(บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ)
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้ คงไม่มีใครพลาดที่จะเห็น Heartstopper ผลงานซีรีส์วายจากเน็ตฟลิกซึ่งดัดแปลงมาจากนิยายในเว็บคอมมิค ผลงานของ อลิส โอสแมน (Alice Oseman) นักเขียนชาวอังกฤษ เพราะตั้งแต่ซีรีส์เรื่องนี้เปิดตัวไป กระแสความน่ารักในรื่องราวว่าด้วยความสัมพันธ์ของหนุ่มเนิร์ดและนักกีฬารักบี้ดาวป๊อบในโรงเรียนชายล้วน ต่างพาให้ใจหลาย ๆ คนอินเลิฟไปตาม ๆ กัน .. แน่นอนว่ากระแสนิยาย หนัง และซีรีส์วายที่เราได้เห็นนั้น ได้รับความนิยมกันมาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมาจากคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าผู้คนในสังคม โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ต่างมองมิติของความรักไปในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น โลกของขั้วตรงข้ามที่เราแทนค่าความรักว่าต้องเป็นไปในรูปแบบชาย-หญิง จึงถูกเบลนด์ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความรัก ที่อยู่คู่กับความรักในรูปแบบอื่นด้วยเช่นกัน
ทุกคนต่างมีความหลากหลายในตัวเอง และความหลากหลายนั้นเป็นเรื่องปกติที่สามารถแสดงออกได้อย่างเปิดเผย
ใน Heartstopper เราจะเห็นว่าเด็กเนิร์ดอย่าง ชาร์ลี (นำแสดงโดย โจ ล็อกค์) คือคนที่รู้ตัวเองเสมอมาว่าเขาเป็นเกย์ และกล้ายอมรับอย่างเปิดเผยว่าตัวเขาชอบผู้ชาย แต่ถึงอย่างนั้น ความจริงที่ว่ายังมีคนบางกลุ่มไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศนั้น ก็ทำให้คนรักเก่าของชาร์ลี ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มคนที่ยังไม่กล้าแสดงรสนิยมทางเพศออกมาอย่างเปิดเผย จำเป็นต้องปกปิดตัวเองเพราะกลัวเผชิญกับคำครหาจากสังคม ชาร์ลีจึงต้องตกอยู่ในความสัมพันธ์ลับ ๆ ตลอดมา จนกระทั่งเขาพบกับ นิค (รับบทโดย คิท คอนเนอร์) หนุ่มฮอตในวงนักกีฬารักบี้ ที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในจิตใจของชาร์ลี
และแม้ว่าตัวซีรีส์เรื่องนี้จะสอดแทรกประเด็นการบูลลี่ในรั้วโรงเรียนกับเรื่องราวการก้าวข้ามผ่านความรู้สึกที่สับสน จะเป็นสิ่งที่เราอาจเคยเห็นกันในซีรีส์ LGBTQ+ เรื่องอื่น ๆ จนชินตา แต่สิ่งที่ต่างออกไปในซีรีส์เรื่องนี้คือการที่ตัวละครอย่างชาร์ลี ไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่ในโลกของเขาเพียงลำพัง ยิ่งเมื่อตัวซีรีส์เลือกที่จะบอกเล่าเรื่องราวทั้งฝั่งเกย์ในโรงเรียนชายล้วน และเลสเบี้ยนในโรงเรียนหญิงล้วน สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตทางความคิดของตัวละครเมื่อพวกเขากล้าที่จะบอกว่า ‘ตัวเองเป็นใคร’
ความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้ ขอยกให้กับตัวละคร เทา (รับบทโดย วิลเลี่ยม เกา) เพื่อนสนิทของชาร์ลี ที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นเหมือนฝ่ายซัพพอร์ตของชาร์ลี ที่มีพลังมากพอจะออกปากตอกกลับกลุ่มแก๊งนักรักบี้ช่างฉอดที่คอยเหน็บแนมชาร์ลี จนแก๊งนักรักบี้ถึงกับทำตัวไม่ถูกเมื่อโดนสวนกลับด้วยถ้อยคำสุดเจ็บแสบ นอกจากนี้ ตัวละครเทายังน่าสนใจเพิ่มขึ้นไปอีกเมื่อเขาคือคนเดียวในเรื่องที่ไม่เคยเปิดเผยว่าเขามีความรักกับใครในรูปแบบไหน ในแง่หนึ่ง เทาจึงเป็นตัวแทนของการมองความสัมพันธ์หนึ่งด้วยสายตาที่ไม่มีเส้นแบ่งทางเพศมาปิดกั้น
ที่น่าสนใจอีกต่อหนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้คือ การทำให้ปัญหาการยอมรับเพศทางเลือกในโรงเรียน มีความลื่นไหลและดูไม่แปลกแยกจนเกินไป เพราะตัวละครผู้ใหญ่ในเรื่องไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ของตัวละคร หรือครูในโรงเรียน (รวมถึงครูเพศทางเลือก) ทุกคนต่างเคารพความชอบส่วนตัวของลูก คอยมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ และปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ผู้ใหญ่ในเรื่องจึงเป็นตัวแทนของพ่อแม่หัวสมัยใหม่ที่เข้าใจในความแตกต่างทางเพศของวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี
เมื่อความกลัวที่ตัวละครมีเริ่มทลายหายไป พวกเขาก็ได้แสดงให้คนรอบข้างเห็นว่าความรักนั้นเป็นสิ่งธรรมดาและไม่จำเป็นต้องปิดบัง ผู้ชมอย่างเราเองก็ได้เข้าใจไปด้วยเช่นกันว่าในท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะในสถานะหรือในเพศสภาพและเพศวิถีแบบไหน ความรักที่เกิดขึ้นย่อมเป็นความรักอยู่เสมอ ซีรีส์เรื่องนี้จึงได้พาเราก้าวข้ามเส้นความกลัวที่เกิดขึ้นจากสังคม ชวนให้มองความสับสนเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ในทุกความสัมพันธ์ และพาเราคิดไปไกลกว่าแค่การโฟกัสว่าเพศทางเลือกต้องถูกมองว่าเป็นคนที่อดทนอดกลั้นเสมอ
ด้วยความที่ซีรีส์ชูความน่ารัก เติมเต็มหัวใจผู้ชม ผสมเข้ากับความเข้าใจในช่วงเปลี่ยนผ่านของวัยรุ่นหนุ่มสาว ทำให้บรรยากาศมวลรวมต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดี ซึ่งหนึ่งในหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า The Way He Looks (2014) ซึ่งบอกเล่าความน่ารักของคู่รักวัยรุ่นเพศเดียวกันออกมาได้อย่างซื่อตรง ที่ต้องยกหนังเรื่องนี้มาพูดประกอบด้วยก็เพราะว่านอกจากความน่ารักแล้ว หนังเรื่องยังพาเราก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งทางเพศ และมุมมองทางสังคม แล้วหันไปโฟกัสแค่ความรู้สึกดีของสองตัวละครแทน ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละครหลักซึ่งเป็นเกย์ที่พิการทางสายตา สิ่งนี้ยิ่งย้ำให้ผู้ชมได้มองมิติของผู้คนในสังคมหลากหลายมากขึ้นไปอีกสเต็ป และมองตัวละครเป็นมนุษย์คนหนึ่งอย่างเข้าใจและไม่ตัดสินคนคนหนึ่งจากภาพที่เขาแสดงหรือรสนิยมส่วนตัวที่เขาเป็น
ท้ายที่สุดแล้วความฟีลกู้ดใน Heartstopper และ The Way He Looks ที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเรื่องราวรักในวัยเรียนและการก้าวข้ามความเปลี่ยนผ่านทางเพศ ผ่านสายตาที่เข้าใจ จริงใจ รวมถึงไม่ออกตัวตัดสินความชอบส่วนตัวของใครด้วยมุมมองที่ผิวเผิน ผู้ชมที่คอยตามเชียร์ความรักของตัวละครในซีรีส์และหนังทั้งสองเรื่องจึงตามลุ้นเอาใจช่วยตัวละคร และมองความน่ารักของเรื่องด้วยสายตาของคนคนหนึ่งที่มองความรักจากความรักโดยแท้จริงตามไปด้วย