมากลุ่มอื่นอาจเน้นเรื่อง advocacy หรือประเด็นเชิงนโยบาย แต่เราก็อยากเห็นการใช้ศิลปะมาขับเคลื่อนแบบที่ทุกคนเข้าถึงได้มากขึ้น
ไอซ์: อย่างกลุ่มอื่น ๆ อย่างเกย์เมนก็มีมูลนิธิที่สนับสนุนในเชียงใหม่ แต่เราไม่ค่อยเห็นกลุ่ม LGBTQ+ ที่รวมตัวกันเพื่อทำงานด้านสังคมในเชิงสร้างพื้นที่เท่าไหร่
GC: แล้วต่อจากนี้คิดว่าจะผลักดันเรื่องนี้ต่ออย่างไร คิดว่าจะมีนิทรรศการ ‘Queer Feminist’ ภาคสองไหม
ไอซ์: เราคิดว่าประเด็นนี้ควรถูกนำเสนอบ่อยขึ้น การจัดนิทรรศการครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้น แต่เราหวังว่าในระยะต่อไปจะมีศิลปินรุ่นใหม่ที่กล้าออกมาพูดเรื่องนี้มากขึ้น เราแค่แสดงให้เห็นว่า "มันทำได้" แค่นั้นเอง
หมวย: สำหรับเราก็คล้ายกันค่ะ ตอนที่เราเริ่มทำงานนี้เมื่อหกปีก่อน ยังไม่มีใครพูดเรื่องนี้เท่าไรเลย เราเคยถูกตั้งคำถามด้วยซ้ำว่า “เราเป็นอะไรกันแน่” แล้วไม่มีพื้นที่ให้ไปคุยกับใครด้วย เพื่อนก็อาจจะยังไม่เข้าใจ แต่ทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปมาก อย่างน้อยเรื่องเพศถูกเปิดกว้างขึ้นเยอะแล้ว แม้การเมืองอาจจะยังเหมือนเดิมก็ตาม เราอยากเห็นคนพูดเรื่องนี้ผ่านงานศิลปะมากขึ้น และหวังว่าในอนาคตจะมีการรวมตัวเป็นคอลเลกทีฟใหม่ ๆ ขึ้นมา
ส่วนจะมีภาคสองไหมก็ต้องดูเรื่องทุนด้วยค่ะ รอบนี้เหมือนจังหวะและเวลาที่เราได้ทุนจากองค์กรที่ให้โอกาสกลุ่มเล็ก ๆ ได้ทำงานกัน ก็เลยลองทำดู ถ้ามีโอกาสอีกก็อยากทำต่อเหมือนกัน
GC: สุดท้าย อยากฝากอะไรถึงคนที่มาชมนิทรรศการนี้แล้วบ้างไหม?
หมวย: นิทรรศการนี้เปิดรับทุกคนนะคะ ไม่จำเป็นต้องเป็นเฟมินิสต์ หรือ LGBTQ+ ผู้ชายก็มาได้ (หัวเราะ)
ไอซ์: เราเองก็กลัวเหมือนกันว่าจะไม่มีคนกล้าเข้ามาดู เพราะแค่ใช้คำว่า ‘เฟมินิสต์’ กับ ‘เควียร์’ มันก็ทำให้หลายคนรู้สึกว่า “เฮ้ย ใช้คำใหญ่ไปหรือเปล่า มันจะต้องเข้าใจลึกซึ้งมากไหม” แต่จริง ๆ แล้วมันคือการชวนคุยค่ะ คุณอาจจะไม่ได้เป็นแบบเราก็จริง แต่คุณอาจจะได้เจออะไรที่คุณเคยรู้สึกเหมือนกันก็ได้
หมวย: งานของศิลปินที่ร่วมแสดงทุกคนมีความน่าสนใจมากค่ะ เราพยายามให้พื้นที่นี้มีความเท่าเทียมจริง ๆ เพราะเราอยากให้ทุกคนได้รับโอกาส
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวและกิจกรรมเพิ่มเติมจาก
SOME SPACE Gallery ได้ที่: https://www.facebook.com/somespacenightgallery
Sapphic Pride ได้ที่: https://www.facebook.com/sapphicpride.th
ขอขอบคุณภาพประกอบบทสัมภาษณ์ทั้งหมดจาก SOME SPACE Gallery และ Sapphic Pride