272658735_521331389510240_2602819260669271135_n.jpeg

รู้จักโลกบิดเบี้ยวในหนังของ Shunji Iwai ที่พาเด็กหนุ่มสาวหนีจากบรรทัดของสังคม

Post on 30 June

เมื่อโตขึ้น เรามักจะพบว่าความรู้สึกต่างเป็นเหมือนกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และความคาดหวังที่พ่วงมากับความรับผิดชอบก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ช่วงเวลานั้นทำให้หลายคนเร่ิมตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ว่า ‘ฉันเป็นใคร ฉันดีพอหรือไม่ เพื่อนของฉันยังชอบฉันไหม หรือจะมีใครรักฉันบ้าง’ สิ่งนี้เอง ได้นำพาเราย้อนกลับไปถึงความทรงจำครั้งวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายจนชีวิตบางคนพลิกผัน เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก้าวสำคัญที่นำเราไปสู่วันข้างหน้าในฐานะผู้ใหญ่

ในภาพยนตร์ของ ชุนจิ อิวาอิ (Shunji Iwai) ผู้กำกับคนสำคัญในโลกหนัง New Independent ของญี่ปุ่น ได้รวบรวมเอาช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในชีวิต มาเล่าเป็นบทกวีโครงสั้น ๆ เพื่อเป็นกระจกสะท้อนเงาความรู้สึกให้ผู้ชมได้มองเห็นตัวเองผ่านตัวละครในหนัง ซึ่งก็แน่นอนว่าการจะปั้นความรู้สึกเบื้องลึกให้ปะทุขึ้นในตัวผู้ชมอย่างเป็นธรรมชาตินั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังของอิวาอิสามารถสร้างความสงสัยให้ผู้ชมได้ว่าเรารู้เกี่ยวกับตัวละครและโลกของเขามากแค่ไหน หรือรู้สึกกังวล และไม่มั่นคงตามตัวละครไปด้วย นั่นคือการเล่าเรื่องผ่านเส้นเรื่องที่ไม่ตายตัว และภาพที่ดูฟุ้งฝันผิดธรรมชาติ

ตั้งแต่ช่วงปี 1990 เทคโนโลยีเริ่มเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้คนบล็อกตัวเองจากสาธารณะ และก้าวเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ความตึงเครียดและความอึดอัดจึงก่อตัวเป็นเท่าทวีคูณ เพราะผู้คนมองเห็นตัวเองมากเกินไป ซึ่งหนังของอิวาอิกำลัพาผู้ชมไปจับต้องกับความรู้สึกสูญเสียเหล่านี้ โดยเฉพาะการเฝ้ามองคนหนุ่มสาวในยุคหลัง Y2K ซึ่งโตมากับเทคโนโลยี จนทำให้มุมมองของพวกเขาที่มีต่อโลก ไปไกลกว่าแค่สิ่งที่ตาเห็น ความเป็นจริงในหนังของอิวาอิจึงไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนถึงภาพตรงหน้าที่จับต้องได้เท่านั้น แต่ยังอยู่ลึกลงไปในความมืดมิดของอินเทอร์เน็ตด้วยเช่นกัน

ในวัยเด็ก เราสัมผัสได้ว่า เวลา และ ความเป็นจริง ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอึดอัด และทั้งสองสิ่งนี้เกิดขึ้นในรูปแบบ HD แต่ยิ่งเราแก่และเหน็ดเหนื่อยกับโลกมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งถูกบีบคั้นมากขึ้นเท่านั้น ชีวิตกลายเป็นภาพเบลอมากขึ้น จนวันหนึ่ง เราจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตเราจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราต้องดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เรามีจริง ๆ เพื่อจับตาดูความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น

แนวทางในหนังของอิวาอิที่ขับเคลื่อนด้วยจินตนาการ ได้เพิ่มสัมผัสทางความรู้สึกให้กับเส้นเรื่องที่ไม่ปะติดปะต่อกันตามลำดับเวลา ทำให้หนังของเขาสร้างภวังค์ที่สามารถดึงเอาความทรงจำในห้วงรักอันแสนหวานและขมขื่นในวัยเยาว์ของผู้ชมออกมา ราวกับว่าเราถูกดึงดูดเข้าสู่เรื่องราวที่แล่นไปอย่างยากจะคาดเดาได้ ภาพอดีตที่พร่ามัว และการถ่ายภาพชวนฝัน พาผู้ชมเดินทางสู่โลกคู่ขนานที่ชวนฉุกคิดว่าฉากในอดีตจะพาเราไปสู่อนาคตแบบไหน ทำไมเราสัมผัสโลกของตัวละครในขณะที่พวกเขาก็สัมผัสความรู้สึกของตัวเอง ทำไมเราเข้าใจความซับซ้อนทางอารมณ์ของพวกเขาแม้ว่าพวกเขาจะไม่พูดออกมาตรง ๆ คำถามมากมายที่เกิดขึ้น ต่างย้ำให้เราเห็นว่า ไม่แน่.. เราอาจเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องเล่า เป็นตัวละครสักคนหนึ่งในหนังของอิวาอิก็เป็นได้

โลกของเราไม่มีจุดสิ้นสุด

หนังสือ เพลง เท็ป หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืออะไรก็ตามที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจ หรือช่วยลบเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตจริงได้ สิ่งนั้นย่อมเป็นทางเลือกให้ตัวละครของอิวาอิเสมอ แม้จะเป็นความรู้สึกเพียงชั่วคราว แต่เมื่อตัวละครยังเด็กเกินกว่าจะจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ต่อต้านโลกที่พวกเขาอยู่ เพื่อปลดปล่อยตัวเองจาก ‘ความอ้างว้าง’

บางครั้งฉันก็รักฝันร้ายของฉันมากกว่าโลกแห่งความจริง เมื่อฉันอยู่ในกองถ่ายหรือกำลังตัดต่อ ฉันมักจะถามตัวเองว่าฉากนี้ดูเป็นอย่างไร เป็นเหมือนกับฝันร้ายของฉันไหม

ใน All About Lily Chou-Chou อิวาอิได้แสดงให้เห็นว่าความเข้มงวดในกฎระเบียบของโรงเรียน และความคาดหวังของครอบครัว ได้ผลักให้เด็กวัยแรกรุ่นหนุ่ม-สาว เร่ิมเดินไปสู่เส้นทางที่ผิดต่อขนบสังคมไม่ว่าจะเป็นการค้าประเวณี การแบล็กเมล์ หรือการกลั่นแกล้งกันอย่างโหดเหี้ยม เพลงของ Lily Chou-Chou ทั้งเศร้าโศกและหม่นหมอง เป็นความรู้สึกที่ถูกเลียนแบบมาจากเสียงของวงดนตรียอดนิยมในยุค 90 ด้วยความที่อิวาอิมีเซนส์ทางดนตรีที่ยอดเยี่ยม ทำให้บรรยากาศของหนังเรื่องนี้อบอวลไปด้วยบทเพลงแทนความรู้สึกของตัวละคร สิ่งหนึ่งที่ทั้งชวนให้ประหลาดใจและทึ่งในเวลาเดียวกันก็คือ อารมณ์ที่พาผู้ชมดำดิ่งลึกลงในความรู้สึก เมื่อผสานเข้ากับท่วงทำนองความอาวองการ์ด กลับทำให้ผู้ชมเคว้งราวกับอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ลอยสู่ชั้นบรรยากาศ ด้วยเสียงดนตรีที่ว่ามา อิวาอิจึงสามารถนำผู้ชมก้าวเข้าสู่จิตใจของตัวละคร เกิดเป็นความรู้สึกอันทรงพลังที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะถูกดนตรีครอบงำ แต่เป็นเพราะดนตรีนำพาเราสู่ผืนน้ำและบนผิวอวกาศ

เมื่อพูดถึง Hana and Alice หนังในดวงใจของใครหลาย ๆ คน อิวาอิได้สร้างพล็อตเรื่องที่คล้ายกับการเล่นตลกต่อโชคชะตาของเด็กสาวเพื่อนสนิทสองคนที่ตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน แม้ว่าตัวละครเด็กสาวในเรื่องทั้งสองคนจะดูไร้เดียงสาขั้นสุด แต่พวกเธอกลับไม่ได้โง่เขลา อีกทั้งยังซื่อตรงต่อความรู้สึกตัวเองอย่างมาก พวกเธอได้สร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นราวกับว่ากำลังสร้างโลกของตัวเอง เป็นโลกที่เธอสามารถพบเจอ และเดินตามโชคชะตาที่ดูร้าย ๆ ได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะถูกผู้ใหญ่ผลักดันพวกเธอกลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง ในขณะเดียวกัน เด็กสาวในเรื่องก็ไม่ได้ถูกออกแบบให้รู้สึกว่าพวกเธอได้รับการปลดปล่อยจากการทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ และยังต้องยอมรับต่อความพลาดของตัวเอง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะไม่ได้กระทบกับความเป็นอยู่ของโลกความจริงก็ตาม