คุยกับสองผู้ก่อตั้ง Homeroom ห้องเรียนศิลปะนอกกรอบที่ชวนเด็กตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวแม้แต่ประเด็นตอบยาก ‘เราทำสงครามไปทำไม?’

Post on 13 August 2025

“ไม่ทำก็ได้นี่” คือข้อความจากเด็กคนหนึ่งที่กลายเป็นไวรัล เพราะสะท้อนคำถามง่าย ๆ แต่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสงครามได้อย่างทรงพลัง ข้อความนี้ไม่ได้เกิดจากบทเรียนในตำรา แต่เป็นผลลัพธ์จากโปรเจกต์ที่ชวนเด็ก ๆ มองและตั้งคำถามกับโลกผ่านศิลปะ ซึ่งเกิดขึ้นใน Homeroom ห้องเรียนศิลปะนอกกรอบที่ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง กรีซ–ณัฐฐาพิรุฬห์ และ กรีก–พิรุฬห์ลักษณ์ แจ่มอำพร ในจังหวัดอ่างทอง บ้านเกิดของพวกเขาเอง

โฮมรูมไม่ได้เป็นแค่ห้องเรียนศิลปะธรรมดา แต่เป็นพื้นที่พิเศษที่ก่อตั้งขึ้นโดยสองผู้ก่อตั้งที่มีหัวใจเต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อว่าศิลปะไม่ใช่แค่การวาดรูป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ตัวเองและตั้งคำถามกับโลกใบนี้ แม้แต่ประเด็นที่ซับซ้อนและท้าทายที่สุดอย่าง “เราทำสงครามไปทำไม?” ก็กลายเป็นคำถามที่ถูกหยิบยกขึ้นมาสำรวจในบรรยากาศปลอดภัยของโฮมรูม ที่นี่เด็ก ๆ ไม่ถูกบังคับให้คิดตามใคร แต่ได้รับโอกาสให้สื่อสารความคิดและความรู้สึกผ่านศิลปะในแบบของตัวเอง

ในบทสัมภาษณ์นี้ เราจะได้พูดคุยกับสองผู้ก่อตั้งโฮมรูม ที่เล่าถึงเบื้องหลังการสร้างสรรค์พื้นที่แห่งนี้ รวมถึงประสบการณ์การทำงานกับเด็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความซื่อสัตย์ ความกล้าหาญ และการตั้งคำถามกับโลก ที่ทำให้โฮมรูมไม่ได้เป็นเพียงแค่ ‘ห้องเรียน’ แต่เป็นบ้านหลังหนึ่งที่เปิดต้อนรับเด็ก ๆ ทุกคน ให้เติบโตอย่างเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

(ซ้าย) กรีซ–ณัฐฐาพิรุฬห์ และ (ขวา) กรีก–พิรุฬห์ลักษณ์ แจ่มอำพร

(ซ้าย) กรีซ–ณัฐฐาพิรุฬห์ และ (ขวา) กรีก–พิรุฬห์ลักษณ์ แจ่มอำพร

จุดเริ่มต้นของโฮมรูมที่มาจากคำถามง่าย ๆ ว่า ศิลปะคืออะไร

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะนิยามคำว่า ‘ศิลปะ’ ให้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาพวาดสวยงามบนผนัง หรือคะแนนสอบในห้องเรียน แต่คือเครื่องมือที่ช่วยให้คนเราเข้าใจตัวเองและโลกได้ลึกซึ้งขึ้น

คำถามเรียบง่ายว่า ‘ศิลปะคืออะไร?’ จึงกลายเป็นต้นทางของ Homeroom พื้นที่ศิลปะเล็ก ๆ ในจังหวัดอ่างทองที่สองพี่น้องกรีซและกรีก ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจจะกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิด พร้อมกับสิ่งที่พวกเขาแบกกลับมาด้วยจากการเรียนศิลปะคนละแขนงในต่างเมือง ทั้งความรู้ ความเชื่อ และประสบการณ์ที่หล่อหลอมจนกลายเป็นแนวคิดใหม่ในการสร้างพื้นที่เรียนรู้ให้กับเด็ก ๆ

“จุดเริ่มต้นของโฮมรูมเริ่มต้นขึ้นในปี 2017 ซึ่งในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่กรีซและกรีกเรียนจบกลับมาจากต่างที่กัน โดยกรีกเรียนด้านศิลปะการแสดง ส่วนกรีซเรียนด้านทัศนศิลป์เมื่อเรียนจบ พวกเราก็มีความรู้สึกตรงกันว่าเราอยากกลับบ้าน อยากกลับมาใช้ชีวิตที่บ้านเกิดของเรา แต่คำถามที่ตามมาก็คือ แล้วสิ่งที่เราเรียนมาจะกลับมาอยู่ที่บ้านได้ยังไง?

“พอย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เราเป็นเด็ก เรารู้สึกว่าพื้นที่บ้านเรายังไม่มีพื้นที่สำหรับเด็ก ๆ ที่จะได้เรียนรู้ศิลปะอย่างแท้จริง ไม่มีพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้รู้จักตัวเอง ได้สัมผัสกับตัวเอง หรือแม้กระทั่งในห้องเรียนทั่วไป วิชา ‘โฮมรูม’ ยังเป็นเพียงคาบว่าง ไม่มีใครให้ความสำคัญกับมันเท่าที่ควร

“หากย้อนกลับไป พ่อแม่ของเราสองคนก็มีส่วนสำคัญ พวกเขาไม่ได้มีเงินทุนมากมาย แต่ก็สนับสนุนในแบบของเขา ไม่ได้บอกว่าอะไรถูกหรือผิด ให้เราลองเอง เล่นเอง เรียนรู้เอง ทั้งที่ในยุคสมัยนั้น ศิลปะยังถูกมองว่าเป็นสายอาชีพที่ “ไส้แห้ง” แต่พ่อแม่เราก็สู้และยอมให้ลูกลองเรียนตามความฝัน

“ตอนเราบอกพ่อแม่ว่าจะกลับมาเปิดพื้นที่ศิลปะที่อ่างทอง ตอนแรกพวกเขาก็ไม่เข้าใจดีนัก พ่อเข้าใจแค่ว่า เราจะพริ้นท์ภาพมาให้เด็กระบายสี พอเราบอกว่าไม่ใช่ เราอยากให้เด็กได้วาดลงบนกระดาษเปล่า ได้คิด ได้สื่อสารของตัวเอง พ่อก็ห่วง ว่ามันจะไปยังไงรอดไหม แต่นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของโฮมรูม บ้านเล็ก ๆ ที่เริ่มจากความเชื่อ ว่าเด็กทุกคนควรมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเป็นตัวของตัวเอง ผ่านสิ่งที่เรียกว่าศิลปะ

“สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราสองคนเริ่มต้นคิดว่า ถ้าเราจะสร้างพื้นที่เรียนรู้เล็ก ๆ ขึ้นมาสักที่ โดยมีศิลปะเป็นเครื่องมือกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทั้งคู่ถนัดและเชื่อมั่นว่ามันสามารถเชื่อมโยงเข้ากับมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง เราจะสามารถพาเด็ก ๆ เข้าถึงตัวเองได้ไหม?

“เราจึงเริ่มต้นจากห้องเรียนศิลปะเล็ก ๆ ที่อ่างทอง เป็นพื้นที่เล็กมาก ๆ เด็กที่มาเรียนในช่วงแรกมีเพียง 5–6 คนเท่านั้น เราอยากให้ที่นี่เป็น ‘พื้นที่พักพิงใจ’สำหรับเด็ก ๆ และสำหรับตัวเราเองด้วย แม้ว่าช่วงนั้นมันจะยังไม่สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างเต็มที่”

“ในยุคนั้นศิลปะยังเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่าไม่จำเป็น และมองไม่เห็นอนาคต โดยเฉพาะในสายตาผู้ปกครองที่ยังไม่เข้าใจศิลปะในฐานะเครื่องมือของการเรียนรู้มากพอ เราสองคนเองก็เรียนศิลปะแบบ pure art เลย ทำให้เราต้องเผชิญกับการประเมิน ตัดสิน ว่าศิลปะแบบไหนถึงจะ ‘ถูกต้อง’ หรือ ‘ดี’ ซึ่งเราก็ตั้งคำถามกับสิ่งนี้มาตลอดว่า ‘แล้วอะไรกันแน่คือศิลปะ?’

“ตอนนั้นเราก็รู้สึกโกรธกับระบบการเรียนรู้ศิลปะแบบเดิม ๆ ด้วยความหัวแข็งของเราเอง เราจึงตั้งใจแน่วแน่ว่า ถ้าเราจะสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมาสำหรับสอนศิลปะ เราจะเปิดพื้นที่ให้เด็กวาดอะไรก็ได้ที่อยากวาด สื่อสารอะไรก็ได้ที่อยากสื่อสาร โดยไม่ต้องกลัวว่าจะ ‘ผิด’ หรือจะถูกตัดสินว่า ‘ไม่ใช่’ ที่โฮมรูม เราเชื่อว่างานของเด็กทุกคนคือที่หนึ่งในแบบของตัวเอง

“ช่วงแรกก็ลำบากไม่น้อย ผู้ปกครองหลายคนยังยึดติดกับภาพของความสมบูรณ์แบบอย่างในอุดมคติ เช่น ทำไมวาดต้นไม้ไม่เหมือนจริง? ทำไมวาดคนแล้วยืนทื่อ ๆ ดูไม่รู้เรื่อง? ทั้งที่เด็กเพิ่ง 4-5 ขวบ เพิ่งจับดินสอได้ถนัดแค่นั้นเอง เราจึงสู้ต่อในเรื่องนี้ เพราะเมื่อเราเริ่มสอนจริง ๆ เรากลับเห็นว่า เด็กหลายคนไม่กล้าวาดรูป พวกเขาใช้เวลาครึ่งคาบแค่นั่งมองกระดาษ หรือเอามือบังเวลาเขียน บางคนกลัวจนไม่กล้าลงมือ เพราะกลัวว่าจะถูกเพื่อนหรือครูตัดสิน ทั้งที่มันก็แค่กระดาษแผ่นหนึ่งสีขาวเท่านั้นเอง

“สิ่งนี้สะท้อนว่าพวกเขาผ่านการตัดสินและความกลัวมามากแล้วในระบบการเรียนรู้แบบเดิม ๆ มันทำให้เรายิ่งแน่ใจว่า สิ่งที่โฮมรูมทำมันสำคัญ เด็กต้องมีพื้นที่ที่พวกเขากล้าเป็นตัวเองได้”

คาบเรียนโฮมรูมที่ชวนเด็ก ๆ มาทำศิลปะแบบไม่ต้องวิจารณ์ ไม่มีผิดหรือถูก

ในโลกที่เด็ก ๆ มักถูกคาดหวังให้วาดต้นไม้ให้เหมือนจริง หรือระบายสีให้อยู่ในเส้น คาบศิลปะจึงกลายเป็นพื้นที่ที่หลายคนรู้สึกว่าตัวเอง ‘ไม่เก่ง’ และ ‘ทำผิด’

แต่ที่โฮมรูม ความเข้าใจแบบนั้นถูกท้าทายใหม่ทั้งหมด สำหรับสองผู้ก่อตั้ง กรีซและกรีก ศิลปะไม่ใช่เรื่องของความถูกต้องหรือความเหมือน แต่คือการสื่อสารตัวตนอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะผ่านเส้น สี ร่างกาย เสียง หรือแม้แต่ความเงียบ

โฮมรูมจึงไม่ใช่แค่ห้องเรียนศิลปะ แต่คือพื้นที่ที่ใช้ศิลปะในการพัฒนามนุษย์ เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ตัวเอง เข้าใจผู้อื่น และตั้งคำถามกับโลกอย่างอ่อนโยน

“ในการสอนศิลปะของโฮมรูม เราตั้งโจทย์กว้างมาก ไม่ได้จำกัดรูปแบบ หรือบอกว่าสิ่งไหน ‘ถูกต้อง’ หรือต้องเหมือนกัน เราสนับสนุนความแตกต่าง เช่น แม้ว่าโจทย์จะให้วาดต้นไม้ แต่เราอาจได้ต้นไม้ 18 แบบที่ไม่เหมือนกันเลย หรือ งแมวสิบตัวที่ไม่มีตัวไหนเหมือนกัน เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่ให้เหมือน แต่คือการสื่อสารของตัวตนเด็กคนนั้นผ่านผลงานศิลปะ

“แต่แน่นอนว่าเด็กทุกคนโตมาในบริบทบ้านที่ต่างกัน วัฒนธรรมการเรียนรู้ก็แตกต่างกัน หลายคนโตมาในบ้านที่สอนว่าแมวต้องเหมือนแมว วัดต้องเหมือนวัด พอมาเรียนร่วมกันก็อาจมีการเปรียบเทียบหรือวิจารณ์กันเกิดขึ้น

“หน้าที่สำคัญของโฮมรูมจึงไม่ใช่แค่สอนให้เด็กวาดรูปได้ แต่คือการสร้างวัฒนธรรมในห้องเรียน ที่ทั้งเพื่อนและครูไม่ตัดสินงานของกันและกัน เมื่อวัฒนธรรมนี้ถูกปลูกฝัง มันก็จะถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่น เด็กที่เรียนมาก่อนจะบอกเด็กใหม่ว่า “เราไม่วิจารณ์งานเพื่อนนะ” เราจะมีคำพูดง่าย ๆ ในห้องเรียนเช่น “หนูชอบสีอะไร?” เด็กอาจตอบว่า สีแดง อีกคนบอกสีเหลือง อีกคนสีชมพู แล้วเราก็จะย้ำว่า “เห็นไหม เราชอบไม่เหมือนกัน เพราะงั้นถ้าเพื่อนลงสีไม่เหมือนเรา เราก็ไม่ต้องไปตัดสินเขานะ”

“ในช่วงแรกของโฮมรูมตั้งใจจะทำงานกับเด็กเป็นหลัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ขยายออกไปเรื่อย ๆ เพราะเครื่องมือที่ใช้อย่างศิลปะนั้นมีความยืดหยุ่นสูง เราแค่ออกแบบโดยมีศิลปะเป็นศูนย์กลาง และเน้นพัฒนา "มนุษย์" ไม่ได้เจาะจงแค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ศิลปะที่ใช้ก็ไม่ได้มีเพียงการวาดรูป แต่รวมถึงการแสดง การใช้ร่างกาย การตั้งคำถาม และเครื่องมืออื่น ๆ ที่สามารถหยิบจับมาใช้ได้ตามสถานการณ์ โดยเน้นการออกแบบกระบวนการให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

“ในการวางแผนการสอนของโฮมรูมจะประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ เตรียมความพร้อม จัดกระบวนการ และถอดบทเรียน ซึ่งสามขั้นตอนนี้ทำให้สามารถรู้ได้ว่าเด็กเข้าใจหรือได้เรียนรู้สิ่งที่ตั้งใจไว้หรือไม่ ทุกครั้งจะเริ่มจากการตั้งเป้าหมาย แล้วออกแบบกระบวนการพร้อมเครื่องมือในการประเมินผล ประเด็นในการสอนจะถูกเลือกโดยดูจากความจำเป็น ความเร่งด่วน หรือความสนใจของเด็กในช่วงเวลานั้น ๆ เช่น เรื่องที่เด็กควรรู้ในวันนี้ หรือเรื่องที่ถ้าไม่รู้วันนี้อาจเกิดอันตรายในวันหน้า หรือเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจในหมู่เด็ก เพื่อให้เด็กมีส่วนร่วมกับสิ่งที่เรียน ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเปลี่ยนความคิดเด็กให้คิดตามเราทุกอย่าง แต่ให้เด็กได้ตั้งคำถามและเรียนรู้ผ่านกระบวนการแบบเปิด เราจะรับฟังเด็ก และเมื่อมีคำตอบที่เสี่ยงหรือพาไปสู่การทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น หรือสิ่งของ เราก็จะใช้พัฒนาการของเด็กเป็นเกณฑ์ในการดูแลต่อไป

“รูปแบบการเรียนรู้ในโฮมรูมเป็นการเรียนแบบอิสระที่ไม่มีการให้เกรดหรือคะแนน แต่ประเมินจาก soft skills อย่างเช่น human relationship และ emotional intelligence เวลาเด็กใช้สีร่วมกันก็จะดูว่ามีการแย่งกันไหม หรือมีการร่วมมือแบ่งปันกันอย่างไร เป็นการมองพฤติกรรมแบบองค์รวมที่ครูจะดูแลเป็นรายคน ต่างจากระบบโรงเรียนทั่วไปที่มีข้อจำกัดเรื่องหลักสูตรและแผนการเรียน โฮมรูมมองว่าตัวเองเข้ามาเติมเต็มช่องว่างที่ระบบโรงเรียนอาจยังไม่สามารถทำได้ เช่น สร้างพื้นที่ให้ครูหรือเด็กได้เรียนรู้ในแบบที่ไม่มีกรอบจำกัด ใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการสื่อสารและพัฒนามนุษย์ โดยไม่ได้เน้นเฉพาะทักษะทางศิลปะแต่เป็นการใช้ศิลปะเพื่อเข้าใจชีวิต

“เด็กส่วนใหญ่จะเข้ามาเรียนกับที่โฮมรูมตั้งแต่ยังเล็ก มีบางคนที่อยู่กับโฮมรูมยาวนานมาก เช่น เข้ามาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ จนตอนนี้อยู่มัธยมต้นอายุ 13-14 ปีแล้ว กลายเป็นเหมือนเพื่อนกันไปแล้ว ส่วนบางคนก็เข้ามาตอน ม.4 และตอนนี้จบมหาวิทยาลัยและทำงานแล้วก็มี ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโฮมรูมไม่ได้จำกัดเฉพาะเด็กเล็กเท่านั้น และถ้าอยากเรียนต่อแม้อายุเยอะก็สามารถเรียนได้ เพราะทุกวันนี้โฮมรูมก็สอนผู้สูงอายุแล้ว มีการยกตัวอย่างถึงการเข้าไปสร้างคอมมูนิตี้ใหม่ ๆ กับผู้คนหลากหลาย เช่น เด็ก ผู้ปกครอง ครู วัยรุ่น และผู้สูงอายุ มีการพูดถึงโรงเรียนผู้สูงอายุที่นักเรียนอายุเกือบ 90 ปี ซึ่งก็ยังสนุกกับการเรียนรู้ แม้บางคนจะเดินไม่ค่อยไหว ก็ยังสามารถร่วมกิจกรรมได้ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากแนวคิดที่ว่าโฮมรูมไม่ใช่แค่สถานที่ แต่คือการเคลื่อนที่ของกระบวนการและการออกแบบที่สามารถปรับไปได้ทุกที่ เพราะเครื่องมือมันอยู่ในตัวเราแล้ว

“ประสบการณ์ที่ทำงานกับเด็กมาตลอด 9 ปี มีโมเมนต์ที่ประทับใจและจำไม่ลืมมากมาย อย่างเช่นครั้งแรกที่ได้สอนในห้องเรียนจริงจัง ซึ่งตอนนั้นยังใหม่กับการเป็นครูศิลปะ วันนั้นเด็กทำน้ำหกลงพรม แล้วความรู้สึกแรกในใจคือโกรธ แต่พอหันไปเห็นหน้าเด็กที่ดูหวาดกลัวมาก เหมือนกับว่าเคยเจอประสบการณ์แบบนี้ที่บ้าน เราก็เปลี่ยนใจทันทีและชวนเด็กมาเช็ดด้วยกัน จังหวะนั้นเองทำให้รู้สึกว่าเราโตขึ้นมาก รู้จักเห็นคนอื่นมากขึ้น เย็นลง และเข้าใจว่าเด็กไม่ได้ตั้งใจทำผิด ทุกอย่างมีเหตุและผล เราในฐานะผู้ใหญ่ต้องรับมือด้วยความเข้าใจ

“อีกเรื่องหนึ่งคือประสบการณ์การสอนดนตรี ซึ่งโดยปกติแล้วการเรียนดนตรีจะถูกวัดผลจากการที่เด็กสามารถเล่นเพลงได้ แต่ที่โฮมรูมจะบอกผู้ปกครองตั้งแต่แรกว่าเราไม่ได้เน้นให้เด็กเล่นเพลงได้เร็ว แต่ใช้กระบวนการดนตรีเพื่อเปิดบทสนทนา ใช้ดนตรีเป็นอีกภาษาหนึ่งที่ใช้สื่อสารและเข้าใจเด็ก ไม่ได้มุ่งเน้นผลลัพธ์แต่สนใจในกระบวนการและความรู้สึกของเด็กขณะเรียนรู้มากกว่า และแนวคิดนี้เองที่ทำให้การเรียนรู้ในโฮมรูมแตกต่างจากที่อื่นและสร้างความหมายให้กับเด็ก ครู และทุกคนที่เกี่ยวข้อง”

ศิลปะที่ชวนเด็กตั้งคำถามในยามที่สังคมยังค้นหาคำตอบ

ในวันที่โลกเต็มไปด้วยเสียงดัง ความขัดแย้ง และคำตอบที่ยังไม่ชัดเจน โฮมรูมเลือกใช้ ‘คำถาม’ เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้

เพราะเด็กไม่ได้อยู่ไกลจากโลกอย่างที่ผู้ใหญ่มักคิด พวกเขาเห็น รู้สึก และตั้งคำถามกับความจริงรอบตัวไม่ต่างจากเรา สิ่งที่ขาดอาจเป็นเพียง ‘พื้นที่’ ที่ปลอดภัยพอจะให้พวกเขาคิด พูด และแสดงออกได้โดยไม่ถูกตัดสิน ในห้องเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้ ศิลปะจึงไม่ใช่แค่การวาดภาพหรือปั้นดิน แต่เป็นประตูที่เปิดให้เด็กได้ทบทวนโลกภายนอก พร้อม ๆ กับสำรวจความรู้สึกของตัวเอง ผ่านเรื่องที่ผู้ใหญ่อาจมองว่ายากหรือไกลตัว ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความขัดแย้ง หรือการสูญเสีย

“เรื่องประเด็นไวรัลที่เกิดขึ้น ล่าสุด เราเองก็อึ้งกับคำตอบของเด็กมาก แต่จริง ๆ แล้วก่อนที่จะคุยเรื่องสงคราม เราก็คุยประเด็นต่างๆ กับเด็กมาตลอด เช่น เรื่องบางกลอย เรื่องชาติพันธุ์ เพราะเราคิดว่าไม่ควรมองว่าเรื่องแบบนี้ไกลตัวเด็กอีกต่อไปแล้ว เด็กอยู่กับสมาร์ทโฟน อยู่กับ TikTok เค้ารับรู้ข่าวสารเร็วมาก ถ้าเรายังไม่เริ่มคุย เด็กจะไปซึมซับอะไรจากข้างนอกโดยที่ไม่มีผู้ใหญ่ช่วยทำความเข้าใจเลย

“บางคนอาจคิดว่าสงครามเป็นเรื่องบอบบาง แต่สำหรับเรามันใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะแค่พ่อแม่ทะเลาะกัน เด็กก็รู้สึกแล้ว และจำความรู้สึกนั้นได้แม่นยำ บางทีเด็กไม่ได้จำเหตุการณ์ แต่จำความรู้สึกได้ และเด็กบางคนถึงกับพูดว่า ‘ฉันอยากฆ่าเขา’ แบบนี้มันอันตรายมาก เราเลยรู้ว่าเราต้องรีบคุย และสื่อสารกับเขาอย่างถูกวิธี ไม่ใช่ไปด่าว่าเด็ก แต่ต้องโยนคำถามให้เขาคิด เช่น แล้วการฆ่าคืออะไร การที่มีคนตายแล้วเราสะใจเหรอ

“เราไม่ได้สอนให้เด็กเลือกข้าง แต่ให้เขาเห็นว่าทุกคนในสงครามเจ็บปวดเหมือนกัน เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะอยู่ฝ่ายไหนก็ตาม และเราจะไม่ตัดสินว่าเด็กคิดผิดหรือถูก เพราะแต่ละบ้านมีค่านิยมต่างกัน วิธีของเราคือถามเขาให้คิดต่อ ว่าจากสถานการณ์แบบนี้หนูคิดยังไง แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อ เด็ก ๆ จะเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่ามีคนอายุเท่าพวกเขาที่ต้องหนีจากบ้าน บ้านพัง ไม่มีที่อยู่ แล้วเขาจะรู้สึกว่าเขาโชคดีที่นั่งอยู่ในห้องเรียนที่ปลอดภัย

“เราทำให้เด็กเห็นทางเลือกใหม่ ว่าเขาจะเลือกทำลายหรือจะเลือกสร้าง แล้วสิ่งนี้คือเป้าหมายของเรา เพราะตอนท้ายที่เด็กเขียนโปสการ์ดถึงเพื่อนที่อยู่ในสงคราม มันไม่ใช่แค่เขมร มันคือ ‘ใครสักคนบนโลก’ ที่กำลังเจอเรื่องแบบนี้ แล้วเด็กก็เลือกส่งความรู้สึกดีๆ ไปให้ นั่นแหละคือการเปลี่ยนแปลงที่เราอยากเห็นมากที่สุดในห้องเรียนของเรา”

ในโลกที่เต็มไปด้วยข่าวสาร ความรุนแรง และการเลือกข้างอย่างเร่งด่วน โฮมรูมเลือกจะชะลอจังหวะ เพื่อชวนให้เด็กได้นั่งอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง ก่อนจะพูดถึงเรื่องที่ใหญ่อย่างสงคราม เพราะพวกเขาเชื่อว่า เด็กไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่างทันที ไม่จำเป็นต้องมีคำตอบถูกผิดเหมือนผู้ใหญ่ แต่เด็กควรมีพื้นที่ปลอดภัยพอ ที่จะได้ฟัง รู้ และค่อย ๆ รู้สึกอย่างที่ตัวเองรู้สึกจริง ๆ

กิจกรรมการเขียนโปสต์การ์ดถึง ‘พื้นที่สงคราม’ จึงไม่ใช่แค่การเขียนข้อความให้ใครสักคนในอีกซีกโลก แต่คือกระบวนการที่เด็กได้เรียนรู้ว่าความเจ็บปวดนั้นมีอยู่จริง ความกลัว ความสูญเสีย หรือแม้แต่ความปรารถนาที่จะไม่สู้ ล้วนเป็นประสบการณ์ของมนุษย์ที่เชื่อมโยงถึงกันได้

“ช่วงนั้นเราทำกิจกรรมให้เด็กเขียนโปสต์การ์ดถึงพื้นที่สงคราม ซึ่งมันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่าเด็ก ๆ เขาได้พูด ได้แสดงออกจริง ๆ ไม่ได้เขียนแบบส่ง ๆ เราไม่ได้ให้เขียนทันทีเลยนะ เราพาเขาดูภาพก่อน พาเขาฟังเรื่องราวก่อน แล้วให้เขานั่งอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง แล้วคำถามที่ให้ตอบก็เป็นแค่คำถามง่าย ๆ เช่น ‘ถ้าเป็นเรา เราจะรู้สึกยังไง’ หรือ ‘ถ้าเราอยู่ตรงนั้น เราจะทำยังไง’

“มีเด็กคนหนึ่งเขียนว่า ‘ไม่ต้องทำก็ได้นะ’ ซึ่งตอนเราอ่านคำนั้น เราร้องไห้เลย เพราะเรารู้สึกว่าเขากล้าตั้งคำถามกับโลก กล้าตั้งคำถามกับความรุนแรง แล้วเขาไม่ได้พูดแบบมีอารมณ์เกลียดชังหรืออะไรเลยนะ มันเป็นประโยคที่เรียบง่ายมาก แต่มันลึกมาก เด็กแค่เขียนว่า ‘ไม่ต้องทำก็ได้นะ’ ซึ่งเรารู้สึกเลยว่าเขาเห็นทางเลือกอื่นแล้ว เราก็เลยได้เรียนรู้จากเด็กเหมือนกันว่า บางทีเราไม่จำเป็นต้องสู้ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยก็ได้ การไม่ตอบโต้ การไม่เลือกความรุนแรง มันก็เป็นทางเลือกหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ยากด้วยซ้ำ แต่เด็กเขากล้าพูดออกมา ซึ่งมันทรงพลังมาก

“เด็กอีกคนเขียนว่า ‘ถ้าเป็นหนู หนูก็คงกลัวเหมือนกัน’ เราอ่านแล้วใจสั่นเลยนะ มันเป็นการเอาตัวเองไปอยู่ในรองเท้าของคนอื่นจริง ๆ เราไม่ได้บอกให้เขาเห็นใจด้วยซ้ำ เราแค่เปิดพื้นที่ให้เขาได้รู้ ได้ฟัง แล้วเขาก็เชื่อมโยงเอง เด็กเขามีความเป็นมนุษย์มาก

“บางคนก็เขียนว่า ‘หนูไม่รู้จะช่วยยังไง แต่หนูขอส่งกำลังใจไปนะ’ หรือ ‘สงครามทำให้หนูไม่มีข้าวกิน’ เด็กคนหนึ่งเขียนว่า ‘ทำให้หนูต้องหนี’ ซึ่งทุกประโยคมันออกมาจากตัวเขาจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่เราบอกให้เขาเขียน เรารู้เลยว่าเด็กเขาซื่อสัตย์กับตัวเองมาก เขาไม่ได้พูดเพราะเราบอกให้พูด ไม่ได้เขียนเพราะเราให้เขียนแบบใดแบบหนึ่ง แต่มันคือสิ่งที่เขาคิดจริง ๆ ซึ่งเราว่ามันมีพลังมาก และพอเราเห็นสิ่งที่เขาเขียน เราก็รู้เลยว่า สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ไร้ค่า

“ตอนนั้นมีหลายเสียงนะที่ไม่เข้าใจว่าเราทำไปทำไม แต่เราก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร เพราะเราเชื่อว่าเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ บางคนก็มองว่าเราผลักเด็กให้ไปเจอกับความเศร้า เราไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย เราแค่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้รู้ว่าโลกมันมีความจริงหลายแบบ แล้วเขาจะเลือกยังไงก็ได้ เราไม่ได้บอกว่าเขาต้องรู้สึกแบบนี้ ไม่ได้บอกว่าเขาต้องเห็นใจ ไม่ได้บอกว่าเขาต้องต่อต้านสงคราม แต่ให้เขาได้คิด และได้เลือกด้วยตัวเอง

“ซึ่งพอเขาเขียนว่า ‘ไม่ต้องทำก็ได้นะ’ มันชัดเลยว่าเขาได้เลือกแล้ว เขาเลือกจะไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง และเลือกจะไม่ทำร้ายใคร และเราก็รู้สึกว่าเขาได้สร้างเสาใหม่ขึ้นในใจเขาแล้ว เขามีหลักของตัวเองแล้ว

“เราไม่ได้อยากให้ใครเห็นด้วยกับเราทั้งหมดนะ เราแค่เชื่อในพื้นที่ที่เด็กได้คิด ได้พูด ได้รู้สึก และเราเชื่อว่าการเรียนรู้มันต้องไม่บอกให้เขารู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ต้องให้เขารู้สึกในแบบของเขาเอง พอมีคนถามเราว่า ถ้าผู้ปกครองคนหนึ่งลังเลว่าจะให้ลูกมาเรียนกับเราไหม เพราะเขายังไม่แน่ใจเรื่องศิลปะ ว่ามันสำคัญจริงไหม เราก็บอกว่า ‘ไม่เป็นไรเลย’ เพราะเราไม่ได้อยากเป็นคำตอบเดียวของใคร

“เราบอกเสมอว่าเราเป็นแค่หนึ่งในทางเลือก ถ้าครอบครัวไหนพร้อม ถ้าเขารู้สึกว่านี่คือพื้นที่ที่เขากำลังมองหา เราก็พร้อมจะต้อนรับ แต่ถ้าเขายังไม่พร้อม มันก็ไม่เป็นไรเลยจริง ๆ เราไม่เคยคิดว่าจะต้องทำให้ทุกคนเข้าใจเราหรือเลือกเรา เราแค่ทำในสิ่งที่เราเชื่อ และเราก็เชื่อในพลังของความไว้วางใจ

“เราไม่เคยไปบอกเด็กเลยว่าเขาต้องเชื่อแบบเรา แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้พอ เด็กเขาจะกล้าเติบโต เขาจะกล้าคิด กล้าพูด และกล้าเป็นตัวเอง ซึ่งมันมากพอแล้ว”

สามารถตามไปให้กำลังใจคุณกรีกและกรีซ และติดตามผลงานน่ารัก ๆ ของเด็ก ๆ กันต่อได้ที่ Facebook: Homeroom อาณาจักรพิทักษ์ความสุข