The Beatles: Get Back ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องราวของวงร็อกแอนด์โรลในตำนานจากเกาะอังกฤษอย่าง หนุ่ม ๆ สี่เต่าทอง นำโดย พอล แม็คคาร์ทนีย์ (Paul McCartney), จอห์น เลนนอน (John Lennon), จอร์จ แฮร์ริสัน (George Harrison), และริงโก สตาร์ (Ringo Starr) ถูกบันทึกลงบนแผ่นฟิล์ม เพราะก่อนหน้านี้ แฟน ๆ ต่างเคยผ่านตากับภาพยนตร์ของพวกเขาในหลายรูปแบบไม่เว้นแม้แต่บนลายเส้นแอนิเมชั่นจาก Yellow Submerine แต่ถ้าเทียบกับ ‘สารคดี’ ด้วยกันเองแล้ว ผู้กำกับ The Beatles: Get Back อย่าง ปีเตอร์ แจ็คสัน (Peter Jackson) ดูเหมือนจะต้องการเก็บช่วงเวลาสำคัญเพียงไม่กี่วันก่อนสมาชิกในวงจะแยกย้ายกัน ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด จนเกิดเป็นสารคดีที่กินเวลานานเกือบ 8 ชั่วโมง ถึงขั้นต้องแบ่งเป็นซีรีส์ถึง 3 ตอน เพื่อให้แฟน ๆ ได้เห็นมิติของศิลปินในฐานะที่พวกเขาเป็นเพื่อนที่เราคุ้นเคย ไม่ว่าจะเป็นแฟนดอม Beatlemania หรือคนทั่วไปที่รักในเสียงเพลง ก็สามารถเข้าใจเรื่องราวของสี่หนุ่มได้ไม่ยาก เพราะตัวสารดีมีการลำดับช่วงเวลาสำคัญไว้คร่าว ๆ เช่น การเจอกันของสมาชิกสี่เต่าทอง หรือการจากไปของผู้จัดการวงอย่าง ไบรอัน เอ็ปสไตน์ (Brian Epstein) ถึงอย่างนั้น ราว ๆ 90% ของสารคดีเรื่องนี้ ล้วนเกิดขึ้นและเดินเรื่องไปอย่างช้า ๆ ตามเข็มนาฬิกาใน ‘สตูดิโอ’ เป็นหลัก เหมือนกับการนับเคาน์ดาวน์สู่คอนเสิร์ตครั้งใหม่ เมื่อ The Beatles มาถึงสตูดิโอ พวกเขาจะเล่นดนตรี พูดคุยต่อล้อต่อเถียงกัน จิกกัดสังคมภายนอกบ้าง พูดคุยถึงเรื่องไร้สาระบ้าง แล้วจึงแชร์เนื้อเพลงกับคอร์ดดนตรีที่เพิ่งคิดกันได้สด ๆ วนลูปแบบนี้ไปในทุกวัน จนผู้ชมบางคนอาจมองว่าน่าเบื่อ แต่ช่วงเวลาที่ธรรมดาเหล่านี้แหละ ที่สี่เต่าทองได้จุดประกายพรสวรรค์ของเขาจนเป็นเพลงที่พาให้เราเคลิบเคลิ้มไปตาม ๆ กัน ถ้าถามว่าใครดูปวดหัวที่สุดในเรื่องก็คงจะเป็นทีมงาน โดยเฉพาะฝ่ายเทคนิคเสียงที่ไม่เคยชนะหนุ่ม ๆ ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะพวกเขามีความเป็นตัวของตัวเองสูงกันเสียจนแม้แต่ จอร์จ มาร์ติน (George Martin) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ ยังเกิดอาการทึ้งหัวมาให้เห็นเป็นระยะ แน่นอนว่าในกลุ่มเพื่อนที่คบกันมานานหลายสิบปี จะต้องมีการทะเลาะกันบ้างเป็นปกติ ซึ่งที่ผ่านมาเชื่อว่าหลายคนในเหตุการณ์นั้น คงคิดไม่ต่างจากผู้ชมเช่นกัน แต่แล้ว The Beatles ก็เดินทางมาถึงจุดแตกหักโดยไม่มีใครคาดคิดว่าคอนเสิร์ตที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะเป็นการรวมตัวกันครั้งสุดท้ายในฐานะ The Beatles.. แล้วที่ผ่านมาเรารู้อะไรเกี่ยวกับการแยกทางของพวกเขากันมาบ้าง ช่วงเวลาเหมือนฟางเส้นสุดท้ายนี้มาคุเพราะอะไร แล้วที่บอกว่า โยโกะ โอโนะ (Yoko Ono) คือต้นเหตุนั้นจริงแท้มากน้อยแค่ไหนกัน? “วงแตกเพราะโยโกะนั่งบนแอมป์!” - พอล แมคคาร์ทนีย์ เชื่อว่าที่ผ่าน ๆ มา คนไม่น้อยอาจคิดไปว่าต้นเหตุการแยกวงเกิดจาก โยโกะ โอโนะ คนรักของจอห์น เพราะทั้งคู่ตัวติดกันตลอดเวลา และสารคดีเรื่องนี้ตอกย้ำชัดเจนว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันจริงแม้กระทั่งช่วงที่ The Beatles มีปากเสียงกันครั้งใหญ่ จนในเวลาต่อมา พอลถึงขั้นพูดประโยคที่ทำเอาคนดูจี๊ดใจขึ้นในสตูดิโอที่เหลือเพียงเขากับสตาร์ แต่หากมองดูสีหน้าท่าทางของพอลแล้ว ตัวเขากลับมีท่าทีปกติมากเมื่อพูดประโยคนี้ และคนอื่นในวงสนทนาเองก็ไม่ได้แสดงความโกรธหรือเศร้าออกมาให้เห็นเช่นกัน ดูเหมือนว่าลึก ๆ แล้ว The Beatles ต่างรู้กันดีว่าเส้นทางของวงกำลังจะมาถึงจุดจบ เพราะพวกเขาแต่ละคนมีความชอบแตกต่างกันเกินไป ประเด็นสำคัญหลักของการปิดฉากตำนานวงร็อกแอนด์โรลครั้งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องราวรอบตัวเขา แต่เกิดจาก ‘เวลา’ ที่พาให้ทุกคนโตขึ้นในทางของตัวเอง และตลอดเวลาหลายชั่วโมงในสารคดีเรื่องนี้ ได้พาให้ผู้ชมทำความเข้าใจสี่เต่าทองอย่างช้า ๆ ผ่านไทม์ไลน์เวลาเป็นลำดับขั้นตอน และการตัดต่อที่ไม่พยายามปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชม ถึงอย่างนั้น ทั้งสีหน้าแววตาของสมาชิกวงทำให้ผู้ชมอย่างเราเห็นได้ชัดว่าลึกเข้าไปในความรู้สึก พวกเขาคงใจหายกันอยู่ไม่น้อยเมื่อรู้ว่าสิ่งที่พวกเขาสร้างมาด้วยกันตลอดช่วงชีวิตหนึ่ง กำลังจะจบลง “ถ้านายเป็นตัวของตัวเองจริง ๆ นายคงไม่เป็นแบบที่เป็นอยู่ในวันนี้หรอก” - จอร์จ แฮร์ริสัน ทำไมจอร์จถึงตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดว่าเขาจะออกจากวง ทำไมสี่หนุ่มถึงย้ายมาซ้อมดนตรีในห้องใต้ดินของอาคาร Apple Corps ฟุตเทจต่าง ๆ ในเรื่องคือเหตุผลของกันและกันโดยไม่มีสิ่งไหนเป็นชนวนหลัก ไม่มีใครผิดในเรื่องราวครั้งนี้ เมื่อเวลาพาพวกเขามาถึงทางตัน พวกเขาก็แค่ทำในสิ่งเดิม ๆ ตามแผนที่วางไว้ให้ดีที่สุด จนคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของสี่หนุ่ม เต็มไปด้วยความสนุกสนาน สะกดผู้คนในเวลานั้นได้อยู่หมัด ทำให้สารคดีเรื่องนี้ ถูกยกให้เป็นเรื่องราวของ The Beatles ที่จริงใจ ธรรมดา และเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่เคยมีมา